ฟากคนเดินจากใช้ชีวิตสำเริงสำราญอยู่ในเรือนอนุ ทิ้งให้ภรรยาตบแต่งนั่งกินดื่มท่ามกลางความเงียบงัน
เมิ่งลี่อินนึกเศร้าอยู่ไม่นานก็ปัดมันออกจากหัว นางคิดเพียงว่าเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีหนทางแก้ไขได้อีก นอกจากทำใจยอมรับสภาพความเป็นอยู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้นางได้ก้าวเดิน เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็คล้ายกับหัวใจเบาหวิว เมิ่งลี่อินตักน้ำในบ่อด้านหลังต้มอาบ กว่าจะจัดการงานทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ดึกดื่นค่อนคืน
ถึงจะเป็นบุตรีอนุแต่ก็เป็นบุตรอนุของพ่อค้าร่ำรวยผู้หนึ่ง เมิ่งลี่อินตอนอยู่คฤหาสน์สกุลเมิ่ง แม้จะต้องรับใช้พี่สาวแต่ก็ไม่ต้องถึงขั้นลงมือทำงานหนักด้วยตนเอง แต่หลังจากอยู่คฤหาสน์สกุลกู้ได้เดือนกว่า ฝ่ามือของนางก็เริ่มมีลายแตกขึ้นมาเป็นริ้ว จับแล้วไม่เนียนนุ่มเหมือนคุณหนูสักนิดเดียว
นางหลุบสายตามองรอยมีดบาดบนมือพลางยกยิ้มอ่อนจาง น้ำเสียงลากยาวเจือความทอดถอนใจไม่น้อย “อีกสักสามเดือนมือข้าคงไม่ต่างจากมือบ่าวใช้แรงงาน”
เมิ่งลี่อินหัวเราะ “เช่นนั้นจะแตกต่างอันใดกับบ่าวพวกนั้นกัน ตำแหน่งฮูหยินนี่คงต้องยกให้อนุฟางแล้วกระมัง”
นางหวีผมพลางคิดไปเรื่อยเปื่อยทว่ายังไม่ทันจะดับตะเกียงเสียงประตูเรือนก็ดังขึ้นขัดความเงียบรอบกาย เมิ่งลี่อินขมวดคิ้วมุ่น เพราะสามีไม่โปรดปรานสาวใช้จึงหลีกเลี่ยงปรนนิบัติ ในเรือนใหญ่แห่งนี้ยามค่ำคืนมีนางเพียงผู้เดียว นางไม่มีแม้แต่สาวใช้เฝ้าหน้าเรือนด้วยซ้ำ เรือนใหญ่แห่งนี้โอ่โถงทั้งยังหรูหราแต่กลับไร้เสียงครึกครื้นอย่างที่ควรจะเป็น บางครั้งถึงขั้นเงียบเชียบเสียยิ่งกว่าชายป่าในตอนกลางคืน เมิ่งลี่อินแรก ๆ ยังไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ แต่หลังจากนานวันเข้านางก็เริ่มปรับตัวได้
ทว่าวันนี้กลับมีเสียงเปิดประตู
ทั้งเรือนมีแค่ข้า หากเป็นโจรขึ้นมาจะทำอย่างไร?
เมิ่งลี่อินเม้มริมฝีปากแน่น ในห้องนอนจุดตะเกียงไว้ไม่มากพอทำให้เห็นเรือนลางเพียงเท่านั้น นางไม่กล้าจุดตะเกียงเยอะด้วยกลัวว่าสามีจะหาว่านางสิ้นเปลือง แม้จะหวาดกลัวความมืดอยู่มากก็ต้องข่มใจให้ได้
ที่นอกห้องนอนมีเงาสายหนึ่งขยับเคลื่อนไหวโอนเอน คล้ายกำลังเดินตรงมายังห้องด้านใน เมิ่งลี่อินทำตัวไม่ถูก ผุดลุกขึ้นยืนได้ก็รีบก้าวเท้าเร็ว ๆ ไปยังตั่งเตียงด้านหลัง นางหันรีหันขวางมองหาอาวุธก่อนจะคว้าเชิงเทียนที่ทำจากไม้หนาหนักขึ้นถือ
“นั่นใคร?”
