จวนสกุลลู่
ลู่ฮูหยินออกมารอรับสามีและบุตรสาวบุตรชายอยู่ด้านหน้าประตูจวน ขณะที่พวกเขาทั้งสี่คนออกไปล่าสัตว์นางเป็นกังวลมากเพราะบุตรสาวคนเล็กเพิ่งหายป่วย ลู่ฮูหยินกลัวว่าอาการของนางจะทรุดลง แต่เมื่อเห็นว่าลู่ฟางหนิงลงมาจากรถม้าด้วยท่าทางแข็งแรงดีราวกับว่าความเจ็บป่วยนั้นได้จางหายไปแล้ว ลู่ฮูหยินก็คลายความกังวลของตนลง
“ท่านแม่” ลู่ฟางหนิงเดินเข้าไปหามารดาด้วยความคิดถึง สองแม่ลูกกอดกันอยู่ครู่หนึ่งบุรุษทั้งสามที่เพิ่งลงมาจากหลังม้าจึงเดินเข้ามาสมทบ
แม่ทัพลู่หนิงเหอเข้าไปจับมือภรรยาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ บอกกับนางว่าเขาดูแลลู่ฟางหนิงเป็นอย่างดี รอยขีดข่วนแม้แต่รอยเดียวก็ไม่มี นั่นจึงทำให้ลู่ฮูหยินยิ้มออกมาได้ ลู่จางหมิ่นกับลู่เหว่ยหรงเองก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนนำขนสุนัขจิ้งจอกที่ล่ามาได้มอบให้กับมารดา บอกให้มารดานำไปตัดเสื้อคลุมใส่กับน้องสาว ลู่ฮูหยินรับมาด้วยรอยยิ้ม
ภาพเหล่านี้ทำให้คนด้านนอกที่ไม่รู้เรื่องราวอันใดเข้าใจว่าสกุลลู่เป็นครอบครัวที่รักใคร่กันดี แม่ทัพลู่หนิงเหอรักลู่ฮูหยินหรือ ‘ไป๋เจียฮวา’ มาก จนกระทั่งมีบุตรสาวบุตรชายด้วยกันถึงสามคน แต่ใครจะรู้ว่านอกจากไป๋เจียฮวา แม่ทัพลู่หนิงเหอจะมีภรรยารองอีกคนนามว่า ‘จูเหิงเยว่’
แต่ฮูหยินรองผู้นี้หาได้รับความรักความโปรดปราณจากแม่ทัพลู่หนิงเหอเท่าที่ควร นางกับบุตรสาวนามว่า ‘ลู่อวิ้นเหมย’ จึงกลายเป็นเพียงคนที่ไร้ตัวตนในสกุลลู่เท่านั้น และยามนี้พวกนางสองแม่ลูกก็กำลังมองภาพแม่ทัพลู่หนิงเหอที่กำลังมอบความรักใคร่ให้กับลู่ฮูหยินและบุตรสาวบุตรชายทั้งสามคนด้วยความริษยา
ลู่อวิ้นเหมยมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา แม้นางจะเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนสกุลลู่ แต่ในสายตาของบิดาเหมือนจะมีเพียงแค่ลู่ฟางหนิงเท่านั้นที่เป็นบุตรสาวของเขา ขณะที่จูเหิงเยว่กำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ เพราะตั้งแต่ตบแต่งมาเป็นฮูหยินรองของจวนสกุลลู่ แม่ทัพลู่หนิงเหอก็ไม่เคยมอบความรักให้กับนางเลยสักครั้งเดียว หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น นางคงไม่ได้กลายมาเป็นฮูหยินรองของเขาเช่นนี้
“ริษยาไปก็ไม่มีอันใดดีขึ้นหรอกเจ้าค่ะ ปล่อยวางเสียเถิดท่านแม่” ลู่อวิ้นเหมยเอ่ยบอกมารดาซึ่งยามนี้ความริษยาของนางแทบจะฉีกร่างของลู่ฮูหยินออกเป็นพันๆ ชิ้นได้อยู่แล้ว
ทว่าจูเหิงเยว่ราวกับจะไม่ได้ยินคำตักเตือนนั้นของบุตรสาวเลยสักนิดเดียว “เจ้าจะไม่ให้ข้ารู้สึกริษยาไป๋เจียฮวาได้อย่างไร ข้าก็เป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านแม่ทัพ แต่เขากลับมอบความรักให้กับสตรีนางนั้นเพียงผู้เดียว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะต้องอกแตกตายแน่ๆ”
