ตอนที่ 14 ที่ผ่านมามิใช่การยั่วยวนหรือ

อันที่จริงเฉินลี่เซียนไม่ได้ตั้งใจจะหมางเมินเขาถึงเพียงนี้ แต่นางมิมีหนทางอื่นในการเกี้ยวพาบุรุษแล้ว สมัยเป็นคุณหนูสกุลหลี่นางก็มิได้พบปะบุรุษมากมายนัก ถึงจะขลุกอยู่กับสาวใช้ระดับล่างและกลางแต่ก็มักจะมีงานให้ทำอยู่เสมอ

วัน ๆ หนึ่งนอกจากจะต้องรับใช้พี่หญิงใหญ่ ดูแลแม่ใหญ่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เจียดเวลาไปหามารดาและเขียนจดหมายถึงชายคนรักก็เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด จะยังมีเวลาที่ไหนไปฟังเหล่าสาวใช้พวกนั้นพร่ำพรรนาถึงบุรุษอีกเล่า

แต่เฉินลี่เซียนก็มิคิดจะหยุดเช่นกัน เช้าวันถัดมาหลังจากสามีออกไปตรวจตราร้านด้านนอกแล้ว ฮูหยินน้อยจวนสกุลหยางกั๋วกงก็แต่งกายเต็มพิธีการ นางไปยังห้องโถงใหญ่ กล่าวขอแม่สามีกลับบ้านเดิมหลังจากนั้นก็นั่งรถม้าออกจากจวน กลับไปยังจวนสกุลเฉินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

อันซื่อได้ข่าวจากบ่าวที่เฉินลี่เซียนส่งมาก่อนแล้ว ครั้นรู้ว่าบุตรสาวจะกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมก็ดีใจจนทำอันใดไม่ถูก ยังเป็นบุตรชายที่เป็นฝ่ายสั่งบ่าวไพร่เตรียมข้าวของให้เรียบร้อย แม้ในใจยังนับเฉินลี่เซียนเป็นน้องสาวแต่เฉินเจิ้งเองก็รู้แจ้งแก่ใจดี

สำหรับผู้อื่นแล้วบุตรสาวแต่งออกก็ถือเป็นการสาดน้ำออกจากบ้าน กลับมาเยี่ยมยังถือเป็นแขกหาใช่เจ้านายเหมือนแต่ก่อน หากเขาต้อนรับนางมิต่างจากต้อนรับญาติสนิท

ถึงเวลานั้นหากมีคนเอาไปร่ำลือว่ากุนซือเฉินต้องการตีสนิทน้องเขยที่เป็นถึงซื่อจื่อจวนกั๋วกงจะทำเช่นไรเล่า อุบายตื้น ๆ เช่นนี้หากยังมองไม่ออกเช่นนั้นขุนนางก็ไม่ต้องเป็นมันแล้ว ลาออกแล้วกลับบ้านเกิดบิดายังจะดีเสียกว่า

เฉินลี่เซียนหาได้คิดมากมายปานนั้น รถม้าจอดหน้าจวนสนิทดีนางก็กระโดดลงมาจากรถเสียเลย หาได้มีท่าทางของฮูหยินสกุลใหญ่ไม่ ซ้ำยังวิ่งปราดเข้าไปในเรือนใหญ่ของมารดา คารวะนางได้ก็รีบคว้าจับมืออันซื่อไว้ทันที

เฉินลี่เซียนสีหน้าอึดอัดคับข้องใจ มองมารดาด้วยหยาดน้ำตาคลอหน่วย “ท่านแม่ เห็นทีเรื่องนี้จะมีแต่ท่านที่ช่วยข้าได้แล้ว”

อันซื่อใจหายวาบ นึกไปถึงว่าบ้านสามีรังแกบุตรสาวตนเองต่าง ๆ นานา ในใจก็นึกสงสารบุตรสาวอย่างสุดแสน ดวงตาพลันมีน้ำอุ่นร้อนหยดแหมะ ยังมิทันที่สองแม่ลูกจะได้ร่ำร้องฟูมฟาย เฉินเจิ้งที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งมาตลอดก็พูดขึ้นกลางปล้อง

“เจ้ามีเรื่องอันใดให้ท่านแม่ช่วย ถึงได้รีบร้อนปานนั้น”

หยาดน้ำตาเฉินลี่เซียนแห้งเหือดไปในทันใด นางพูดว่า “ข้ากับท่านพี่ยังไม่ได้เข้าหอกันเลยสักครั้งถึงต้องกลับมาขอเคล็ดลับท่านแม่อย่างไรเล่า ท่านแม่กับท่านพ่อครองรักกันมานานทั้งยังมีโซ่ทองถึงสองคนเป็นท่านกับข้า เช่นนี้ท่านแม่ต้องมีเคล็ดลับให้ข้าแน่นอน”

