“แค่ก ๆ”
จู่ ๆ อีริคก็ไอออกมา ทำลายบรรยากาศที่กำลังมาคุ สองแม่ลูกหันไปมองเขาแทบจะพร้อม ๆ กัน หญิงสาวมองหน้าและเอ่ยถามเขาเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่สำลักน้ำน่ะ” อีริคยิ้มแห้ง แต่ในมือของเขาไม่ได้ถือแก้วน้ำอยู่เลย มีแต่หนังสือพิมพ์เก่าของเมื่อวาน
“อ่านออกเหรอพ่อหนุ่ม” นภาเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หนังสือพิมพ์
“อ...ออกครับ”
“โอ๊ะ พูดไทยได้ด้วยแฮะ” นภาทำน้ำเสียงตื่นเต้น ขณะที่อีริคได้แต่ยิ้มและหัวเราะแก้เขิน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะด้านในสุดของร้านและทอดสายตามองออกไปด้านนอก
“ป่านนี้กล้าหาญคงตื่นแล้ว เดี๋ยวแม่ไปดูก่อนนะ”
“จ้ะ” นาราตอบ
นภาลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน ทิ้งอีริคกับนาราให้อยู่ด้วยกันตามลำพัง บรรยากาศด้านนอกเริ่มคึกคักไปด้วยผู้คน ชายหนุ่มมองวิถีชีวิตของคนแถวนั้นด้วยความเพลิดเพลิน
เขามักจะนอนจนถึงบ่ายคล้อยทุกครั้งตั้งแต่มาอยู่ที่เมืองไทย การได้เห็นชีวิตของผู้คนในช่วงเช้าถือเป็นอะไรที่แปลกตาสำหรับเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ชีวิตคนแถวนี้ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ” เสียงหวานดังขึ้น เรียกความสนใจของเขาให้หันกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง
ร่างเล็กมายืนอยู่ที่โต๊ะของเขาพร้อมกับจานข้าวหน้าตาน่ากิน มือเรียวบางวางจานนั้นลงตรงหน้าชายหนุ่มและหย่อนบั้นท้ายลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“เรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น”
“ชีวิตคุณก็เป็นแบบนั้นเหรอครับ”
“คะ?” ดวงตาสวยโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกอีริคถามแบบนั้น
“เรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา”
“ค่ะ ประมาณนั้น” นารายิ้มขึ้นมาหลังจากตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่เมื่อถูกเขามองหน้านาน ๆ เธอรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
นาราก้มหน้ามองโต๊ะเพื่อไม่ให้เขามองเห็นอาการประหม่าของเธอ แต่เขากลับอมยิ้มเมื่อรู้สึกว่าเธอน่ารักกว่าที่คิด
“ขอบคุณนะครับ”
“คะ?”
“ขอบคุณที่ช่วยผมไว้ ถ้าไม่ได้คุณ ผมคงยังนอนอยู่ที่ข้างทาง ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ถ้ามีโอกาส ผมจะตอบแทนคุณนะครับ”
“ไม่จำเป็นเลยค่ะ ฉันช่วยคุณเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำน่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่าปฏิเสธโอกาสตอบแทนของผมเลยนะครับ”
“ก็ได้ค่ะ” นารายิ้มกว้าง เช่นเดียวกับที่อีริคกำลังยิ้มให้เธอ หัวใจของร่างเล็กเต้นแรงมากขึ้นทุกวินาที คงจะดีกว่านี้ถ้าเธอลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงนี้ แต่แล้ว ความสงสัยก็ยังฉุดรั้งเธอไม่ให้ลุกไปไหนอยู่ดี
“แล้วที่นี้คุณจะทำยังไงต่อไปคะ”
“หืม”
“คุณถูกปล้นนี่นา ควรไปแจ้งความไว้ก่อนนะคะ”
“อ้อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” อีริคยิ้มก่อนจะตักข้าวราดผัดคะน้าเข้าปาก
รสชาติของมันกลมกล่อมสมกับที่นาราตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือ เขาไม่ได้กินอาหารไทยที่อร่อยแบบนี้มานานแล้ว
“อร่อยจังเลยครับ”
“จริงเหรอคะ ดีใจจัง” นารายิ้มแล้วหัวเราะสั้น ๆ
“กินเยอะ ๆ เลยนะคะ ถ้าไม่พอเติมได้ไม่อั้นค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ”
ดูเหมือนการสนทนาของทั้งคู่จะราบรื่นไปได้ด้วยดี มีเสียงพูดคุยกันเป็นระยะแทรกด้วยเสียงหัวเราะเป็นครั้งคราว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อทั้งสองคนกำลังมีความสุข จนกระทั่งนาราถามบางสิ่งบางอย่างกับอีริค
“คุณอีริคเคยมาเที่ยวที่ไทยเหรอคะ”
“เปล่าครับ นี่ครั้งแรกเลย”
“อ้าว ฉันเห็นคุณพูดไทยได้บ้าง นึกว่าเคยมาไทยก่อนหน้านี้ซะอีก”
“มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งสอนผมน่ะครับ” อีริคยิ้ม แต่แววตากลับแฝงความเศร้าเอาไว้ภายใน
มันทำให้เขานึกถึงเซลีนอีกครั้ง แววตาและรอยยิ้มของเธอยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเขาอยู่เลย ทางด้านของนาราเอง เมื่อเห็นท่าทางอีริคซึมไป เธอก็เอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง
“คนรักของคุณอีริคเหรอคะ ฉันขอโทษนะคะถ้าถามอะไรที่ละลาบละล้วงเกินไป”
