บนเตียงนอนในเรือนทางปีกตะวันตกของจวนสกุลลู่ ลู่ฟางหนิงสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะพบว่าร่างกายของตนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ ภาพของโจวหยางเทียนกับซูเยี่ยนหลิงที่รวมหัวกันหลอกใช้นาง และมองนางด้วยสายตาเย้ยหยันราวกับคนโง่ยังคงติดตานางไม่จางหาย
ยามที่ลู่ฟางหนิงนึกถึงภาพของสองคนนั้น นางก็กำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ แม้นางจะตายกลายเป็นผีไปแล้ว นางก็จะไม่มีวันปล่อยให้คนชั่วสองคนนั้นได้ใช้ชีวิตสุขสบายอย่างแน่นอน นางจะคอยตามอาฆาตแค้นและจองเวรจองกรรมพวกมันไปทุกภพทุกชาติ
และก่อนที่ลู่ฟางหนิงจะทันได้โกรธแค้นโจวหยางเทียนกับซูเยี่ยนหลิงไปมากกว่านี้ เสียงเรียกของใครบางคนก็ดึงให้นางหลุดออกจากห้วงภวังค์แห่งความแค้นเสียก่อน
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว!”
ลู่ฟางหนิงหันไปมองตามเสียงเรียก ก่อนจะพบเข้ากับสตรีวัยแรกแย้มสองนางซึ่งดูคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนัก
“อิ๋นฉาย? อิ๋นเซียง?”
ลู่ฟางหนิงเบิกตาค้างด้วยความตกตะลึง ในหัวเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เพราะอิ๋นฉายกับอิ๋นเซียงคือสาวใช้ประจำตัวของนาง แต่สองคนนั้นตายไปเมื่อห้าปีก่อนแล้วมิใช่หรือ?
“อิ๋นฉาย อิ๋นเซียง ข้าตายแล้วใช่หรือไม่ ข้าถึงได้เห็นพวกเจ้าทั้งสองมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเช่นนี้”
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ลู่ฟางหนิงนึกออก เพราะนางตายไปแล้ว นางถึงได้พบกับอิ๋นฉายและอิ๋นเซียง
“คุณหนู ท่านพูดจาเหลวไหลอันใดเจ้าคะ ท่านยังมิตายเสียหน่อย เพียงแต่นอนซมเพราะพิษไข้เท่านั้นเอง”
นอนซมเพราะพิษไข้อย่างนั้นหรือ?
ยิ่งได้ฟังคำพูดของสาวใช้สองคนตรงหน้า ลู่ฟางหนิงก็ยิ่งรู้สึกมึนงงหนักกว่าเดิม และก่อนที่นางจะทันได้ถามอันใดไปมากกว่านี้ ภาพความทรงจำต่างๆ ก็ประเดประดังเข้ามา จนนางต้องยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความเจ็บปวด
“คุณหนู ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ หรือว่าพิษไข้จะกำเริบอีกแล้ว!” อิ๋นฉายกับอิ๋นเซียงเห็นท่าไม่ดี คนหนึ่งจึงรีบออกไปตามท่านหมอประจำตระกูลมาตรวจอาการของลู่ฟางหนิง ส่วนอีกคนรีบไปแจ้งข่าวแก่ท่านแม่ทัพ ‘ลู่หนิงเหอ’ กับลู่ฮูหยินว่าคุณหนูรองฟื้นแล้ว
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน คนทั้งหมดก็มาปรากฏตัวที่นี่ ยามที่ลู่ฟางหนิงได้พบหน้าบิดาและมารดาอีกครั้ง จู่ๆ น้ำตาของนางก็รินไหลออกมาไม่หยุด เพราะยามนี้นางรับรู้แล้วว่า สวรรค์ยังมีเมตตา และยอมมอบโอกาสให้กับคนชั่วช้าอย่างนางได้ย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีต
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
ลู่ฟางหนิงโผล่เข้าสวมกอดบิดาและมารดาด้วยความคิดถึง ยามที่อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นความรู้สึกผิดทั้งหลายก็ค่อยๆ ถาโถมเข้ามาเป็นระลอกราวกับคลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้ามาไม่หยุด ชาติก่อนเพราะนางหลงมัวเมากับความรักจอมปลอมของโจวหยางเทียน บิดามารดารวมถึงพี่ชายทั้งสองคนของนางถึงได้ถูกประหารอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนั้น
แต่ในเมื่อสวรรค์ยอมมอบโอกาสให้กับนางอีกครา นางสัญญาว่าจะไม่ยอมให้ความรักบังตาอีกแล้ว อีกทั้งยังจะเอาคืนพวกมันทั้งสองให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันทำไว้กับนางและครอบครัว ส่วนเขา…คนที่นางทำผิด นางจะขอชดใช้คืนจนกว่าชีวิตจะหาไม่
“หนิงหนิง เจ้าเพิ่งฟื้นจากพิษไข้ อย่างไรให้ท่านหมอตรวจดูอาการก่อนเถิด” แม้จะดีใจสักเพียงใดที่บุตรสาวฟื้นจากอาการไข้แล้ว ทว่าลู่ฮูหยินจำต้องผละร่างของลู่ฟางหนิงออกจากอ้อมกอดของตน ก่อนจะเชิญให้ท่านหมอประจำตระกูลเข้ามาตรวจดูอาการของนางอย่างละเอียด หลังจากที่นางนอนซมเพราะพิษไข้มาสามวันสามคืนเต็ม
ในระหว่างที่ท่านหมอกำลังตรวจอาการของลู่ฟางหนิงอยู่นั้น พี่ชายทั้งสองคนที่เพิ่งทราบข่าวว่านางฟื้นจากพิษไข้แล้วก็รีบเข้ามาเยี่ยมนางด้วยความเป็นห่วงทันที
