เมื่อรถแท็กซี่มาจอดที่หน้าบ้านของนารา นภาที่กำลังเตรียมร้านหันมามองด้วยความสงสัย เป็นเวลาเดียวกับที่นาราขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอด เมื่อหญิงสาวดับเครื่องยนต์และพักขาตั้งเรียบร้อยแล้ว จึงไปช่วยลุงคนขับรถแท็กซี่พยุงชายหนุ่มชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ที่หลับใหลไม่ได้สติลงมาจากรถแท็กซี่ นภาเห็นดังนั้นจึงรีบวางไม้กวาดพาดไว้กับเก้าอี้และเดินเข้าไปทันที
“เกิดอะไรขึ้น ลูกขี่มอเตอร์ไซด์ไปชนเขาเหรอ” นภาเอ่ยถามขึ้นมาทันทีด้วยความร้อนใจ นาราได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของผู้เป็นแม่
“ใช่ที่ไหนล่ะแม่”
“แล้วเขาเป็นอะไรล่ะ”
“คงโดนปล้นน่ะ หนูเห็นเขานอนสลบอยู่ข้างทาง ไม่มีใครช่วยสักคน”
“มา ๆ แม่ช่วย” นภารีบเข้าไปรับช่วงต่อจากลุงคนขับรถและพาร่างสูงขึ้นไปชั้นบนทันที ถึงแม้ว่าจะทุลักทุเลไปบ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อชั้นล่างต้องเปิดร้านเพื่อขายอาหาร การที่จะมีฝรั่งตัวโตมานอนสลบไสลอยู่กลางร้าน คงไม่ใช่เรื่องที่คนฉลาดจะทำกัน
ขณะเดียวกัน ลุงคนขับรถยังคงนั่งรออยู่ที่หน้าร้านเพราะยังไม่ได้ค่าโดยสาร
“แค่สามสิบห้าบาทเอง ไม่ต้องเอาก็ได้มั้ง ถือว่าทำบุญ” ลุงคนขับรถพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
เขายิ้มกว้างก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปที่รถ ก่อนจะขับออกไปทันที
ไม่นานนัก นาราที่กำลังเดินลงมาพร้อมกับเงินค่าโดยสารกลับต้องแปลกใจเพราะเมื่อลงมา ก็พบว่าลุงไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
“หายไปไหนของเขานะ ไม่เอาค่าโดยสารเหรอ” นาราถามกับตัวเองและมองซ้ายมองขวา แต่ไม่มีวี่แววของลุงคนขับรถเลย เธอจึงถอนหายใจและเดินกลับขึ้นไปชั้นบนของบ้านอีกครั้ง
“จะให้เขานอนที่ห้องลูกจริง ๆ เหรอ”
“จ้ะ อีกไม่นานคงจะฟื้น ไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง”
“แต่ผู้ชายมานอนในห้องผู้หญิงมันดูแปลก ๆ อยู่นะ”
“แม่อย่าไปคิดมากสิจ๊ะ เราแค่ช่วยเหลือคนเดือดร้อนแค่นั้นเอง”
นาราตอบพร้อมกับวางกะละมังพลาสติกไว้ข้างที่นอน ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำและบิดจนหมาด จากนั้นจึงเช็ดไปตามร่างกายของชายหนุ่มเพื่อทำความสะอาดรอยเปื้อนตามตัวของเขา
“ไม่ใช่ว่าชอบเขาไปแล้วล่ะ”
“แม่! พูดอะไรน่ะ” นาราตอบด้วยแก้มที่แดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก เธอไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตานภาด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวชายหนุ่มต่อไปและพยายามไม่สนใจอะไร
“แม่ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าลูกจะชอบเขาน่ะ”
“...”
“อยู่ตัวคนเดียวมานานแล้วนี่นา หาใครสักคนมาคอยอยู่เคียงข้างก็ดีนะ”
“ฉันมีแม่กับกล้าหาญอยู่แล้วนี่จ๊ะ”
“แม่อยู่กับลูกไปตลอดไม่ได้หรอกนะ กล้าหาญก็เหมือนกัน” นภาตอบด้วยน้ำเสียงปนเศร้า แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่
เธอมองใบหน้าของชายหนุ่มกับลูกสาวสลับกันไปมา ดูแววตาที่นารามองพ่อหนุ่มคนนี้สิ มันแตกต่างไปจากที่เธอมองชายคนอื่น คนเป็นแม่ทำไมจะดูไม่ออก ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกต่อจากนั้น
“แม่ไปเตรียมเปิดร้านก่อนแล้วกัน”
“จ้ะ” นาราพยักหน้าก่อนที่นภาจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
ความเงียบงันเข้ามาครอบคลุมบริเวณนั้นอีกครั้ง มันเงียบจนหญิงสาวรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง เธอหยุดเช็ดตัวชายหนุ่มและยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกด้านซ้าย
“เป็นอะไรของเธอน่ะ นารา” เธอบ่นกับตัวเอง “อย่าหวั่นไหวกับคนแปลกหน้าสิ”
ปัจจุบัน
อีริคกับทิมกำลังจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ทิมเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากขึ้นมาก่อน เขาชี้หน้าอีริคแล้วหันไปถามนาราด้วยความสงสัย
“ผู้ชายคนนี้เป็นใครเหรอ นารา”
“หือ” นาราชะงักมือแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่ทิม ก่อนจะมองไปที่อีริค
“อ้อ นั่นคุณอีริคน่ะ”
“อีริคเหรอ”
“อืม ฉันเจอเขาได้รับบาดเจ็บอยู่ข้างทาง เลยพากลับมาพักที่บ้านน่ะ”
“เขานอนที่ห้องกล้าหาญใช่ไหม”
“เปล่า ห้องฉันเอง”
“หา!”