“ไม่ใช่คนรักหรอกครับ” อีริคยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“เป็นรักข้างเดียวน่ะ”
“ขอโทษจริง ๆ นะคะที่ถามอะไรไม่สมควรแบบนั้น”
“ไม่เป็นไรครับ”
“...” นาราไม่พูดอะไรต่อ เธอได้แต่มองเข้าไปในแววตาของอีริค มันเต็มไปด้วยความเศร้าที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แม้ภายนอกจะดูไม่เป็นอะไร แต่หัวใจของเขาคงแตกสลายไปไม่น้อยเลยทีเดียว
เธออยากจะเอามีดทำครัวคว้านท้องตัวเองให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้ ที่ดันถามเรื่องที่ไม่สมควรออกไปซะได้
“หลังจากนี้ คุณจะไปไหนต่อเหรอคะ” นาราตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น
ร่างสูงมองหน้าเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาสั้น ๆ
“รู้สึกเหมือนกำลังถูกไล่อยู่เลยครับ”
“ม...ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” นารารีบโบกมือปฏิเสธ
ให้ตายเถอะ อะไรทำให้เธอกลายเป็นคนลุกลี้ลุกลนแบบนี้กัน แถมหัวใจยังเต้นเร็วกว่าที่เคยอีกต่างหาก แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันนะ
“ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณจะทำยังไงต่อ จะติดต่อสถานทูตเพื่อกลับบ้านหรือเปล่า”
“ยังไม่รู้เลยครับ สิ่งของต่าง ๆ ของผมโดนขโมยไปจนหมด โทรศัพท์มือถือด้วย” อีริคตอบพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
อันที่จริงการที่เขาจะทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่กลับไปที่โรงแรมแล้วติดต่อหามารดา ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป แต่อีกความรู้สึกหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจ ทำให้เขาลังเลที่จะทำแบบนั้น
เพราะผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้หรือเปล่านะ
อีริคคิดในใจ
อีกฟากหนึ่งของเมืองภูเก็ต
แอนนี่ตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเสียงกริ่งจากหน้าห้องพักคอนโดหรูที่เธอพักอาศัยอยู่ ร่างบางส่องผ่านตาแมวเพื่อดูว่าใครเป็นผู้มาเยือน เมื่อเห็นเป็นหน้าของเขาที่ยืนรออยู่หน้าประตู เธอถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แต่ก็ยอมเปิดให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาแต่โดยดี
“เปิดช้าจังนะ”
“ฉันเพิ่งตื่น” หญิงสาวตอบคำถามโดยไม่ใคร่ใส่ใจนัก
“ออกไปล่าผู้ชายเพิ่งกลับมาหรือไง”
ชายร่างสูงดูมีอายุราวหกสิบปี ผมสีน้ำตาลเข้ม บ่งบอกว่าเป็นชาวต่างชาติ ถึงแม้ว่าจะดูมีอายุมากแล้ว แต่ยังถือว่าหน้าตาดีและบุคลิกภาพดูดีเหมือนคนอายุ 50 ปี เขาเดินเข้ามาในห้องของแอนนี่อย่างคุ้นเคย
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและหันมายิ้มให้แอนนี่ที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ เธอปิดประตูและเตรียมจะเดินมาหาเขา เขามีอาการเมามายอย่างเห็นได้ชัด เพราะเธอได้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งตามเสื้อผ้า
“มาทำอะไรที่นี่”
“แค่อยากมาดูหน่อยน่ะ ว่าเธอสบายดีไหม”
“คุณกินเหล้ามาอีกแล้วใช่ไหม เห็นแล้วก็กลับไปสิ” แอนนี่ตอบแบบขอไปที ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอถึงกับต้องร้องว้ายขึ้นมาเมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้วกระชากเธอให้หันหน้าไปเผชิญกับเขา
“ปากเก่งขึ้นนะ กล้าเถียงและสั่งฉันเหรอ คงลืมไปแล้วใช่ไหมว่าต่อต้านฉันจะเป็นยังไง มานี่!” ชายคนนั้นลากแอนนี่เดินกลับเข้าไปในห้องนอน ผลักแอนนี่ให้ล้มลงไปบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์
“โอ้ย จะทำอะไร”
“จะทำอะไรงั้นเหรอ ก็ลงโทษเด็กดื้อที่กล้ามาสั่งฉันนะสิ”
ชายคนนั้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักล่างสุด หยิบผ้าพันคอผืนบางขนาดไม่ใหญ่มากนักออกมาจากลิ้นชัก
เขาเดินปรี่กลับมาหาแอนนี่ จัดการมัดผ้าพันคอบนมือของเธอกับเสาเตียง แล้วลงมือตบตีลงไปบนใบหน้าและร่างกายของแอนนี่ซ้ำ ๆ หลายที
“พอแล้ว อย่าทำร้ายฉันเลยนะ ฉันเจ็บ ขอร้อง ได้โปรด ฉันกลัวแล้ว” แอนนี่ร้องขอชายตรงหน้าด้วยความกลัว
ภาพวันวานหวนกลับมาในความทรงจำ แม่ที่สลบไสลไม่ได้สติ ภาพของชายคนนี้ที่พาเธอหนีมาอยู่ที่ประเทศไทยสิบกว่าปีมาแล้ว
เธอสะอื้นไห้จนตัวโยน ความรู้สึกถูกทำลายจนแหลกสลายพอ ๆ กับหัวใจดวงน้อยของเธอ
ทว่าเสียงร่ำไห้ของหญิงสาวไม่เคยดังไปถึงหัวใจของใครบางคนเลย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?