ยามที่ ‘ลู่จางหมิ่น’ และ ‘ลู่เหว่ยหรง’ พบว่าน้องสาวผู้แสนซุกซนของพวกเขากำลังเซื่องซึมเพราะพิษไข้ ภายในใจของพวกเขาก็รู้สึกเป็นห่วงนางยิ่งนัก
“หนิงหนิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”
ลู่จางหมิ่นผู้เป็นพี่ชายคนโตเอ่ยถาม หลังจากที่ท่านหมอตรวจอาการของลู่ฟางหนิงเสร็จแล้ว ลู่ฟางหนิงมองชายหนุ่มสองคนตรงหน้า ขอบตาของนางก็แดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่นางพยายามข่มกลั้นอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของเขา
“ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยบอกเช่นนั้น ภายในใจของชายหนุ่มทั้งสองก็คลายความรู้สึกกังวลลง จากนั้นจึงเป็นลู่เหว่ยหรงที่เอ่ยขึ้น “หากเจ้าหายดีแล้ว เช่นนั้นวันพรุ่งนี้เจ้าก็สามารถเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์กับพวกเราได้แล้วสิ”
ยังไม่ทันที่ลู่ฟางหนิงจะได้ตอบคำถามของพี่ชายคนรอง มารดาที่นั่งอยู่ด้านข้างนางก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน “หนิงหนิงเพิ่งหายไข้ เทศกาลล่าสัตว์ปีนี้ อย่าเพิ่งให้นางเข้าร่วมเลย”
ลู่ฮูหยินยังคงรู้สึกเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวของตน แม้ว่าเทศกาลล่าสัตว์ปีนี้จะเป็นปีแรกที่ลู่ฟางหนิงสามารถเข้าร่วมได้ แต่นางก็ไม่อยากให้บุตรสาวที่เพิ่งฟื้นจากพิษไข้ไปลำบากในป่าในเขา หากนางเจ็บป่วยขึ้นมาอีกครั้งจะทำอย่างไรเล่า
ทว่าลู่ฟางหนิงหาได้คิดเช่นนั้น เพราะนางจะใช้เทศกาลล่าสัตว์ในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง
“ท่านแม่ข้าอยากเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ ท่านก็รู้ว่าข้ารอคอยวันนี้มานานแค่ไหน ท่านอย่าห้ามข้าเลยนะเจ้าคะ”
ลู่ฟางหนิงรู้ว่ามารดามักใจอ่อนกับนางเสมอ ยามที่นางใช้น้ำเสียงออดอ้อนกับอีกฝ่าย แม้นางจะห่างเหินจากช่วงเวลาเช่นนี้มาเนิ่นนาน เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบ แต่เมื่อนางได้มีโอกาสย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง นางก็อยากออดอ้อนมารดาเหมือนเช่นที่เคยทำในครั้งที่นางยังเป็นเพียงสตรีที่ยังไร้เดียงสา แม้ยามนี้จิตใจข้างในของนางจะอัดแน่นไปด้วยไฟแค้นก็ตาม
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอยากไป เช่นนั้นแม่ก็จะไม่ห้ามความต้องการของเจ้า เพียงแต่เจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าได้เจ็บป่วยหรือได้รับอันตรายกลับมาเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่”
“ฮูหยิน เจ้าเป็นห่วงหนิงหนิงเกินไปแล้ว พวกข้าอยู่กับนางทั้งคนจะปล่อยให้นางเป็นอันตรายไปได้อย่างไร” ลู่หนิงเหอเห็นว่าภรรยาของตนกังวลมากจนเกินไป เขาจึงยื่นมือไปลูบหลังมือของนางพร้อมกับให้คำมั่นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลบุตรสาวเป็นอย่างดี
ลู่จางหมิ่นกับลู่เหว่ยหรงเองก็ให้คำสัญญากับมารดาเช่นกันว่าจะดูแลน้องสาวไม่ให้คลาดสายตา ด้วยประการฉะนี้ ลู่ฮูหยินจึงยอมให้บุตรสาวเข้าร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ที่จะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบเตรียมตัวเก็บข้าวของเถิด วันพรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางทันเวลา”
“เจ้าค่ะ” ลู่ฟางหนิงแย้มรอยยิ้มให้พี่ชายทั้งสองคน ยามนี้นางต้องทำตัวให้สดใสร่าเริงเข้าไว้ เพราะนางยังเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบห้าปีหาใช่สตรีที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ถ้าจำไม่ผิด อีกหนึ่งปีข้างหน้า นางจะเข้าร่วมกองทัพกับพวกพี่ชายและฝึกฝนฝีมือเป็นเวลาเกือบหกปีเต็มถึงสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพหญิงคนแรกของแคว้นโจวได้
อีกทั้งระหว่างนั้นนางยังแอบรวบรวมกองทัพลับเอาไว้ตามคำยุยงของโจวหยางเทียน และคอยเป็นเงากำจัดศัตรูให้เขาอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ และอีกสิบปีนับจากนี้ นางจึงจะก่อกบฏเพื่อให้โจวหยางเทียนได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทว่าสุดท้ายแล้ว เขากลับวางยาพิษนางหลังจากที่นางหมดประโยชน์ แต่ชาตินี้อย่าหวังเลยว่าเขาจะหลอกใช้นางจากความรักเหมือนในชาติก่อนได้ เพราะนางหาใช่สตรีโง่งมอีกแล้ว