เฉินเจิ้งใบหน้าแดงก่ำ ปากอ้าพะงาบอย่างคนพูดไม่ออกกระทั่งมือที่ถือจอกชาไว้ก็พลันอ่อนแรงแทบจะปล่อยมันหลุดลงพื้น เขากวาดสายตามองรอบเรือนครั้งหนึ่งค่อยเป่าปากด้วยความโล่งใจ เคราะห์ดีที่ท่านแม่เป็นพวกไม่ชอบให้มีคนประกบหน้าประกบหลัง ยามได้ยินว่าบุตรสาวจะมาเยี่ยมก็ได้จัดการไล่สาวใช้พวกนั้นออกไปนานแล้ว ตอนนี้ในเรือนจึงเหลือเพียงอันซื่อ เฉินเจิ้งและเฉินลี่เซียนเท่านั้น

กุนซือผู้มิเคยพ่ายแพ้แก่ศัตรูใดเมื่อได้ยินคำน้องสาวยังรู้สึกทำตัวไม่ถูก เฉินเจิ้งวางจอกชาลงอย่างกระอักกระอ่วน ถลึงตาดุไปครั้งหนึ่ง

“จนแต่งงานออกเรือนแล้วเหตุใดยังมิรู้จักสงวนคำพูดอีก เรื่องพวกนั้นพูดออกมาตรง ๆ ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

เฉินลี่เซียนก่อนแต่งออกมักจะคลุกคลีอยู่กับเฉินเจิ้งเสมอ นิสัยใจคอเขานางมองทะลุปรุโปร่งได้นานแล้ว เห็นเขาถลึงตาดุใส่นางมีหรือจะยอม เฉินลี่เซียนยกมือเท้าเอว ขึงตาสู้

“กับพวกท่านก็นับเป็นคนอื่นหรือ เช่นนั้นหากข้ามีเรื่องร้อนใจก็กลับจวนนี้ไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”

เฉินเจิ้งจะอ้าปากเถียงแต่กลับโดนสายตาห้ามปรามของอันซื่อขัดไว้ก่อน เขาพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ลุกขึ้นยืนเดินหนีออกไปอีกทางแต่ก็ยังพอมีสติงับบานประตูให้มิดชิดด้วยรู้ว่าเรื่องที่มารดาและน้องสาวกำลังจะหารือเป็นเรื่องที่มิควรให้คนนอกได้ยินเป็นอันขาด

ฮูหยินน้อยจวนกั๋วกงแต่งงานมาร่วมครึ่งปีแต่มิเคยเข้าหอกับสามีสักครั้ง เรื่องพรรค์นี้แค่หลับตาก็เห็นเค้าลางหายนะได้แล้ว หากแพร่ออกไป นอกจากชื่อเสียงน้องสาวต้องมัวหมอง นางอาจถึงขั้นถูกหย่าก็เป็นได้ เช่นนั้นก็ยอมลงให้นางหน่อยแล้วกัน

เฉินลี่เซียนชะเง้อคอมองจนเห็นว่าเฉินเจิ้งเดินออกไปไกลแล้วจริง ๆ ถึงได้หันมาฉุดมือมารดาเดินไปอีกทาง นางนั่งลงบนตั่งเก้าอี้กว้าง พูดอย่างคับอกคับใจว่า

“ท่านแม่ ข้าหมดหนทางแล้วจริง ๆ ถึงต้องมาขอร้องพึ่งพิงท่าน ท่านรู้หรือไม่ เขากลับมาจากตรวจตราร้านค้าข้าก็ทำอาหาร สรรหาขนมไว้คอยท่าเขา ข้าถึงขั้นปักผ้าให้เขาด้วย ท่านแม่ ท่านก็รู้ว่าหลัง ๆ มานี้ข้าไม่ชอบการปักผ้าแล้ว แต่เห็นสาวใช้เล่าถึงหลงจู๊ผู้หนึ่งภรรยาปักผ้าลงบนเสื้อทุกตัว มาดว่าอยากให้สามีนึกถึงตนเองตอนออกไปทำงานข้าเลยเอาอย่าง นั่งปักเสียจนเลือดตาแทบกระเด็น ปักดอกเหมยให้เขาไปตั้งหลายตัว”

พูดมาถึงตรงนี้จากสีหน้าคับข้องใจกลายเป็นโมโหเสียแล้ว เฉินลี่เซียนยิ่งพูดยิ่งพรั่งพรูแรงอารมณ์ออกมา “เขาไม่ดีใจก็แล้วไปเถิด บางครั้งเขาก็ติว่านี่เค็มไป นั่นหวานไป นี่จืดไป ข้าก็เก็บไปปรับทุกรอบ สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่พอใจอยู่ดี ข้าก็ไม่ได้เก็บเอามาเป็นอารมณ์สักนิด ตกเย็นมืดค่ำยังนั่งรอเขาบนเตียงเสมอ ท่านแม่ ท่านดูเอา ข้าทั้งพูดอ้อมค้อมทั้งแสดงออกโจ่งแจ้งปานนั้นเขาก็ยังไม่เข้าหอกับข้า-”

เฉินลี่เซียนมิอาจพูดเรื่องนี้กับหลันหลันได้ กระทั่งกับแม่สามีก็ไม่ได้ มีเพียงอันซื่อเท่านั้นที่นางจะสามารถระบายทุกอย่างได้หมดจด เฉินลี่เซียนพูดไปด้วยทบทวนคำพูดไปด้วย ครั้นพูดมาถึงประโยคสุดท้ายก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาหงส์พลันเบิกกว้าง น้ำเสียงมีตกใจปะปนมากถึงเจ็ดส่วน

“ท่านแม่ หรือว่าเขาเป็นต้วนซิ่ว?”

