เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไรไม่มีใครรู้
อีริครู้สึกเหมือนกับแสงสว่างมาจ่ออยู่ใกล้ ๆ กับเปลือกตา มันให้ความรู้สึกที่น่าอึดอัด ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ผิวหนังเริ่มสัมผัสกับไอร้อนที่มาจากที่ไหนสักแห่งที่เขาเองก็ไม่รู้ กระทั่งชายหนุ่มพยายามจะลืมตาขึ้น กลับพบว่าแสงสว่างนั้นทำให้คนที่เพิ่งรู้สึกตัวแทบลืมตาไม่ได้
บ้าชะมัด
อีริคบ่นกับตัวเองในใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาบังแสงสว่างจ้านั้นจากดวงตา ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ๆ กว่าจะลืมตาขึ้นมาได้และพบว่ามันคือแสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างไม้เก่า ๆ ไอร้อนที่เขาสัมผัสคือแดดนั่นเอง
นี่ไม่ใช่โรงแรมของเขา นั่นเป็นเรื่องแรกที่อีริครับรู้หลังจากที่ลืมตาขึ้น
ชายหนุ่มค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นจากฟูกนอนที่ถูกปูลงบนพื้นไม้ซึ่งวางเรียงในระดับที่ไม่สม่ำเสมอกันนัก ก่อนจะเดินสำรวจรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ด้วยความสนใจ
แม้ห้องจะเก่าแต่ไม่มีกลิ่นเหม็นอับ เมื่ออีริคเดินไปถึงหน้าต่างและทอดสายตามองออกไปข้างนอก เขาพบว่าฝั่งตรงข้ามของถนนคือที่ที่เขามักจะเดินผ่านเป็นประจำ
“ตื่นแล้วเหรอคะ”
เสียงหวานของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกให้อีริคหันกลับไปมอง
หญิงสาวผมยาวดำสลวย แก้มแดงอมชมพูรับกับผิวขาวเนียนแทบไร้ที่ติ สายตาของชายหนุ่มเลื่อนไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอเข้าโดยบังเอิญ
ในช่วงเวลานั้นเอง ที่อีริครู้สึกว่าโลกทั้งใบถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ
เขาได้เห็นดวงตาคู่นั้นเป็นครั้งที่สองแล้ว
“คุณคะ” เสียงเรียกอีกครั้งของหญิงสาวทำให้อีริคตื่นจากภวังค์
เมื่อเขาได้สติ จึงพบว่าเธอเดินเข้ามาใกล้ ๆ และโบกมือตรงหน้าเขาแล้ว กลิ่นหอมจากตัวของเธอเป็นกลิ่นเดียวกับที่เขาพบในห้อง ชัดเจนแล้วว่านี่คือห้องของเธอไม่ผิดแน่
“คุณ”
“ค...ครับ” อีริคตอบกลับด้วยอาการประหม่า
เขาอยากจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ความสวยของเธอทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้เลย
“โอเคหรือเปล่า ท่าทางของคุณเหมือนยังไม่หายดีเลย”
“ก็...ยังปวดตามเนื้อตัวนิดหน่อยครับ” อีริคตอบด้วยสำเนียงภาษาไทยที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ดีพอที่หญิงสาวจะฟังออก เธอยิ้มให้เขาบาง ๆ และยื่นยาทาแก้ปวดให้กับเขา
“ทานี่สิคะ” เธอพูดเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาอีริคถึงกับตาโตด้วยความแปลกใจเลยทีเดียว
“มันช่วยลดอาการปวดและแผลฟกช้ำได้น่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“เป็นนักท่องเที่ยวสินะคะ”
“ค...ครับ”
“แถวนี้มีนักท่องเที่ยวโดนปล้นเป็นประจำ ตำรวจไม่ยอมทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ สักที คุณมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ คงเข็ดกับประเทศไทยไปอีกนานเลยล่ะค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจออกมาแต่ก็ยังยิ้มให้อีริค
เขาอยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่าอย่างน้อย เขาได้พบกับความสวยงามของประเทศไทยอย่างหนึ่งแล้ว
จ๊อก...
