ตอนที่ 9 ความตั้งใจของลู่ฟางหนิง

ลู่ฟางหนิงไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใดนางถึงได้เดินหนีโจวหยางอวี้มาเช่นนี้ หรืออาจเป็นเพราะในชีวิตก่อนนางเคยทำผิดไว้กับเขา เมื่อต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้ง นางจึงยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะสนทนากับเขา

“หนิงหนิงเจ้าเป็นอันใดหรือ เหตุใดสีหน้าถึงได้เป็นเช่นนั้น”

ลู่เหว่ยหรงเอ่ยถามน้องสาว เมื่อเห็นว่านางเดินกลับมายังกระโจมที่พักด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก อาการของซูเยี่ยนหลิงก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น เพราะรุ่ยอ๋องช่วยเหลือไว้ได้ทัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าอาการป่วยของนางอาจกำเริบขึ้นมา

“หรือว่าเจ้าไข้ขึ้น?” ลู่เหว่ยหรงเอื้อมมือไปวัดความร้อนบนหน้าผากของน้องสาว แต่เมื่อพบว่านางไม่มีความผิดปกติอันใด คิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน

ลู่ฟางหนิงดึงมือพี่ชายคนรองออก เอ่ยว่า “ข้ามิได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ พี่รองอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ข้าแค่เหนื่อยจากการเข้าป่าล่าสัตว์เท่านั้น พักผ่อนสักประเดี๋ยวคงจะดีขึ้น”

ลู่เหว่ยหรงได้ยินน้องสาวเอ่ยบอกเช่นนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจ “เช่นนั้นเจ้าก็รีบพักผ่อนเถิด หากถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเดี๋ยวข้าจะมาเรียกอีกครั้ง”

“เจ้าค่ะ” ลู่ฟางหนิงรับคำ ก่อนจะเดินเข้ากระโจมที่พักของตนเองไป

แม้จะบอกกับพี่ชายว่าต้องการพักผ่อน ทว่าลู่ฟางหนิงกลับไม่สามารถข่มตาตนเองให้นอนหลับได้เลย เพราะในหัวของนางครุ่นคิดแต่เรื่องของโจวหยางอวี้ไม่หยุด ชาติก่อนเพราะหลงมัวเมากับความรักจอมปลอมของโจวหยางเทียน นางถึงได้ทำให้โจวหยางอวี้ต้องพบกับจุดจบอันน่าอนาถ ความรู้สึกผิดบาปในครั้งนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของนางไม่เคยจางหาย

“ข้าควรทำอย่างไรดี…” ลู่ฟางหนิงพึมพำกับตนเอง แม้ว่ายามนี้นางสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองกับโจวหยางเทียนได้แล้ว ทว่านางยังไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยโจวหยางอวี้ให้รอดพ้นจากจุบจบอันน่าอนาถเช่นนั้นได้อย่างไร เพราะนางเองก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อน นางจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยขนาดไหน

แต่ในเมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง นางจะขอชดใช้ความผิดเหล่านั้นจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ภายในใจของนางจึงตั้งมั่นไว้ว่าชาตินี้นางจะคอยเป็นเงาของโจวหยางอวี้ หากใครคิดร้ายต่อเขา นางจะกำจัดทิ้งไม่ให้เหลือซาก เพียงแต่นางไม่สามารถทำเรื่องทั้งหมดได้เพียงคนเดียว

แต่แล้วลู่ฟางหนิงก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ในชีวิตก่อนของนาง นางก็มิได้ช่วยเหลือโจวหยางเทียนเพียงลำพัง ทว่ายามนั้นนางแอบซุกซ่อนกำลังลับเอาไว้ พวกเขาเป็นนักฆ่าฝีมือดีที่ติดตามอยู่ข้างกายของนางมานานหลายปี แต่กว่าที่นางจะสามารถทำให้คนเหล่านั้นมาเป็นพวกได้ ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