ลู่อวิ้นเหมยมองมารดาของตนที่ยามนี้กำลังถูกความริษยาเข้าครอบงำจนกู่ไม่กลับก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา แม้ภายในใจของนางจะริษยาน้องสาวต่างมารดาผู้นั้นที่ได้รับความรักจากบิดาไม่ต่างจากมารดาที่ริษยาลู่ฮูหยิน แต่นางก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมาให้ใครได้เห็น แม้บิดาจะไม่เคยมอบความรักให้กับนาง แต่นางก็ไม่อยากให้บิดามองนางด้วยสายตาไม่ดี ลู่อวิ้นเหมยจึงวางตัวเป็นคุณหนูใหญ่ผู้เรียบร้อยและไม่เคยสร้างปัญหามาโดยตลอด ดังนั้นต่อให้นางจะไม่เคยได้รับความรักจากบิดา แต่บิดาก็ไม่เคยมองนางในทางที่ไม่ดีสักครั้ง
“หากท่านออกไปโวยวายตอนนี้ คิดหรือว่าท่านพ่อจะหันมาสนใจท่าน เก็บความริษยาของท่านเอาไว้เสียเถิดถือว่าข้าแนะนำแล้ว”
จูเหิงเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา แต่ก็จริงอย่างที่บุตรสาวเอ่ยบอก ต่อให้นางไปโวยวายต่อหน้าแม่ทัพลู่หนิงเหอ บุรุษผู้นั้นก็คงจะไม่ทำอันใด นอกจากมองนางด้วยความรำคาญเท่านั้น
“แล้วเจ้าจะให้ข้าอยู่ด้วยความริษยาเช่นนี้ตลอดไปหรืออย่างไร”
ลู่อวิ้นเหมยได้ยินคำถามนั้นของมารดา นางก็มิได้เอ่ยตอบสิ่งใดออกไป แต่ภายในใจของนางกลับมีแผนการบางอย่าง
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่ลู่ฟางหนิงสนทนากับมารดาจนทำให้มารดาคลายความคิดถึงแล้ว นางจึงกลับมาพักยังเรือนนอนของตนเอง อิ๋นฉายกับอิ๋นเซียงจึงเข้ามาปรนนิบัติลู่ฟางหนิงอาบน้ำ
“คุณหนูพวกเราเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ลู่ฟางหนิงหันไปมองอิ๋นฉายกับอิ๋นเซียงที่เดินถืออาภรณ์เข้ามาจึงพยักหน้าตอบรับ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด หากข้าอาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่จะเรียกพวกเจ้าอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองตอบรับก่อนจะออกจากห้องไป
เมื่อสาวใช้จากไปแล้ว ลู่ฟางหนิงจึงลงไปแช่ตัวในอ่างน้ำที่พวกนางเตรียมไว้ให้ น้ำอุ่นผสานกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบที่อิ๋นฉายกับอิ๋นเซียงเตรียมไว้ให้ทำให้ลู่ฟางหนิงคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ไม่น้อย
ลู่ฟางหนิงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ทว่าภายในหัวของนางกลับครุ่นคิดเรื่องการแก้แค้นโจวหยางเทียนไม่หยุด เพราะนางรู้ดีว่าโจวหยางเทียนจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เขาจะหาทางเข้าหานางจนกว่าจะสำเร็จ หากจำไม่ผิดในชาติก่อนนอกจากเขาจะทำให้ม้าของนางเกิดอาการคลุ้มคลั่งในเทศกาลล่าสัตว์ เขายังจ้างกลุ่มโจรมาดักซุ่มทำร้ายนางเพราะอยากเอาชนะใจนาง หากนับเวลาดูแล้ว อีกสามเดือนข้างหน้าโจวหยางเทียนถึงจะลงมือและเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้โจวหยางอวี้ที่เข้ามาช่วยนางได้รับบาดเจ็บหนักจนกลายเป็นเจ้าชายนิทราถึงหกปีเต็ม
