ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ประเทศไทย
ช่องผู้โดยสารขาเข้า อีริคกำลังยืนรอกระเป๋าสัมภาระที่กำลังถูกขนส่งผ่านรางเลื่อนตรงหน้า ระหว่างรอ เขาโทรศัพท์แจ้งให้มารดาทราบเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้
“ถึงแล้วใช่ไหม” เสียงของผู้เป็นมารดาถามด้วยความยินดีที่ได้รับโทรศัพท์จากลูกชายสุดที่รักของเธอ
“ครับ เพิ่งถึงเมื่อกี้เองครับ” อีริคตอบ
ใช้เวลาเดินทางราว ๆ สิบสี่ชั่วโมงเศษ หากนับตามเขตเวลาเมื่อมาถึงแล้ว ที่ประเทศไทยเวลาจะอยู่ที่ประมาณบ่ายโมง
“ที่นั่นคงจะเป็นช่วงบ่ายสินะ” มาดามเซรีน่าเอ่ยถามมาตามสาย
อีริคเหลือบสายตามองไปยังนาฬิกาบนผนังของอาคารผู้โดยสารขาเข้า
“ครับ” เมื่อเห็นเช่นนั้น อีริคไม่รอช้า รีบปรับเวลาบนนาฬิกาข้อมือหรูให้สอดคล้องกับเวลาท้องถิ่นทันที
“ขอให้มีความสุขกับการพักร้อนนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ”
อีริควางสายโทรศัพท์จากมารดา กระเป๋าสัมภาระก็มาถึงพอดี ชายหนุ่มรีบคว้ามันไว้และตรงไปซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ เดินทางต่อไปยังจังหวัดภูเก็ตด้วยเที่ยวบินแรกที่เขาสามารถเดินทางได้ทันที
ณ สนามบินนานาชาติ จังหวัดภูเก็ต
อีริคลากกระเป๋าเดินทางมุ่งตรงไปยังประตูทางออกหน้าสนามบิน เขาเจอกับรถแท็กซี่มากมายจอดเรียงรายกันเป็นแถวยาว นักท่องเที่ยวบางคนถูกคนขับรถลากเข้าไปในรถต่อหน้าต่อตาเขา
"มิจฉาชีพชัด ๆ” อีริคบ่นก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
แต่ไม่นานนักก็มีคนขับรถแท็กซี่วัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาสะกิดแขนเขา พร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ไปไหนเหรอพ่อหนุ่ม” คนขับรถแท็กซี่เอ่ยถามอีริคด้วยภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ แต่ก็ถือว่ามากเพียงพอให้อีริคเข้าใจได้ เมื่อเห็นว่าดูไม่มีพิษมีภัย อีริคจึงตอบคำถามของลุงคนขับรถแท็กซี่
“กำลังจะไปโรงแรมครับ”
“อ้อ ขึ้นรถสิ เดี๋ยวผมพาไปส่ง”
ลุงคนขับรถแท็กซี่ดึงกระเป๋าสัมภาระไปจากมือของชายหนุ่ม ก่อนจะเอาไปใส่ไว้ที่ท้ายรถและเปิดประตูรอโดยไม่เปิดโอกาสให้อีริคได้ปฏิเสธ เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามไปขึ้นรถแต่โดยดี
“สองพันบาทนะ” ทันทีที่ลุงคนขับรถเข้ามานั่งที่ฝั่งคนขับ เขาหันหน้ามาบอกราคาค่าโดยสารที่แพงเกินจริงทันที อีริคที่เคยได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับเมื่องไทยทั้งในแง่ดีและร้ายจากสาวไทยที่เขาหลงรักมาก่อน รู้ทันกลโกงของคนพวกนี้เป็นอย่างดี
“ได้โปรด กดมิเตอร์เถอะครับ” อีริคตอบกลับไปด้วยภาษาไทย ถึงแม้ว่าจะไม่ชัดเหมือนคนท้องถิ่น แต่เมื่อฟังแล้ว ถือว่าเข้าใจภาษาไทยได้ดีในระดับหนึ่ง ทำเอาลุงคนขับรถแท็กซี่ตกใจไม่น้อย เขามองชายหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง แววตาดูตกตะลึง
“อ้าว พูดไทยได้นี่นา มีเมียเป็นคนไทยเหรอ”
“ครับ”
“ไอ้เราก็นึกว่าพวกฝรั่งท่องเที่ยว” ลุงคนขับรถแท็กซี่กระซิบกระซาบกับตัวเองและเอื้อมมือไปกดมิเตอร์อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ขณะที่อีริคยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ
