ตอนที่ 3 พวกเราก็แค่คนที่ขี้แพ้ทั้งคู่

ผมตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงให้สมกับโหมทำงานอย่างหนักและหวังว่าจะสามารถเจอรักแท้ที่นี่

นี่คือปณิธานอันแน่วแน่ของอีริคนับตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาเหยียบประเทศที่ได้ฉายาว่าสยามเมืองยิ้ม

คืนต่อมา อีริคอยู่ในชุดลำลองเสื้อโปโลแขนสั้นสีกรมท่า กางเกงผ้ายืดสีดำขายาว รองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาด

มันอาจดูไม่มีราคานัก แต่เมื่ออยู่บนร่างกายของชายวัยสี่สิบกว่าคนนี้ กลับดูมีราคาประหนึ่งเสื้อผ้าที่มาจากช็อปชั้นนำขึ้นมาทันที

เขาพรมร่างกายด้วยน้ำหอมราคาแพง ที่มากพอจะซื้อรถจักรยานยนต์ได้สองคัน ก่อนจะหวีผมจัดทรงให้เรียบร้อยตรงหน้ากระจกของห้องพักในโรงแรม

ฟู่

อีริคเป่าปากระบายลมหายใจออกมา หวังลดอาการประหม่าของตัวเอง

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ เขาตรวจเช็กดูความเรียบร้อยทุกอย่าง ก่อนจะคว้ากระเป๋าเงินและกุญแจห้อง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปปิดโคมไฟแล้วจึงเดินออกจากห้องไป

ภูเก็ตในยามค่ำคืน

เมื่ออีริคเดินออกมาจากโรงแรม เขาจึงโบกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่กำลังขับผ่านมาทางนั้นพอดี

คนขับรถแท็กซี่เปิดไฟเลี้ยวก่อนจะขับมาเทียบชิดทางเท้า จากนั้นจึงเลื่อนกระจกลงและชะโงกหน้าออกมาถามอีริคด้วยภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ เหมือนอย่างเคย เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนไทยแน่นอน

“ไปไหนครับ”

“แถวนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง”

“อ้าว พูดไทยได้”

“ครับ” อีริคพยักหน้าและยิ้มให้คนขับรถ ดูเหมือนเขาจะมีภูมิคุ้มกันแท็กซี่ขี้โกงแล้ว

อีกฝ่ายถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าฝรั่งคนนี้คงหลอกไม่ได้ง่าย ๆ

“มาภูเก็ตต้องไปถนนคนเดิน ป่าตองวอล์คกิ้งสตรีท รู้จักไหม”

“รู้จักครับ” อีริคพยักหน้า

“คงอยากจะไปซื้อบริการล่ะสิ ใช่ไหม”

“ซื้อบริการเหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง

“พวกฝรั่งขี้นกมาเมืองไทยเพราะอยากจะซื้อบริการหญิงไทยทั้งนั้นแหละน่า อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลย” คนขับรถพูดอย่างเป็นกันเอง

อีริคถึงบางอ้อขึ้นมาทันที

“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกครับ” อีริคโบกมือและส่ายหน้าปฏิเสธ

“ช่างเถอะ จะไปถนนคนเดินไหม เดี๋ยวพาไป”

“ไปครับ” 

หลังจากที่อีริคขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว ไม่นานรถแท็กซี่ก็ขับออกไปจากหน้าโรงแรม รถแล่นเข้าสู่ถนนเส้นหลักและมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดินที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนมักนิยมไปกัน

“ทำไมถึงพูดไทยเก่งมาก” คนขับรถเอ่ยถามด้วยภาษาไทย พลางมองหน้าอีริคผ่านกระจกมองหลัง

“มีเมียเป็นคนไทยเหรอ”

“หือ”

“ส่วนใหญ่พวกฝรั่งที่พูดไทยได้ มีเมียเป็นคนไทยทั้งนั้นแหละ” คนขับรถตอบ

“หรือว่าเป็นลูกครึ่ง”

“ไม่ใช่ทั้งสองครับ”

“หือ” คนขับรถขมวดคิ้ว

“ไม่ได้มีเมียเป็นคนไทย และไม่ใช่ลูกครึ่ง”

“ถ้างั้นทำไมถึง...”

“ผมเคยตกหลุมรักสาวไทยน่ะ” อีริคตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ สีหน้าและแววตาส่งผ่านความเศร้าในใจออกมาอย่างชัดเจน

เขามองออกไปนอกรถผ่านกระจก แม้แสงสีสวยงามที่เห็นตอนรถขับผ่านจะน่าสนใจ แต่มันก็ไม่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

“แปลว่าไม่สมหวังเหรอ”

“ครับ” อีริคพยักหน้าและยิ้มบาง ๆ

“เธอมีคนที่เธอรักอยู่แล้วน่ะ”

“ลืมเธอได้หรือยัง”

“ไม่เลย เธอยังวนเวียนอยู่ในความคิดของผมตลอดเวลา” อีริคหัวเราะออกมา

เขารู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ไม่น้อยจนคนขับรถยังรู้สึกได้

“ผมก็เคยรักใครบางคนเหมือนกัน”

“หือ” อีริคหันมามองคนขับรถ คิ้วเลิกสูงด้วยความประหลาดใจ

“จริงเหรอครับ”

“จริงสิ ผมจะโกหกทำไม”

“แล้วสมหวังไหม”

“ไม่อ่ะ” คนขับรถหัวเราะแล้วส่ายหน้า

“ผมเป็นแค่คนขับรถแท็กซี่ หาเช้ากินค่ำ ครอบครัวเขาเลยไม่ปลื้มเท่าไรน่ะ”

“คุณคงพยายามที่สุดแล้ว”

“ใช่” คนขับรถพยักหน้า

“แต่ความพยายามใช้ไม่ได้กับความรักหรอก มันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง สิ่งที่คนขี้แพ้อย่างพวกเราทำได้ก็คือยอมรับและก้าวต่อไปข้างหน้า”

“...”