“ทำไมล่ะ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ฟูกนอนของกล้าหาญเล็กขนาดนั้นคุณอีริคจะนอนเข้าไปได้ยังไง”
“ไม่แปลกตรงไหนอย่างงั้นเหรอ แกเป็นผู้หญิงนะ พาผู้ชายมานอนในห้องได้ยังไงเล่า” ทิมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำเอานาราถึงกับขมวดคิ้วเพราะไม่ค่อยสบอารมณ์ที่ถูกขึ้นเสียงแบบนั้น
“ทิม พูดเบา ๆ หน่อย”
“ขอโทษ” เมื่อถูกหญิงสาวเอ็ด ทิมก็สงบลงแล้วพยักหน้าอย่างยินยอม แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองค้อนอีริคด้วยความไม่พอใจ
เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับชายคนนี้ยังไงก็ไม่รู้ ทิมคิดในใจ
“มันไม่มีอะไรอย่างที่นายคิดหรอกนะทิม อย่าตีโพยตีพายไปหน่อยเลย”
“จะไม่ให้ตีโพยตีพายได้ยังไง ในเมื่อฉัน...” ทิมชะงักไปพร้อม ๆ กับที่ทุกคนหันมาจ้องมองเขาเป็นสายตาเดียว มันทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดต่อ เขาจึงเม้มปากตัวเองเอาไว้และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ดีแล้ว ฉันไม่อยากจะมาทะเลาะกันกับแกเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอกนะ” นาราตอบก่อนจะหันไปทำอาหารเช้าให้อีริคต่อ
ทิมได้แต่มองเธอเงียบ ๆ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้ ชายหนุ่มคว้าหมวกนิรภัยแล้วเดินออกจากร้านไปทันที
“อ้าว กลับแล้วเหรอทิม” นภาเอ่ยถาม
“ผมต้องรีบไปทำงานน่ะครับ สวัสดีนะครับป้านภา”
“จ...จ้ะ”
บรืนนนน
ทิมสตาร์ทรถจักรยานยนต์ก่อนจะขับออกไปทันที นาราและนภาได้แต่จ้องมองจนกระทั่งเขาเลี้ยวรถหายไปตรงมุมถนน หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดปากบ่นอีกครั้ง
“ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ งี่เง่าชะมัด”
“ผู้ชายเขาจะงี่เง่ากับคนที่ชอบเท่านั้นแหละ” นภาตอบพลางเด็ดยอดผักคะน้าในตะกร้า
เธอเหลือบมองลูกสาวของตัวเองเล็กน้อย ดูเหมือนนาราจะไม่ได้คิดอะไรกับทิมเกินเลยไปกว่าความเป็นเพื่อนเลย
ยังไงก็ลองถามดูสักหน่อยดีกว่า นภาคิดในใจ
“นารา”
“จ๊ะ”
“เคยหวั่นไหวกับทิมสักนิดหรือเปล่า”
“หือ” คิ้วโค้งสวยเลิกสูง ดวงตากลมโตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ฝั่งอีริคเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาก็แอบเงี่ยหูฟังคำตอบของเธออย่างตั้งใจ ชายหนุ่มแอบตีเนียนโดยการหยิบหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่วางอยู่ใกล้มือมาอ่าน แต่ด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก ประโยคที่เรียงรายอัดแน่นอยู่ในกระดาษแผ่นเดียว ถึงกับทำให้ร่างสูงตาลายไม่น้อยเลยทีเดียว
“แม่หมายถึงเคยรู้สึกกับทิมเหมือนที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรู้สึกกับผู้ชายคนหนึ่งบ้างหรือเปล่า”
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะจ๊ะ”
“ลูกก็เห็นนิ ว่าทิมรู้สึกแบบไหนกับลูก”
“...” นาราเงียบไปพักใหญ่ เธอกำลังบรรจงใช้คมมีดกรีดไปตามเนื้อสันคอหมู มันคมพอที่จะกรีดลึกเข้าเนื้อโดยที่ไม่ต้องออกแรง ก่อนที่เธอจะเผยอปากและเป่าลมออกมาเบา ๆ ราวกับใช้สมาธิอยู่
“ไม่จ้ะ”
“หือ”
“หนูไม่เคยคิดอะไรกับทิมเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อนเลย”
“จริงเหรอ”
“จ้ะ อาจจะเป็นเพราะเราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนนั้น หนูเลยไม่มีความรู้สึกอื่นให้เขา”
“ลูกควรจะบอกทิมนะ เขาจะได้ไม่ต้องหวังอะไรลม ๆ แล้ง ๆ”
“เราคุยเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้วจ้ะ”
“แต่ทิมยังชอบลูกอยู่”
“เราห้ามความรู้สึกของใครไม่ได้นี่จ๊ะ” นาราหัวเราะ “แค่ไม่ก้าวล้ำขอบเขตของกันและกันก็พอแล้วจ้ะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?