ลู่ฟางหนิงจึงคิดว่าชีวิตนี้นางจะไม่เป็นแม่ทัพหญิงแล้ว แต่นางจะเป็นนักฆ่าไร้เงา คอยกำจัดศัตรูให้กับโจวหยางอวี้เพื่อชดเชยความผิดบาปในชาติก่อนที่เคยทำไว้กับเขา ตำแหน่งรัชทายาทของเขา นางก็จะปกป้องเอาไว้จนสุดกำลัง มิให้ใครหน้าไหนแย่งไปจากเขาได้เด็ดขาด และที่สำคัญฝีมือการต่อสู้ในชาติก่อนยังติดตัวนางมาด้วย ทว่าเรื่องนี้นางต้องเก็บไว้เป็นความลับ จนกว่าจะสามารถเอาคืนโจวหยางเทียนกับซูเยี่ยนหลิงได้

ไม่รู้ว่าลู่ฟางหนิงครุ่นคิดเรื่องราวเหล่านี้ไปนานขนาดไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีพี่ชายคนรองของนางก็เข้ามาเรียกให้ไปทานอาหารเย็นร่วมกับบิดาและพี่ชายคนโตแล้ว

เช้าวันถัดมา

ขุนนางหลายคนและครอบครัวของพวกเขาต่างมารวมตัวกันที่ลานล่าสัตว์อีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานนี้พวกเขาได้เข้าป่าล่าสัตว์ วันนี้ฮ่องเต้จะประกาศผู้ชนะและทรงพระราชทานรางวัลให้ ซึ่งผู้ที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุดในครั้งนี้คือองค์รัชทายาทโจวหยางอวี้ เขาจึงเป็นผู้ชนะไปโดยปริยาย สตรีหลายนางต่างลอบชื่นชมเขาไม่หยุด หากแต่สายตาของเขาไม่เคยเหลือบมองพวกนางแม้เพียงครั้งเดียว

ลู่ฟางหนิงเองก็ยินดีกับชัยชนะของโจวหยางอวี้ด้วยเช่นกัน แม้ในชาติก่อนนางจะจดจำได้ว่าเขาเป็นผู้ชนะ แต่นางในยามนั้นมิได้สนใจเขามากนัก เพราะหัวใจของนางกำลังหมกมุ่นอยู่กับโจวหยางเทียน ทว่าเมื่อได้มองเขาให้ดีอีกสักครั้ง นางกลับพบว่าเขาเป็นบุรุษที่สง่าผ่าเผยเหมาะสมกับตำแหน่งฮ่องเต้คนต่อไปของแคว้นโจวมากกว่าโจวหยางเทียนเสียอีก

ทว่านางก็ยังคิดหาเหตุผลไม่ออก ว่าบุรุษผู้เพียบพร้อมอย่างโจวหยางอวี้ชอบนางตั้งแต่ตอนไหน เพราะเท่าที่จำได้ นางกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้จะเคยพบกันเป็นครั้งคราวตามงานเลี้ยงต่างๆ แต่นางกับเขาก็ไม่เคยได้สนทนาอย่างสนิทสนมกันเลยสักครั้งเดียว

และถึงแม้ว่านางจะเคยเข้าไปเป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนขององค์หญิงสามในระยะเวลาที่ไม่นานมากนัก ทว่านางกับเขาก็ไม่เคยพบเจอกันในวังหลวงมาก่อน เหมือนชีวิตของพวกเขาเดินทางเป็นเส้นขนานกันตลอด แล้วเขาจะมาหลงรักหรือชอบพอนางได้อย่างไร

ทว่าความสงสัยเหล่านี้ของลู่ฟางหนิงกลับไม่สามารถหาคำตอบได้ นอกจากนางต้องไปถามจากโจวหยางอวี้เอาเอง แต่นางก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะนางยังไม่รู้ว่ายามนี้เขามีใจให้นางแล้วหรือไม่ ที่สำคัญนางยังไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง ดังนั้นความสงสัยนี้ นางจึงพับเก็บไว้ในใจ รอว่าสักวันคงจะได้รับคำตอบอย่างแน่นอน

“คิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?”

