ตอนที่ 4 แอนนี่

ว่ากันว่า ไม่มีรักแท้ในค่ำคืนที่ถูกล่อลวงด้วยแสงสี หรือถ้ามี มันก็คงหายากไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ใครจะรู้ อีริคอาจจะได้พบรักแท้ของเขาที่นี่ก็ได้

ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในย่านถนนคนเดิน เขาจิบค็อกเทลที่วางอยู่บนถาดไปประมาณสองสามแก้วเล็กและเฝ้ามองหญิงสาวที่เดินผ่านไปผ่านมา บ้างก็เมินเขา แต่ส่วนใหญ่มักจะหันมามองเขามากกว่า ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาหล่อพระเจ้าสร้างขนาดนี้

“มาคนเดียวเหรอคะ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น ทักทายชายหนุ่มเป็นภาษาอังกฤษ อีริคจึงหันไปมอง เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี ผมสีบลอนด์ทองธรรมชาติ ใบหน้าเรียวสวย ผิวขาวอมชมพูรับกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล เธอกรีดนิ้วไปตามไหล่ของชายหนุ่มหวังให้เขาหวั่นไหวกับเธอ

“ครับ”

“ฉันขอนั่งด้วยคนได้ไหม”

“ได้ครับ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวหย่อนก้นกลมสวยลงบนเก้าอี้ข้างอีริค จากนั้นจึงหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ ก่อนจะเท้าคางและหันมามองชายหนุ่มที่กำลังยกค็อกเทลขึ้นดื่มอีกแก้ว

“ชื่ออะไรเหรอคะ”

“อีริคครับ”

“แอนนี่ค่ะ” หญิงสาวยื่นมือออกไปให้อีริคจับ เขาจับมือเรียวบางของเธอขึ้นมาจุมพิตตามมารยาทของสุภาพบุรุษอังกฤษ เธอหัวเราะคิกคักก่อนจะดึงมือกลับไป

“สำเนียงเหมือนคนอังกฤษเลย เป็นคนที่ไหนเหรอคะ”

“ลอนดอนครับ”

“ว้าว บังเอิญจัง ฉันก็เป็นชาวลอนดอน” แอนนี่ทำน้ำเสียงตื่นเต้น เป็นเวลาเดียวกับที่ค็อกเทลบลูฮาวายที่เธอสั่งมาเสิร์ฟพอดี เธอรับมันมาจิบอึกหนึ่ง

“ได้เจอชาวลอนดอนด้วยกันที่นี่ รู้สึกดีเป็นบ้าเลย”

“เช่นกันครับ” อีริคยิ้มกว้าง ทั้งสองคนชนแก้วหลังจากที่ทำความรู้จักกันแล้ว หลังจากนั้นบทสนทนาก็ดำเนินไปอย่างดี พวกเขาดูเหมือนจะถูกคอกันไม่น้อย ถึงขั้นที่อีริคพาเธอไปที่ห้องน้ำของบาร์หลังจากนั้น

พรึ่บ

อีริคอุ้มแอนนี่ขึ้นไปนั่งบนอ่างล้างหน้า จากนั้นจึงโน้มตัวไปจูบกับเธออย่างเร่าร้อน มือเรียวบางเอื้อมไปจิกแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มเพื่อบ่งบอกถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเธอ ขณะที่อีริคเองก็มือปลาหมึกไม่แพ้กัน มือหนาจับชายเสื้อของหญิงสาวและพยายามเลิกมันขึ้นจนเห็นชุดชั้นในสีชมพูอ่อน แต่ยังไม่ทันที่จะปลดตะขอด้านหลังออก แอนนี่ก็ปรามเอาไว้ก่อน

“อีริค คุณจริงจังแค่ไหน” แอนนี่เอ่ยถาม

“ผมให้คุณได้ทุกอย่าง แค่คุณมาเป็นของผมก็พอ”

“คุณคงกำลังเมาแน่” หญิงสาวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ นิ้วชี้จิ้มลงบนสันจมูกคมและกรีดจากบนลงล่าง เช่นเดียวกับดวงตาสวยคมที่กำลังมองสันจมูกนั้นด้วยความเสน่หา

“ผมรู้ตัวว่าผมทำอะไรอยู่”

“คุณคิดจะถอดเสื้อของฉันออกอยู่นะ”

“คุณเองก็ยินยอมไม่ใช่เหรอ”

“ใช่” เธอตอบ

“แต่ฉันไม่อยากเป็นของคุณหรอกนะ”

“หมายความว่าไง” อีริคชะงักไป ความเร่าร้อนที่มีอยู่เมื่อครู่เหมือนกับถูกน้ำเย็นสาดใส่จนดับลง เขาผละออกมาจากหญิงสาว ขณะที่เธอยิ้มราวกับสมเพชเขาอยู่

“ฉันเป็นพวกรักสนุกน่ะ” เธอตอบ

“ไม่อยากจะผูกมัดกับใคร มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนขาดอิสรภาพ”

“...”

“หวังว่าคุณเองก็คิดแบบนั้นนะ อีริค”

“คุณไม่ได้คิดจะจริงจังกับผมเหรอ”

“อะไรนะ” แอนนี่หัวเราะชอบใจ เธอก้าวลงมาจากอ่างล้างหน้าและเดินมาหาชายหนุ่ม จากนั้นก็ผลักเขาให้ชิดกับผนังห้องน้ำและคลอเคลียใบหน้าสวยอยู่ใกล้ ๆ กับคอของเขา จนทำให้ได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง

“ฉันไม่คิดจะจริงจังกับใครอยู่แล้ว อีริค”

“...”