“แล้วสักวัน คุณก็จะเจอความรักที่ดีเอง”

“จริงของคุณนะ” อีริคยิ้มกว้าง รู้สึกดีขึ้นเมื่อเจอคนหัวอกเดียวกัน

ทั้งสองคุยกันเพลินจนไม่ทันได้มองความสวยงามของเมืองภูเก็ตในยามค่ำคืน ไม่นานนักรถแท็กซี่ก็จอดลง ณ ถนนคนเดินที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา

“ที่นี่แหละ”

“คึกคักกว่าที่คิดนะ”

“เมืองท่องเที่ยวก็แบบนี้แหละ”

“ขอบคุณนะครับ”

“แค่จ่ายค่าโดยสารก็พอ ผมไม่ต้องการคำขอบคุณหรอก” คนขับรถพูดติดตลก พลอยทำให้อีริคหัวเราะตามไปด้วย

เขาควักธนบัตรใบสีเทาออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้คนขับรถอย่างเต็มใจ

“ขอบคุณที่ลุงคุยเป็นเพื่อนผมระหว่างทางต่างหาก” อีริคว่า

“ค่าโดยสารแค่ร้อยกว่าบาท ผมไม่มีทอนหรอกนะ”

“ไม่ต้องทอนหรอกครับ ผมให้”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ”

“แบงก์ปลอมหรือเปล่าเนี่ย” คนขับรถคว้าธนบัตรจากมือของอีริคมาส่องกับไฟทันที เพื่อหาจุดสังเกตว่าเป็นของปลอมหรือไม่ อีริคเห็นแบบนั้นถึงกับหัวเราะออกมา

“ของจริงแน่นอนครับ”

“ขอบคุณครับ” คนขับรถยิ้มกว้างก่อนจะเก็บธนบัตรใส่กระเป๋าเสื้อ

“ขอให้เจอรักแท้เร็ว ๆ ล่ะ”

“คุณก็เช่นกัน” อีริคโบกมือลาก่อนจะก้าวลงจากรถและมองเขาขับออกไป

เมื่อรถแท็กซี่ลับสายตาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี

พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านอาหารร้านหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ลูกค้าที่เยอะเป็นพิเศษทำให้สะดุดตาเขาไม่น้อย

“ร้านนั้นดูขายดีแฮะ ลองไปดูดีกว่า” อีริคพูดกับตัวเอง เขาเดินล้วงกระเป๋าและกำลังจะข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้า สายตาของชายหนุ่มเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งสะดุดตาขึ้นมา

ร่างเล็กเจ้าของผมยาวสีดำ มัดผมขึ้นเป็นดังโงะเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียนสูงระหง ดวงตากลมโต แก้มแดงปลั่ง ริมฝีปากเป็นกระจับสวยงาม แม้ใบหน้าจะเปื้อนไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่ไม่ทำให้ความสวยของเธอลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว เธอกำลังผัดอะไรบางอย่างอยู่ที่กระทะตรงหน้า

สวย อีริคคิดในใจ

เขาหยุดมองเธอโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งชายหนุ่มเห็นเด็กคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางของทั้งสองเหมือนแม่กับลูกเล่นด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น มันทำให้ชายหนุ่มคิดถึงเซลีนขึ้นมาอีกแล้ว

“เซลีน เธอจะกวนใจฉันตลอดเวลาเลยหรือไงกัน” อีริคพึมพำกับตัวเองและพยายามส่ายศีรษะเพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เขาหยุดมองหญิงสาวและเด็กคนนั้นก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปที่ถนนคนเดินแทน

อีกฝั่งหนึ่งของถนนคนเดิน

“แม่ครับ มาเล่นกันไหม” กล้าหาญร้องเรียกนาราที่เพิ่งจะปิดเตาแก๊สไปเมื่อสักครู่ เธอยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อและหันมาอุ้มกล้าหาญเอาไว้

“แม่ยังทำงานไม่เสร็จเลยครับ ไปเล่นกับคุณยายก่อนไหม”

“ยายก็ไม่ว่างครับ”

“งั้นกล้าหาญต้องเล่นคนเดียวไปก่อนนะจ๊ะ”

“ไม่เอา กล้าหาญอยากเล่นกับแม่” เด็กชายลากเสียงยาวอย่างเอาแต่ใจ

“กล้าหาญ ลูกเห็นไหมครับว่าแม่น่ะงานยุ่งขนาดไหน” นาราเริ่มทำเสียงดุขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้เด็กชายวัยสี่ขวบกลัว ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วย เมื่อกล้าหาญหยุดงอแงและพยักหน้าเชื่อฟังแต่โดยดี

“เก่งมาก” นารายิ้มกว้าง

เธอปล่อยกล้าหาญลงก่อนที่เขาจะวิ่งกลับเข้าไปในห้อง เธอถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นและมองออกไปหน้าร้าน สายตาของเธอมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งจากฝั่งตรงข้าม เหมือนเขากำลังมองมาที่เธอก่อนจะหันหลังกลับและเดินไปทางถนนคนเดินแทน

“เมื่อกี้รู้สึกเหมือนถูกมองอยู่เลยแฮะ” เธอบ่นพึมพำ ก่อนจะเลิกคิดแล้วหันไปทำงานที่คั่งค้างต่อ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