หลังจากที่ลู่ฟางหนิงได้กำจัดเสี้ยนหนามของโจวหยางเทียนไปจนหมด ในที่สุด เขาก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้คนใหม่ของแคว้นโจว อีกเจ็ดวันข้างหน้าถึงจะสถาปนาขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ เซวียกุ้ยเฟยมารดาของเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเซวียไทเฮา ส่วนการแต่งงานของเขากับลู่ฟางหนิงได้ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในเวลาต่อมา
ลู่ฟางหนิงสวมใส่ชุดเจ้าสาวสีแดงมงคลกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่ภายในห้องหออย่างใจจดใจจ่อ หลังจากที่มือของนางต้องเปื้อนเลือดผู้คนมากมายเพื่อโจวหยางเทียน ในที่สุด นางกับเขาจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขเสียที
ดวงหน้าของลู่ฟางหนิงในยามนี้จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี และเมื่องานแต่งของพวกเขาเสร็จสิ้น โจวหยางเทียนจะแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮาเคียงข้างบัลลังก์กับเขาตราบชั่วนิจนิรันดร์ ในขณะที่ลู่ฟางหนิงกำลังเพ้อฝันถึงชีวิตอันสวยงามที่กำลังรออยู่ เบื้องหน้าของนางพลันปรากฏฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงระบายรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง เพราะฝีเท้านี้เป็นของโจวหยางเทียน เจ้าบ่าวของนางไม่ผิดแน่
ทว่าไม่นานรอยยิ้มของลู่ฟางหนิงก็ต้องหุบลง เมื่อพบว่าด้านข้างของเขากลับปรากฏฝีเท้าของคนอีกผู้หนึ่ง แม้จะมองไม่เห็นดวงหน้าของเจ้าของฝีเท้านั่น แต่ขนาดและลักษณะของรองเท้าเป็นของสตรีไม่ผิดแน่
“ลู่ฟางหนิง หน้าที่ของเจ้าจบลงแล้ว”
น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนของโจวหยางเทียน มาบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแข็งกระด้าง ลู่ฟางหนิงที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จนไม่สามารถควบคุมสีหน้าของตนได้อีกต่อไป
“ท่านอ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ?” ลู่ฟางหนิงเอ่ยถามออกไปราวกับคนโง่ แม้ในใจเริ่มตระหนักได้แล้วว่าตนเองกำลังจะถูกรุ่ยอ๋องหักหลัง
“ในเมื่อข้าได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องเก็บสตรีร้ายกาจเช่นเจ้าเอาไว้ข้างกายอีกต่อไป ส่วนครอบครัวของเจ้า ตอนนี้คงถูกประหารด้วยข้อหากบฏไปแล้วกระมัง”
“ไม่จริง ท่านอ๋อง เหตุใดถึงทำกับหม่อมฉันเช่นนี้!”
ดวงตากลมโตของลู่ฟางหนิงเบิกโพลงเพราะไม่คาดคิดว่าหลังจากที่นางทำทุกอย่างเพื่อโจวหยางเทียน สุดท้ายเมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ เขากลับเขี่ยนางทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วคำบอกรักที่เขาพร่ำบอกนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นนั้นก็เป็นเพียงคำลวงที่เขาสร้างขึ้นมาให้นางตายใจหรอกหรือ
โจวหยางเทียนมองลู่ฟางหนิงด้วยสายตาเย็นชา ก่อนน้ำเสียงเย้ยหยันจะเอ่ยขึ้นอีกรอบ “ลู่ฟางหนิง ก่อนที่เจ้าจะตายตามครอบครัวของเจ้าไป ข้าจะบอกความจริงทั้งหมดให้เจ้าได้รับรู้ก็แล้วกัน”
“...” แม้ไม่อยากได้ยินในสิ่งที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมา ทว่าลู่ฟางหนิงก็ยังได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นอย่างชัดเจนเต็มสองรูหู
“คนที่ช่วยเหลือเจ้ามาโดยตลอดแท้จริงแล้วหาใช่ข้า แต่เป็นโจวหยางอวี้ บุรุษที่เจ้าสังหารไปเพื่อให้ข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในตอนที่เจ้าพลัดตกจากหลังม้า หรือแม้แต่ตอนที่เจ้าถูกโจรดักซุ่มทำร้าย อ้อ...แล้วก็มีอีกเรื่องที่ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นข้าที่จงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง หากจะพูดให้ถูก ข้าเป็นคนทำให้ม้าของเจ้าคุ้มคลั่ง จ้างกลุ่มโจรไปดักทำร้ายเจ้า ทว่าช่างน่าเสียดายยิ่งนักที่น้องชายของข้าดันช่วยเหลือเจ้าไว้ได้ทุกครั้ง แต่เพราะโจวหยางอวี้ไม่เคยปรากฏตัวเพื่อรับความดีความชอบเหล่านั้นไป ข้าจึงรีบสวมรอยทำทีว่าเป็นคนช่วยเหลือเจ้าไว้เอง คนอย่างเจ้าช่างโง่เขลายิ่งนักที่ถูกข้าหลอกใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ขอบใจนะที่เจ้ายอมให้มือของตนเองเปื้อนเลือดแทนข้า ฮ่าๆๆ”
หลังสิ้นคำพูดนั้น โจวหยางเทียนก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ลู่ฟางหนิงที่ได้ยินดังนั้นทั้งรู้สึกเจ็บปวดและผิดหวังจนพูดอันใดไม่ออก
นางถูกโจวหยางเทียนหลอกใช้มาตั้งแต่แรก เพราะความโง่เขลาและหลงมัวเมากับคำบอกรักจอมปลอมของเขา นางจึงทำให้ทุกคนในครอบครัวก้าวไปสู่หายนะ รวมถึงตัวนางด้วยเช่นกัน
และเมื่อนางได้ทราบความจริงทุกอย่าง ร่างกายของนางก็ทรุดลงพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความรู้สึกต่างๆ อัดแน่นอยู่ภายในอกจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
ในใจคิดโทษตนเองอยู่ซ้ำๆ นางรู้แล้วว่าตนเองพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะความโง่เขลา โง่ซ้ำ โง่ซากที่มองไม่ออกว่าบุรุษตรงหน้านั้นชั่วช้ามากเพียงใด
นางคับแค้นใจจนแทบกระอักเลือดออกมา แม้อยากจะพุ่งตัวเข้าไปกระชากร่างของบุรุษตรงหน้าให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าชั่วขณะที่คิดจะกระโดดเข้าไป ร่างกายของนางก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรง
“เหตุใดร่างกายของข้า....”