โชคดีที่เซลีนเคยสอนภาษาไทยให้เขามาบ้าง รวมถึงความพยายามที่จะศึกษาภาษาไทยด้วยตัวเอง จึงทำให้เขาสามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้ไม่ยากเท่าไรนัก
รถแท็กซี่แล่นไปตามถนนที่ถูกขนาบข้างด้วยแสงสีตระการตาของเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต โดยเฉพาะในช่วงเวลาตอนหัวค่ำเช่นนี้ ผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและชาวไทยเองต่างออกมาหาความบันเทิงใจให้กับตนเอง
อีริคเฝ้ามองพวกเขาผ่านกระจกรถ เห็นเหล่าผู้คนที่ต้องทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน น่าแปลกที่ความคึกคักเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขาคลายความเศร้าลงไปได้เลย แม้จะมีช่วงเวลาที่ไม่ได้นึกถึงมัน แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้น ๆ
คิดถูกหรือเปล่านะที่มาพักร้อนที่ไทยแบบนี้
อีกฟากหนึ่งของภูเก็ต
ร้านค้าเล็ก ๆ ในตึกสองคูหา ข้างบนทำเป็นที่พักอาศัย ข้างล่างทำเป็นร้านอาหารตามสั่ง อยู่ไม่ไกลจากสถานบันเทิงขึ้นชื่อของเมืองป่าตอง ถึงแม้ว่าร้านค้าจะไม่ใหญ่โตแต่กลับมีลูกค้ามาอุดหนุนกันอย่างคับคั่งในช่วงเย็น ลูกค้าส่วนมากคือชาวบ้าน หมอนวดแผนไทย เหล่าฝีเสื้อกลางคืน และพนักงานโรงแรมต่าง ๆ ทำเอาใครบางคนต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ในร้านอาหารตามสั่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจนี้ ปรากฏหญิงสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ที่ดูไม่เข้ากับสภาพแววล้อมรอบข้างเลยแม้แต่น้อย เธอยืนอยู่หน้ากระทะมาสักพักใหญ่แล้ว ซ้ายมือมีเมนูอาหารเสียบอยู่กับแท่งเหล็ก มือเรียวบางจับตะหลิวและกำลังทำผัดกะเพราเนื้อตามคำสั่งซื้อของลูกค้าอยู่
“นารา ผัดพริกแกงหมู โต๊ะห้าหนึ่งจาน” เสียงของหญิงมีอายุเลยวัยกลางคนไปเล็กน้อยตะโกนบอกลูกสาวที่กำลังทำอาหาร ก่อนจะหยิบจานข้าวราดแกงที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว เสิร์ฟที่โต๊ะของลูกค้าอย่างขะมักเขม้น
“จ้ะแม่” นารา หญิงสาววัยยี่สิบปลาย ๆ ตอบรับด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่โทรมหน้า น้ำมันจากกระทะกระเด็นโดนแขนของเธอเล็กน้อย แต่ด้วยความชิน เธอจึงไม่รู้สึกอะไร
“น้อง น้ำแข็งเปล่าแก้วหนึ่ง”
“หยิบได้ที่ด้านในสุดของร้านเลยจ้ะพี่”
“เก็บตังค์ น้อง”
“แม่ คิดเงินโต๊ะเจ็ดหน่อยจ้ะ”
“ขอเบอร์หน่อยได้ไหม”
“ฉันไม่มีเวลาคุยกับพี่หรอก เชื่อเถอะ” นาราหันไปตอบคำถามของชายวัยกลางคนท่าทางชีกอคนหนึ่งที่กำลังยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เธอ หญิงสาวยิ้มอย่างเป็นมิตรและปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ก่อนจะหันไปทำอาหารต่อ
“ขอหน่อยไม่ได้เหรอ เผื่ออยากจะโทรสั่งอาหารไง”
“ถ้าจะโทรสั่งอาหาร โทรเบอร์ที่ติดอยู่ตรงโน้นได้เลยจ้ะ” นาราตอบพร้อมกับผายมือไปที่ผนังอีกด้านหนึ่งของร้าน
ตรงนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของแม่เธอโชว์หราอยู่ ชายคนนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พี่อยากได้เบอร์ของน้องมากกว่านี่”
“เบอร์ใครก็โทรติดเหมือนกันนั่นแหละ” นาราเริ่มพูดด้วยเสียงที่ห้วนขึ้น
“แต่ว่า...”