เสียงเรียกของลู่เหว่ยหรงที่ดังขึ้นอยู่ด้านข้าง ดึงให้สติของลู่ฟางหนิงที่กำลังครุ่นคิดไปไกลหวนคืนกลับมา

นางหันไปมองหน้าพี่ชายคนรอง แย้มรอยยิ้มไร้เดียงสาให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกเสียดายที่ล่าได้เพียงแค่ไก่ป่าเท่านั้น หากรู้ว่าฮ่องเต้จะมอบของรางวัลให้กับผู้ชนะมากขนาดนั้น ข้าจะตั้งใจล่าสัตว์ให้ได้มากกว่านี้”

อันที่จริงฝีมือระดับลู่ฟางหนิงสามารถล่าได้กระทั่งเสือโคร่งตัวใหญ่ ทว่านางจงใจล่าได้เพียงแค่ไก่ป่าสองตัวเท่านั้นเพราะไม่อยากเป็นที่ถูกจับตามอง และไม่ต้องการทำให้บิดาและพี่ชายเกิดความสงสัยในตัวนาง

ลู่เหว่ยหรงได้ยินน้องสาวเอ่ยเช่นนั้นก็หลุดขำออกมา เพราะพวกเขาล่าได้ทั้งกวางป่าและสุนัขจิ้งจอก อีกทั้งยังคิดว่าจะนำขนของสุนัขจิ้งจอกไปทำเป็นเสื้อคลุมให้กับมารดาและน้องสาวอีกด้วย

ลู่จางหมิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างกันก็สนใจหันไปร่วมวงสนทนาอีกคน “หากเจ้าอยากล่าสัตว์ได้มากกว่านี้ เจ้าต้องรีบพัฒนาฝีมือของตนเอง อย่างเช่นไปฝึกฝีมือกับพวกข้าที่ค่ายทหารสกุลลู่ดีหรือไม่”

ลู่ฟางหนิงได้ยินคำพูดพี่ชายคนโต นางก็หวนนึกถึงชีวิตในชาติก่อนของตนเอง เพราะนางในยามนั้นอยากมีฝีมือที่เก่งกาจเฉกเช่นบิดาและพี่ชายทั้งสอง นางจึงได้ติดตามพวกเขาไปฝึกฝีมือที่ค่ายทหาร จนในที่สุดนางก็สามารถเป็นแม่ทัพหญิงคนแรกของแคว้นโจวได้ และโจวหยางเทียนก็คอยใช้คำหวานเป่าหูนางให้ทำตามแผนการของเขาไปทีละขั้น โดยที่นางก็ยังไม่รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านั้นที่นางกระทำลงไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ กว่านางจะรู้ตัวอีกที มือของนางก็แปดเปื้อนเลือดของผู้คนไปมากมายเพื่อเขาแล้ว

“ว่าอย่างไรเล่า หากเจ้าอยากไปข้าจะขอร้องท่านพ่อให้” ลู่เหว่ยหรงเอ่ยถามน้องสาวซ้ำอีกครั้ง เมื่อพบว่านางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรและยังไม่ได้เอ่ยตอบคำถามของพี่ชายคนโตเสียที

ลู่ฟางหนิงพับเก็บความคิดทั้งหมดกลับไป ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของพี่ชายทั้งสองว่า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนพี่ใหญ่กับพี่รองขอร้องท่านพ่อให้ข้าแล้วเจ้าค่ะ”

ลู่จางหมิ่นกับลู่เหว่ยหรงได้ยินคำตอบของน้องสาว พวกเขาก็แย้มรอยยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยบอกนางเป็นเสียงเดียวกัน “ได้/ได้”

โพสต์ข้อความ