ชาติก่อนลู่ฟางหนิงไม่เคยรู้เรื่องที่โจวหยางอวี้กลายเป็นเช่นนี้เลย เพราะทางราชสำนักได้ปิดบังเอาไว้ กระทั่งความจริงทั้งหมดหลุดออกมาจากปากของโจวหยางเทียน นางถึงได้รู้ว่าเพราะเขามาช่วยนาง เขาถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น แต่เมื่อนำเรื่องราวเหล่านั้นมาปะติดปะต่อกัน ไม่ใช่ว่าเรื่องราวทุกอย่างเป็นแผนการของโจวหยางเทียนหรอกหรือ นอกจากโจวหยางเทียนจะสามารถมัดใจนางได้แล้ว เขายังสามารถสังหารโจวหยางอวี้ได้ในคราเดียวกัน เท่ากับว่ายิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกถึงสองตัว
แต่กระนั้นหลังจากที่โจวหยางอวี้กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ฮ่องเต้ก็มิได้แต่งตั้งใครขึ้นมาเป็นรัชทายาท เพราะพระองค์ยังมีความหวังว่าโจวหยางอวี้จะฟื้นขึ้นมาในสักวัน
โจวหยางเทียนจึงใช้ช่วงเวลาที่โจวหยางอวี้นอนป่วยยืมมือของนางค่อยๆ กำจัดศัตรูไปอย่างใจเย็น เขาต้องการสร้างผลงานเอาหน้าและทำให้ฮ่องเต้เห็นว่าเขาเป็นคนมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาท ทว่าทุกอย่างที่โจวหยางเทียนทำมาเป็นอันต้องสูญเปล่า เมื่อหนิงอ๋องหรือ ‘โจวหยางชิง’ ได้พาหมอเทวดานามว่า ‘ตงหยาง’ เดินทางมาจากพื้นที่อันห่างไกลเพื่อมารักษาอาการของโจวหยางอวี้ จนในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมา
โจวหยางเทียนในตอนนั้นรู้ว่าตนเองหมดหวังในตำแหน่งรัชทายาทแล้ว เขาจึงใช้ทางเลือกสุดท้าย นั่นคือให้นางก่อกบฏเพื่อเขา ในยามนั้นนางมีกำลังลับอยู่ในมือหลายพันคน หากจะก่อกบฏเพื่อชิงบัลลังก์โอกาสสำเร็จก็นับว่ามีมาก แต่เพื่อป้องกันความล้มเหลวที่อาจจะเกิดขึ้น นางจึงไปขโมยตราทัพของบิดาเพื่อสั่งการทหารสกุลลู่ให้ก่อกบฏ นางกับบิดาและพี่ชายจึงแตกหักกันเพราะเรื่องนี้
เดิมทีนางคิดว่าหากนางทำสำเร็จ นางจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้พวกเขาฟัง ทว่านางกลับตกหลุมพรางของโจวหยางเทียน ไม่เพียงนางไม่ได้สะสางเรื่องเข้าใจผิดแก่ครอบครัว ทว่าครอบครัวของนางกลับถูกโทษประหารด้วยข้อหากบฏ หลังจากที่ช่วยโจวหยางเทียนชิงบัลลังก์มาได้แล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางจึงตั้งใจว่าจะช่วยให้โจวหยางอวี้ รอดพ้นจากการถูกลอบสังหาร เพราะนางในยามนี้ไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอและไร้ฝีมืออีกแล้ว แต่ก่อนที่นางจะช่วยโจวหยางอวี้ได้ นางต้องมีคนของตนไว้คอยใช้งานเสียก่อน