“เจ้าเด็กคนนี้!” อันซื่อนั่งฟังบุตรสาวมาตลอด จนได้ยินนางพูดจาไร้สาระถึงได้ยื่นมือไปหยิกเนื้อนิ่มเข้าเต็มแรง “เขาจะเป็นต้วนซิ่วได้อย่างไร มิเช่นนั้นจะแต่งงานกับเจ้าทำไมเล่า!”

เฉินลี่เซียนเคยอาศัยอยู่ในวัดแห่งนั้นมานานหลายปี เรื่องที่ไม่สมควรก็เห็นทั้งหมด นางถึงได้เถียงต่อ “ท่านแม่ ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นต้วนซิ่วแล้วเหตุใดถึงไม่แตะต้องข้าเลยเล่า หรือว่าข้างดงามไม่พอ”

ฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่าบุตรสาวพูดเลื่อนเปื้อนเสียแล้ว อันซื่อส่ายหน้า “เซียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่าเขาถึงขั้นเปรยกับเจ้าเรื่องหลงจู๊ผู้นั้น ยังมีปิ่นหยกนั่นอีก คนเราน่ะ หากไม่รักไม่ชอบแล้ว แม้แต่หางตาก็มิอยากจะชายตามอง กลับกัน หากมิรักมิชอบแต่จำเป็นต้องแกล้งทำก็ยิ่งต้องทำให้เอิกเกริก ป่าวประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารับรู้ว่าเขารักเจ้ามากเพียงใด เช่นนี้ลับหลังถึงจะได้ลอบทำเรื่องราวลับ ๆ เหล่านั้นได้อย่างสบายใจไร้คนจับผิด”

เฉินลี่เซียนเอียงคอ ถึงจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งทั้งก่อนหน้านั้นก็ยังได้เห็นโลกภายนอกมาค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นบริเวณจำกัดยิ่ง ระยะห่างที่นางล่องลอยได้นั้นก็มีจำกัด เรื่องราวมากมายก็ล้วนฟังมาจากผู้อื่น ยามนี้ได้ยินมารดาสอนสั่งก็รู้สึกว่าเป็นมุมมองแปลกใหม่อย่างที่ตัวนางมิเคยได้ลองคิดมาก่อนจึงนั่งนิ่ง ตั้งใจฟังอย่างดี

อันซื่อเห็นบุตรสาวนิ่งลงก็ยกยิ้มเอ็นดู ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ค่อยเอ่ยปาก “เอาเช่นนี้แล้วกัน แม้จะดูไม่ดีไปบ้างแต่เพราะเจ้าแต่งเข้าบ้านสามีอย่างถูกต้อง การยั่วยวนสามีก็คงมิได้ผิดอันใดมากนัก”

เฉินลี่เซียนงุนงง “ท่านแม่ ข้าก็ยั่วยวนเขาอยู่ทุกวัน”

“เด็กน้อย ที่เจ้าทำมันเรียกว่าการแสดงความรักต่างหาก ยั่วยวนอันใด ปักผ้า ทำอาหาร ส่งขนม” อันซื่อโบกมือปัด สายตาที่ทอดมองราวกับมองเด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นผู้หนึ่ง คำพูดนั้นทำเอาเฉินลี่เซียนตะลึงตะลานคล้ายมีสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ตกใจเสียจนมิอาจเก็บสีหน้าไว้ได้

นี่- นี่- ที่ผ่านมาข้ามิได้ยั่วยวนเลยหรือ!?

เฉินลี่เซียนอยากจะทึ้งหัวตนเองนักแต่เพราะยังต้องฟังคำแนะนำจากท่านแม่ต่อจึงห้ามฝ่ามือไว้ได้ทัน สีหน้าบุตรสาวคนงามแข็งค้าง แม้แต่รอยยิ้มยังดูฝืนชอบกล เห็นนางเป็นเช่นนั้นอันซื่อก็มิอาจหักหน้าด้วยการเปล่งเสียงหัวเราะได้ สุดท้ายจึงจำใจต้องกลืนเสียงขบขันลงท้อง ปั้นหน้าจริงจังแทน

นางกวักมือเรียกเฉินลี่เซียนเข้าไปใกล้ ก่อนจะป้องปากกระซิบ “เจ้าอยากเข้าหอกับเขา มอมเหล้าเขาก็สิ้นเรื่อง อย่างไรก็เป็นสามีภรรยา นั่งร่ำสุรากันจนเมามายมิมีอันใดผิดธรรมเนียมหรอก”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