“ฉันต้องการแค่เซ็กส์จากคุณเท่านั้นแหละ” แอนนี่พูดพร้อมกับใช้มือรูดซิปกางเกงของอีริคลง การกระทำของเธอยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่าเดิม เขากัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้อีกแล้ว

“ผมจะให้มันกับคุณเอง” 

ร่างหนาเปลี่ยนจากรับมาเป็นรุกอีกครั้ง เขาเปิดประตูห้องน้ำและอุ้มร่างบางขึ้นไปนั่งบนอ่างล้างหน้าดังเดิม มือหนาถอดเสื้อตัวนอกของแอนนี่ออก จนเผยให้เห็นเรือนร่างอันงดงามของเธอ ขณะที่หญิงสาวก็ปลดกระดุมเสื้อของอีริคออกด้วยความเร่งรีบ ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันอย่างเร่าร้อน แอนนี่เริ่มส่งเสียงคราง แต่เสียงดนตรีจากข้างนอกกลบเสียงของเธอจนคนข้างนอกไม่สามารถได้ยินอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นภายในห้องน้ำแห่งนี้

นารากำลังนั่งคิดบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมเหมือนกับทุกวัน ก่อนที่รถจักรยานยนต์ของใครบางคนจะมาจอดที่หน้าร้าน ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเธอก้าวลงมาจากรถหลังจากถอดหมวกกันน็อคแขวนไว้กับแฮนด์รถจักรยานยนต์ ก่อนเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับรอยยิ้ม

“วันนี้ปิดร้านดึกจังนะ” ทิมทักทายนาราอย่างสนิทสนม เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาก่อนจะก้มหน้าลงไปจดบันทึกรายได้ต่ออย่างขะมักเขม้น

“มาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ ป่านนี้”

“พอดีว่ายังไม่ได้กินอะไร เลยแวะมาดูว่าแกปิดร้านหรือยังน่ะสิ”

“น่าเสียดายที่ปิดแล้ว”

“ไม่เอาน่า แกทำให้ฉันเป็นพิเศษไม่ได้หรือไง”

“ฉันคิดราคาเพิ่มเป็นพิเศษให้ด้วย เอาไหมล่ะ”

“ใจร้ายชะมัด” ทิมเบะปากเล็กน้อย ขณะที่นาราหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูเพื่อนสนิท

นาราและทิมเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน เรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลยันระดับมหาวิทยาลัย ทั้งสองคนเรียนจบเอกการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต

นาราและทิมเคยทำงานเป็นมัคคุเทศน์กับบริษัททัวร์หลังจากที่เรียนจบ ด้วยความที่ทั้งนาราและทิมต่างเป็นคนหน้าตาดี ทำให้หางานได้ไม่อยาก รวมถึงทั้งสองคนต่างก็มีมนุษยสัมพันธ์กับลูกทัวร์เป็นอย่างดี

นารารักงานมาก แต่มีเหตุจำเป็นบางอย่างให้เธอต้องลาออกจากการเป็นมัคคุเทศน์มาช่วยนภาผู้เป็นแม่ทำร้านอาหารเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่กล้าหาญเกิด

ทิมยังคงทำงานที่เดิม ยิ่งตอนนี้ทิมเป็นหัวหน้ากรุ๊ปทัวร์แล้ว เธอก็รู้สึกดีใจไปกับเพื่อนจริง ๆ ที่ได้ทำงานที่ตนรัก เธอไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนหนุ่มคนสนิทไปมากกว่านั้นเลย ต่างจากอีกฝ่ายที่คิดเกินเพื่อนกับเธอมาตั้งนานแล้ว

“แกควรกลับบ้านได้แล้วนะทิม”

“ไล่กันเหรอ”

“อืม” นาราพยักหน้า

“ฉันจะปิดร้านแล้ว”

“แกใจร้ายจริง ๆ นั่นแหละ”

“รู้ก็ดี เพราะฉะนั้น แกกลับบ้านไปได้แล้ว”

นาราปิดสมุดบัญชีและดันหลังทิมให้เดินออกไปจากร้าน เขาขืนตัวเล็กน้อยพอเป็นพิธีแต่ก็ยอมเดินไปตามแรงดันของหญิงสาวแต่โดยดี

“พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันไหม” ทิมหันมาถามนารา

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ว่าง ไหนจะร้าน ไหนจะลูกอีก”

“นารา กล้าหาญไม่ใช่...”

“ทิม” นาราปรามเอาไว้ก่อนที่ทิมจะพูดต่อ สีหน้าและแววตาของเธอดูโกรธเคืองชายหนุ่มขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้เขาต้องหุบปากสนิทและพยักหน้าอย่างยินยอม

“ก็ได้” เขาว่า

“งั้นฉันกลับแล้วนะ”

“กลับดี ๆ ล่ะ”

“อืม”

ทิมสวมหมวกกันน็อคและขับรถออกไปทันที นารามองตามหลังเพื่อนไปจนกระทั่งลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ร่างเล็กพยายามสลัดความคิดต่างๆ ออกไปและเขย่งขึ้นไปเอื้อมจับประตูเหล็กเพื่อเลื่อนมันลงมาด้านล่าง

ครืน

ประตูปิดลงพร้อมกับป้ายที่แขวนบอกเอาไว้ว่า ‘ปิด’

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