สายตาของลู่ฟางหนิงจ้องมองไปยังจอกน้ำชาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้องทันที ในตอนนั้น นางถึงได้รู้ว่าโจวหยางเทียนต้องใส่บางสิ่งบางอย่างผสมลงไปในนั้นอย่างแน่นอน ร่างกายของนางถึงได้ไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้
“เพิ่งรู้ตัวละสิว่าในน้ำชามียาพิษผสมอยู่...”
หลังจากได้ยินถ้อยคำนั้น ดวงตาของลู่ฟางหนิงก็แข็งกร้าวด้วยความอาฆาตแค้นที่เสียรู้ให้กับโจวหยางเทียนมาโดยตลอด ทว่าชั่วขณะที่คิดว่าตนเองกำลังจะตายด้วยน้ำมือของบุรุษชั่ว ร่างของใครบางคนที่นางเหมือนจะเห็นในคราแรกก็เดินมาปรากฏตัวตรงหน้า
ลู่ฟางหนิงเบิกตาค้างด้วยความตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของนางคือ ‘ซูเยี่ยนหลิง’ สหายรักของนาง และนางยิ่งตกใจมากกว่าเดิม เมื่อพบว่าหน้าท้องของซูเยี่ยนหลิงขยายใหญ่ราวกับตั้งครรภ์มาแล้วหลายเดือน ในขณะที่นางทั้งสับสนและตกใจกับภาพตรงหน้า โจวหยางเทียนก็ได้บอกความจริงอีกเรื่องให้นางได้รับรู้
“อ้อ...แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกเจ้าไป ข้ากับหลิงเอ๋อร์พวกเราสานสัมพันธ์กันมานานแล้ว หลังจากที่เจ้าตายไปตำแหน่งฮองเฮาจะตกเป็นของนาง”
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างเข้าด้วยกัน ลู่ฟางหนิงก็เข้าใจแล้วว่านางถูกชายคนรักกับสหายคนสนิทรวมหัวกันหลอกใช้ แม้จะไม่รู้ว่าพวกเขาแอบไปสานสัมพันธ์กันตอนไหน แต่นางก็มั่นใจว่าการที่โจวหยางเทียนเข้าหานาง เป็นเพราะเขาต้องการหลอกใช้นางและยืมอำนาจสกุลลู่ของนางกำจัดเสี้ยนหนามเพื่อให้เขาได้ครองบัลลังก์อย่างง่ายดาย
ลู่ฟางหนิงเคยคิดว่าตนเองเป็นคนที่เก่งกาจและฉลาดที่สุด แม้แต่ศัตรูในสนามรบ นางก็สังหารมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่านางกลับมองความจอมปลอมของชายคนรักกับสหายคนสนิทไม่ออกได้อย่างไร ในตอนนั้น นางจึงระเบิดหัวเราะออกมาราวกับคนบ้า และก่อนที่พิษร้ายจะได้ช่วงชิงลมหายใจของนางไป นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยความอาฆาตแค้น พร้อมกับจ้องมองไปทางชายโฉดหญิงชั่วที่รวมหัวกันหลอกใช้นาง
“ชีวิตนี้แม้นตายข้าก็ไม่เสียดาย แต่พวกเจ้าสองคนจงจำไว้ ว่าพวกเจ้าล้วนติดค้างข้า ส่วนคนที่ข้าติดค้างอย่างแท้จริงคือโจวหยางอวี้ ชาตินี้แม้มิอาจชดใช้ จะขอตามไปชดใช้ให้ในชาติหน้า...”
หลังสิ้นคำพูดนั้น ลู่ฟางหนิงก็กระอักเลือดสีดำออกมา ดวงตาทั้งสองข้างยังเบิกกว้าง ราวกับว่ายังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องในอดีตได้
หากสวรรค์ยอมมอบโอกาสให้นางอีกครา นางขอสัญญาว่าจะไม่ยอมให้ความรักบังตาจนทำให้ตนเองและครอบครัวต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เด็ดขาด แต่นางก็สุดจะรู้ว่าสวรรค์จะยอมเมตตาให้โอกาสคนชั่วช้าเช่นนางหรือไม่...