ตอนที่ 13 ไม่มีที่ว่างสำหรับเจ้า

เมิ่งลี่อินเคยคิดว่าตอนเช้าตื่นขึ้นมาปรนนิบัติส่งกู้ชาง ออกนอกคฤหาสน์แล้วก็ไปหาท่านแม่ เสร็จจากท่านแม่กลับมากู้ชางก็คงจะไปที่เรือนอนุฟาง ไม่มีเวลากลับมาเรือนใหญ่เช่นนั้นนางจะได้พักผ่อนให้มากหน่อย ไหนเลยจะคิดว่าตนเองคาดการณ์ผิดไป กู้ชางมิได้กลับไปเรือนอนุฟาง เขามาที่เรือนใหญ่ หลังจากทรมานนางจนพอใจแล้วก็จากไป

วันนี้ก็เช่นกัน

เมิ่งลี่อินหอบสมุดบัญชีที่ได้มาจากเจียงฮูหยินกลับเข้าเรือน นางมีสาวใช้ติดตามมาแค่คนเดียวคือฟางหลี่ แต่อีกฝ่ายกลายเป็นอนุไปแล้ว อีกทั้งสาวใช้คนอื่น ๆ ก็ไม่เต็มใจจะรับใช้นาง กู้ชางไม่เคยถือสาหาความสาวใช้พวกนั้น นานวันเข้าก็ยิ่งไม่มีใครยอมช่วยเหลือฮูหยินน้อยแม้แต่การถือของ

เมิ่งลี่อินชินชาเสียแล้ว ก่อนที่นางจะแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลกู้ก็ต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตนเอง เกิดเป็นบุตรอนุหาได้มีชีวิตที่ดีปานนั้น กับแค่การถือสมุดไม่กี่เล่มกลับเรือนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาเกินความสามารถนางสักนิด

เมิ่งลี่อินก้าวเท้าเข้าเรือน นางวางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะด้านข้าง ทว่าตอนที่เงยหน้าขึ้นกำลังจะจุดตะเกียงก็เห็นเงาคนยืนพิงประตูออกไปไม่ไกล เงานั้นสูงโปร่งอาบย้อมไปด้วยกลิ่นอายดุดัน ไม่ต้องจุดให้ไฟสว่างทั่วเรือนเมิ่งลี่อินก็รู้ว่าเป็นใคร

นางจุดไฟในตะเกียง เอ่ยทักทาย “ยินดีต้อนรับกลับเรือนเจ้าค่ะ”

กู้ชางไม่ได้ตอบอันใดกลับ เขาแค่เดินมาชะโงกหน้ามอง “สมุดบัญชี? อย่างเจ้าจะดูแลเรือนได้? เมิ่งลี่อิน ฝันสูงเกินไปกระมัง”

เมิ่งลี่อินบีบมือเข้าหากันแน่น นางค่อย ๆ อธิบาย “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไปคารวะท่านแม่ทุกเช้า เห็นท่านแม่อยู่เรือนเพียงผู้เดียวกลัวว่าท่านแม่จะไม่มีเพื่อนคุยจึงตั้งใจไปปรนนิบัติ ต่อมาท่านแม่นึกสงสารก็เลยสอนเรื่องการดูแลเรือนให้เจ้าค่ะ”

“ท่านอยู่เรือนเพียงผู้เดียว?” กู้ชางขมวดคิ้วฉับ “เจ้าหาว่าข้ากับท่านพ่อดูแลท่านแม่ไม่ดี?”

เมิ่งลี่อินอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้ตีความไปเช่นนั้นได้ แน่นอนว่านางไม่ได้หมายความตามที่เขาพูด “ท่านพ่อสามีและท่านย่อมจะดูแลท่านแม่ได้ดีอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่-”

“เจ้าเพียงแค่ทนไม่ได้ที่ไม่มีใครให้ความสำคัญจึงต้องไปทำตัวน่าสงสารให้ท่านแม่เห็นใจสินะ” กู้ชางแย้มยิ้มพราย แม้รอยยิ้มนั่นจะทำให้เขาดูดีมาก แต่ก็ทำให้แววตาคู่คมน่ากลัวจนไม่กล้าสบตรง ๆ เช่นกัน

“เมิ่งลี่อิน หากเจ้าตั้งใจจะเข้าทางท่านแม่เพื่อให้ข้ายอมรับเจ้าล่ะก็ เลิกคิดไปได้เลย ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนอันใด ข้าจะไม่มีวันยอมรับสตรีปีศาจอย่างเจ้าเป็นภรรยาโดยเด็ดขาด ส่วนเรื่องดูแลเรือนหากเจ้าอยากทำก็ทำไป แต่หากข้าขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเมื่อไหร่ อำนาจดูแลเรือนจะเป็นของผู้อื่น ไม่มีวันวนมาถึงเจ้าแน่”

สมุดบัญชีกองโตถูกปัดหล่นลงพื้นตามด้วยเสียงปิดประตูเรือนดังโครมใหญ่ เมิ่งลี่อินค่อย ๆ หมุนกายมอง เห็นเรือนเล็กข้างสวนดอกเหมยมีตะเกียงไฟจุดติดก็รู้ว่ากู้ชางคงไปหาฟางหลี่แน่แล้ว ดวงตากลมโตเบนมองเรือนใหญ่ของตนเอง

มันทั้งไร้แสงสว่างและไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น เป็นเพียงเรือนใหญ่เย็นเยียบแห่งหนึ่งที่ทำนางรู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินก็ไม่ปาน

ฟางหลี่ได้รับความโปรดปรานมากจนกู้ชางละเว้นการคารวะฮูหยินของนางให้ เมิ่งลี่อินได้ยินสีหน้าคงเดิมมิได้เปลี่ยนไปเป็นร่ำร้องอันใด นางฟังคำจากสาวใช้เสร็จก็โบกมือให้อีกฝ่ายไปได้ก่อนหันกลับมาสนใจงานในมือต่อ

นางไม่สนใจสักนิดว่าฟางหลี่จะมาคารวะนางหรือไม่ มาก็ได้ไม่มาก็ดี ต่างคนต่างอยู่เช่นนี้ย่อมดีที่สุด

ตอนที่นางเป็นบุตรอนุ สืออี๋เหนียงเคยสั่งสอนงานฝีมือมาไม่น้อย เมิ่งลี่อินทำได้ดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานเย็บปักหรืองานครัว มีเพียงอย่างเดียวที่นางไม่เคยทำได้เลยคือการดีดพิณ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสืออี๋เหนียงมีฝีมือดีดพิณเป็นเลิศ ตอนที่ถูกขายเข้าสกุลสุ่ยก็ถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มสาวใช้ที่เป็นดนตรี คอยรับรองยามมีแขกมาเยี่ยมเยียน จวบจนฮูหยินผู้เฒ่าเลื่อนขั้นนางและส่งให้ติดตามสุ่ยฮุ่ยหลิงมาด้วย

เมิ่งลี่อินถนัดงานเย็บปัก อย่างผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่นางถืออยู่ก็เป็นฝีมือนางเช่นกัน เมิ่งลี่อินตั้งใจจะปักนำไปมอบให้เจียงฮูหยิน ฝีเข็มแต่ละอันจึงยิ่งปรานีตเข้าไปใหญ่

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