เมิ่งลี่อินตะโกนออกไปแต่กลับไร้เสียงตอบกลับ ความมืดที่โอบล้อมรวมเข้ากับเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะยิ่งกระตุ้นเส้นประสาทให้ขึงตึง เมิ่งลี่อินหน้าอกขยับไหวรัวเร็ว มือที่กำเชิงเทียนกระชับเข้าหากันแน่น ตอนที่ประตูไม้เลื่อนเปิดออก นางก็เกือบจะเขวี้ยงมันออกไปแล้ว
หากมิใช่ใบหน้าหล่อเหลาติดรำคาญแฝงไปด้วยความเบื่อหน่ายเหลือบมองเสียก่อน
“นั่นเจ้าทำอันใด?”
เมิ่งลี่อินกระอักกระอ่วนไม่กล้าสบตาสามีขึ้นมาทันที นางกลอกตาเร็ว ๆ ครั้งหนึ่ง “ข้า... ข้ากำลังจะดับตะเกียงเจ้าค่ะ ได้ยินเสียงคนเลยลุกขึ้นมาดู”
กู้ชางไม่เชื่อสักนิด เขาเลิกคิ้วสูงกอดอกมองคนตรงหน้า “ดับตะเกียง? แล้วเจ้าถือเชิงเทียนทำไม”
“อ้อ-” เมิ่งลี่อินโกหกไม่เก่งนัก อันที่จริงนอกจากเรื่องที่นางถูกบังคับให้แต่งงานแทนพี่สาวแล้วจำต้องเล่นงิ้วต่อหน้ากู้ชาง นางก็ไม่เคยโกหกแล้ว เมื่อจำเป็นต้องโกหกขึ้นมาเสียงจึงติด ๆ ขัด ๆ ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย “ข้า-”
กู้ชางพ่นลมหายใจอย่างดูถูก เขาเชิดหน้า “คงไม่คิดว่าข้าเป็นโจรกระมัง”
เมิ่งลี่อินหน้าแดงลามไปถึงคอ ไม่คิดว่าเขาจะมองออกรวดเร็วถึงปานนี้ ทว่านางยังไม่ทันได้คิดหาข้อแก้ตัว กู้ชางก็สะบัดมือเดินไปอีกทางแล้ว
“เรือนใหญ่นี่นอกจากเครื่องเรือนที่ขนย้ายไม่ได้ก็ไม่มีของมีค่าอื่นแล้ว หากข้าเป็นขโมยคงเลือกไปที่เรือนอนุฟางมากกว่าจะมาเสียเวลากับสตรีเช่นเจ้า”
เมิ่งลี่อินจากที่ยืนหลบมุมด้วยความอับอายหลังได้ยินประโยคนั้นพลันเกิดความปวดแปลบขึ้นในใจ ท่าทีของกู้ชางที่มีต่อนางเป็นเช่นไรนางรู้ดี ของชั้นดีที่เขาหามาได้ไม่ว่าจะเป็นตำราหายาก เครื่องเรือนแกะสลัก เครื่องประดับหรือกระทั่งผ้าแพรพับผืนสวยมักจะถูกส่งไปที่เรือนอนุฟางเสมอ ส่วนเรือนใหญ่นอกจากของเหลือที่ฟางหลี่ไม่ต้องการแล้ว ก็ไม่เคยได้สิ่งอื่นเลย
เมิ่งลี่อินไม่อิจฉา ตอนที่อยู่คฤหาสน์สกุลเมิ่ง ก็มักจะเป็นเช่นนี้ นางชินแล้ว
แต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากคนที่ชื่อว่าเป็นสามี นางก็ไม่รู้ว่าควรจะมองตนเองเช่นไร
ฮูหยินน้อยที่ปล่อยให้อนุผู้หนึ่งเหยียบหัวปีนป่ายขึ้นมาเกาะกุมหัวใจสามีเช่นนาง จะยังมีหน้ามีตาอันใดอีก?
สตรีที่ปล่อยให้อนุออดอ้อนสามีจนได้เรือนที่เล็กกว่านางไม่กี่ห้อง ทั้งเรือนนั้นยังมีสวนล้อมรอบ มีศาลาไว้พักผ่อน มีสาวใช้รายล้อมถึงแปดคนทั้ง ๆ ที่นางซึ่งกอดตำแหน่งฮูหยินเอกของเขาไว้ ไม่มีแม้แต่สาวใช้ใช้แรงงานสักคนเดียว
สตรีเช่นเมิ่งลี่อินช่าง...น่าสมเพชจริง ๆ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?