ท้องของอีริคร้องขึ้นมาเสียงดัง ชายหนุ่มยกมือขึ้นมากุมท้องตัวเองอย่างเขินอาย ขณะที่ร่างเล็กกลับยิ้มกว้างและไม่มีท่าทีจะหัวเราะเยาะเขาแต่อย่างใด
“คงหิวแล้วสินะคะ”
“...ครับ”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้กินนะ”
“ผมไม่มีเงินจ่ายนะครับ”
“คุณเห็นฉันเป็นพวกหน้าเงินหรือไง” หญิงสาวหันมาเท้าสะเอวและมองค้อนใส่อิริค แต่มันกลับดูน่ารักมากกว่าน่ากลัวเสียอีก ชายหนุ่มยิ้มแห้งและโบกมือปฏิเสธทันที
“ม...ไม่ใช่นะครับ”
“ฉันล้อเล่นน่ะค่ะ” หญิงสาวหัวเราะ
“ฉันไม่คิดเงินหรอกค่ะ รอสักครู่นะ”
“เดี๋ยวครับ” อีริคเรียกหญิงสาวเอาไว้ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากห้อง ร่างเล็กหันหลังกลับมาและเลิกคิ้วสูงใส่เขา
“คะ”
“คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
“นาราค่ะ” ร่างเล็กยิ้มกว้าง
“แล้วคุณ...”
“อีริคครับ”
“คุณอีริค รอสักเดี๋ยวนะคะ”
“ครับ” อีริคพยักหน้า
นารายิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป ประตูถูกลมพัดให้ปิดลงเบา ๆ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่ออาการประหม่าหายไป เขาไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อ จึงตัดสินใจเดินไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาพับ แต่เพราะไม่เคยต้องทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน จึงทำให้ผ้าที่พับออกมาดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าใดนัก
“ฉันควรเรียนงานบ้านจริง ๆ จัง ๆ สินะ” เขาพึมพำกับตัวเอง
“พ่อหนุ่มฝรั่งคนนั้นตื่นแล้วเหรอ” นภาเอ่ยถามหลังจากที่นาราเดินลงมาจากชั้นบน
ร่างเล็กพยักหน้าก่อนเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนที่วางพาดอยู่บนโต๊ะมาสวม ก่อนมัดผมขึ้นสูงอย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน
“จ้ะแม่ ฉันว่าจะทำอะไรให้เขากินสักหน่อย”
“กินฟรีเหรอ”
“เราจะคิดเงินเขาเหรอแม่ เห็นอยู่ว่าเขาโดนปล้นมาน่ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น แม่ก็แค่ถามเฉย ๆ เอง แม่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นไหม” นภารีบโบกมือปฏิเสธ
นาราได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าให้แม่เบา ๆ ก่อนจะเดินไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารที่ตู้เย็นหลังเก่า เธอหยิบถุงใส่เนื้อหมูออกมาพร้อมกับถุงผักคะน้า
“จะทำอะไรให้เขากินล่ะ”
“ผัดคะน้าจ้ะ”
“ว่ากันว่าผัดคะน้าของลูกสาวแม่ มัดใจลูกค้าหนุ่ม ๆ มานักต่อนักแล้วนี่ อยากจะมัดใจพ่อฝรั่งคนนั้นอีกคนเหรอจ๊ะ”
นภาพูดติดตลก ขณะที่หญิงสาวได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าให้ผู้เป็นแม่อีกครั้งก่อนจะเดินไปล้างผักในอ่างจนสะอาดดี
ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงรถจักรยานยนต์ที่คุ้นเคยก็แล่นมาจอดหน้าร้านพร้อมกับใบหน้าคุ้นตาที่ส่งเสียงทักทายสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้มร่าเริง
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ นารา ป้านภา”
“มาแต่เช้าเชียว” นาราทัก
“ฉันมาเช้าออกจะบ่อย ไม่ชินอีกเหรอ” ทิมหันไปพูดกับนารา ก่อนจะดับเครื่องยนต์และก้าวเข้ามาในร้าน
แต่ยังไม่ทันที่จะได้นั่งลง ชายหนุ่มกลับต้องชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินลงมาจากชั้นสอง รูปร่างสูงโปร่งดูดี
อีกฝ่ายเมื่อเห็นทิมก็มีท่าทางไม่ต่างกัน นภาที่นั่งอยู่ระหว่างทั้งสองรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นออกมาจากตาของพวกเขาและกำลังฟาดฟันใส่กันไปมาอย่างดุเดือดโดยไม่มีใครยอมใคร
“อะไรกัน ความรู้สึกน่าอึดอัดนี่” นภาบ่นกับตัวเอง
หลายชั่วโมงก่อน
นาราตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อลงมาเตรียมเปิดร้าน กว่าจะทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จก็กินเวลาไปจนถึงตีห้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องออกไปจ่ายตลาดพอดี
หญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มขายาวที่เดินถือตะกร้าสานขี่รถจักรยานยนต์ไปตลาดสดจึงเป็นภาพที่เห็นได้ชินตา แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีบางอย่างแปลกออกไป
“หือ”
นาราเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นใครบางคนนอนอยู่ริมทางและไม่มีใครเข้าไปให้ความช่วยเหลือเขาเลยแม้แต่คนเดียว เธอจอดรถและเดินเข้าไปเพื่อดูอาการของชายหนุ่ม
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ก็แค่พวกคนเมา เดี๋ยวก็คงตื่นมา”
เสียงของใครบางคนพูดขึ้นหลังจากที่เธอหยุดรถจักรยานยนต์ของเธอใกล้ๆ กับที่ชายคนนั้นนอนอยู่แต่ไม่ได้ดับเครื่องยนต์ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของที่นี่ แต่นารากลับไม่คิดแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“ได้ไงล่ะลุง ถ้าเขาโดนปล้นโดนฆ่าขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ”
“โอ้ย ข้าเห็นแบบนี้มาเยอะแล้ว ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร”
“มี แต่ลุงไม่เห็นเองน่ะสิจ๊ะ”
นาราโต้เถียงพร้อมกับพยายามพลิกตัวชายหนุ่มด้วยความยากลำบาก จนเมื่อพลิกตัวเขาได้ หน้าของเธอก็ฟุบไปซุกกับแผงอกกว้างของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นใบหน้าที่แท้จริง
นารา Talk
ฉันรู้สึกเหมือนกับ...เคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน
เมื่อฉันเห็นเขาเต็ม ๆ ตา ฉันรู้ทันทีว่าเขาต้องเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างแน่นอน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวตามฉบับของคนที่เติบโตในเมืองหนาว หน้าตาถือว่าหล่อเหลาเอาการมากเลยทีเดียว แม้จะดูมีอายุไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าดูดีมาก ๆ สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง
หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นมาเมื่อมองหน้าเขานานเกินไป ฉันรีบเบือนหน้าไปทางอื่น ก่อนจะพบกับลุงจอมเพิกเฉยคนเดิมที่กำลังเหลือบมองพวกเราสองคนอยู่
“ลุง”
“หือ”
“เรียกแท็กซี่ให้ฉันหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
“โอ๊ย ไม่เอาล่ะ หนูเรียกเองเถอะ ลุงไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้” พอพูดจบ ลุงก็เร่งเครื่องรถจักรยานยนต์ไปจากตรงนั้นทันที แถมยังผิวปากทิ้งท้ายเอาไว้ได้อย่างน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก
ใจดำชะมัด ตาลุงนี่
เพราะยังเป็นช่วงเช้ามืด เมืองที่เคยคึกคักยามราตรีจึงดูเงียบเหงาขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่โชคดีที่นาราไม่ต้องรอนานนัก เมื่อแท็กซี่คันหนึ่งแล่นผ่านมาทางนี้พอดี เธอรีบโบกมือเรียกทันที คนขับชะลอความเร็วลงและมาจอดใกล้คนทั้งสอง พร้อมกับเลื่อนกระจกรถลงและชะโงกหน้าออกมา เขาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางใจดี
“มีอะไรให้ช่วยไหม”
“ลุงช่วยแบกผู้ชายคนนี้ขึ้นรถทีจ้ะ”
“อืม ได้สิ”
ลุงคนขับรถไม่รอช้า เขารีบลงมาจากรถและช่วยนาราอุ้มชายหนุ่มขึ้นรถอย่างทุลักทุเล
“เขาเป็นอะไรเหรอ”
“เหมือนจะโดนปล้นน่ะจ้ะ มีร่องรอยโดนทำร้ายเต็มตัวไปหมด”
“ให้ไปโรงพยาบาลไหม”
“อาการไม่ค่อยหนักมากเท่าไหร่ ให้เขาไปพักที่บ้านฉันก็ได้จ้ะ”
“แล้วบ้านหนูไปทางไหนล่ะ”
“กลับรถและตรงไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วจ้ะ ลุงขับรถตามฉันมาได้ไหม เดี๋ยวฉันขี่มอเตอร์ไซด์นำหน้าเอง” นาราตอบลุงคนขับรถแท็กซี่หลังจากที่นำร่างชายหนุ่มนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว
“ได้” ลุงคนขับรถรีบกลับรถและขับรถแท็กซี่ตามรถจักรยานยนต์ของหญิงสาวไปทันที
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?