“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม ลูกสาวฉันเขาไม่ให้ก็อย่าไปเซ้าซี้สิวะ” แม่ของนาราตะโกนมาจากทางด้านหลังอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาชายชีกอถึงกับสะดุ้งและรีบเดินออกไปจากร้านทันที
นาราหันมาส่งยิ้มให้แม่เป็นเชิงขอบคุณ ที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากคนพวกนี้เสียที
“ขอบคุณนะจ๊ะแม่”
“บางทีการมีลูกสาวสวยก็ปวดหัวเหมือนกันนะเนี่ย” แม่ของนาราพูดติดตลก พลอยทำให้หญิงสาวเผลอหัวเราะตามไปด้วย
เอาจริง ๆ ที่แม่ของเธอพูดก็ไม่ผิดนัก นาราเป็นผู้หญิงที่สวยมากจนสะดุดตาของหนุ่ม ๆ ในละแวกนี้ เรียกได้ว่าความสวยของเธอเทียบกับเหล่าดารานางแบบชั้นนำของประเทศได้เลยเสียด้วยซ้ำ
จึงไม่แปลกเลยที่จะมีหนุ่มน้อยใหญ่มาขายขนมจีบให้เธออยู่เสมอ แต่เมื่อนาราบอกว่าเธอมีลูกแล้ว ผู้ชายเหล่านั้นต่างพากันหนีหายไปหมด
ใช่แล้ว เธอมีลูกแล้วจริง ๆ
“แม่ครับ กล้าหาญหิวข้าวครับ” เด็กชายวัยสี่ขวบวิ่งงอแงเข้ามาหานารา
“รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวแม่หาข้าวให้กิน”
“ครับ” กล้าหาญพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะวิ่งไปหา นภา คุณยายของเขาที่เริ่มจะว่างบ้างแล้วหลังจากที่ไล่เสิร์ฟอาหารจนครบทุกโต๊ะ
“กล้าหาญของยายหิวแล้วเหรอครับ”
“ครับ คุณยาย”
“รอก่อนนะ แม่หนูยังทำงานไม่เสร็จเลย”
“ได้ครับ” กล้าหาญพยักหน้า
หลังจากนั้น สองยายหลานต่างนั่งเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
นาราที่เหลือบมองทั้งสองคนถึงกับยิ้มกว้างออกมา อย่างน้อย แค่ได้เห็นทั้งสองคนมีความสุข เธอก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว
ฟุ่บ
อีริคทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มภายในห้องของโรงแรมด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากประตูบานเลื่อนที่เป็นกระจก ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้งในความสูงระดับตึกสิบห้าชั้น มันเงียบจนอีริคเกือบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นอย่างสม่ำเสมอ
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูและกดเข้าแอพพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียสุดฮิต เลื่อนจอไปยังไม่ทันจะถึงไหน ก็เห็นเซลีนโพสต์รูปภาพของเธอกับครอบครัว สีหน้าดูมีความสุข
ไม่รู้ว่าทำไมอีริคถึงได้เผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ คงจะดีกว่านี้ถ้าคนที่อยู่เคียงข้างเธอในรูป...เป็นเขา
“ดูมีความสุขจังเลยนะ” อีริคพึมพำขณะที่กำลังยิ้ม เขากำลังจะเลื่อนนิ้วไปพิมพ์คอมเมนต์ แต่ความรู้สึกบางอย่างฉุดรั้งเขาไม่ให้ทำแบบนั้น จึงทำได้เพียงแค่กดหัวใจให้เท่านั้นเอง
“ให้มันเป็นไปแบบนี้แหละ ดีแล้ว” อีริคพูดกับตัวเองก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างกาย
ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้ชายหนุ่มเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หลังปิดร้าน นารานั่งนับเงินที่เป็นรายได้ของวันนี้บนโต๊ะไม้ตัวเก่า ข้างกายมีเครื่องคิดเลขคู่ใจที่ใช้มานานหลายปีเพื่อใช้ในการคำนวณ นภาเดินมานั่งข้าง ๆ ลูกสาวและเหลือบตามองสมุดบันทึกรายรับรายจ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ
“วันนี้กำไรเยอะไหม”
“เยอะจ้ะ” นารายิ้มกว้างอย่างมีความสุข
“กล้าหาญหลับแล้วเหรอจ๊ะ”
“อืม เมื่อกี้เล่นกับแม่จนเหนื่อย ตอนนี้หลับไปแล้ว”
“วัยกำลังซนก็แบบนี้แหละจ้ะ” นาราหัวเราะ แต่นภากลับมีสีหน้าที่กังวลใจไม่น้อย เธอเอื้อมมือไปลูบผมลูกสาวอย่างเบามือ
“ลูกคิดจะบอกความจริงกับกล้าหาญไหม”
“...” นาราชะงักไปเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นแม่และครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกจ้ะ ให้กล้าหาญโตกว่านี้ก่อนค่อยบอกก็ได้”
“ถ้ากล้าหาญโตมากกว่านี้ เขาจะยอมรับความจริงได้ไหมล่ะ”
“ไม่รู้สิจ๊ะ” นาราส่ายหน้า
“แต่ตอนนี้หนูก็ยังไม่พร้อมบอกเขาจริง ๆ”
“แม่เข้าใจ แต่ยังไงสักวันนาราก็ต้องบอกความจริงกับกล้าหาญ เขาควรได้รู้เรื่องนี้”
“หนูรู้จ้ะ” นาราพยักหน้าก่อนจะมองไปที่ห้องนอนของกล้าหาญ สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เธอถอนหายใจออกมาสั้น ๆ ก่อนจะหันกลับไปทำบัญชีรายรับรายจ่ายต่อ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?