ยามใดที่คุณหนูหวังนิ่งงันครุ่นคิด ดวงตาเหม่อลอยคล้ายทอดข้ามมิติไปไกลโพ้น มิช้านานเหตุวุ่นวายก็บังเกิดทุกคราไป สร้างความปั่นป่วนมิว่างเว้นให้แก่คนรอบข้างอยู่เสมอ เสี่ยวหรู สาวใช้คนสนิทที่ปรนนิบัติอยู่เคียงข้างจึงมิอาจนิ่งเฉยได้ นางจำต้องเอ่ยปากไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงทุกครั้งไป ใจหนึ่งนั้นย่อมผูกพันห่วงใยในความปลอดภัยของผู้เป็นนาย อีกใจหนึ่งก็ย่อมหวังเพียงมิให้ต้องคอยตามเก็บกวาดสะสางเรื่องราวอันยุ่งเหยิงที่คุณหนูได้ก่อไว้ ด้วยเกรงว่าภัยจะมาถึงตัวคุณหนูผู้เป็นนายในภายหลัง นางจึงได้แต่เฝ้าระวังมิให้คลาดสายตา
ช่อลดาถึงกับพูดไม่ออก แม้แต่เสี่ยวหรู สาวใช้ส่วนตัวของหวังอ้ายหลิง ยังมองผู้เป็นนายของตนเองด้วยสายตาหวาดระแวง
จากนั้นเสียงลือเสียงเล่าก็แพร่สะพัดไปดั่งไฟลามทุ่ง ของความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูสกุลหวัง ความโอหังที่เคยเกาะกุมจิตใจก็พลันมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง วาจาที่เคยเสียดแทงจิตใจผู้คน บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เบียดเบียนข่มเหงผู้ใดในจวน ทั้งยังไม่ขว้างปาข้าวของด้วยอารมณ์ดั่งเช่นที่ผ่านมา
คืนวันผันผ่านจนแรมเดือนที่คุณหนูหวังกลายกลับกลายเป็นคนละคน ราวกับบุปผาที่บานสะพรั่งรับอรุณ วาจาที่เคยหยาบกระด้าง บัดนี้กลับอ่อนหวานนุ่มนวลปานกระแสน้ำไหลเอื่อยในลำธารเต็มไปด้วยความอ่อนโยน จนผู้คนในจวนต่างพากันแปลกใจ บ้างก็ว่านางถูกผีสางเข้าสิง บ้างก็ว่านางได้พบสัจธรรมแห่งชีวิต แต่ไม่ว่าสิ่งใดคือสาเหตุที่แท้จริง ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้ว่า คุณหนูสกุลหวังนั้นได้เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็นำมาซึ่งความสงบสุขแก่ทุกคนในจวนสกุลหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สายลมหนาวแห่งปลายฤดูเหมันต์ ได้พัดผ่านต้นดอกเหมยที่ขึ้นเรียงรายทั่วทั้งจวนตระกูลหวัง ที่ยามนี้กลีบดอกไม้สีแดงสดต่างร่วงหล่นทั่วทั้งลานกว้าง หวังอ้ายหลิงเอนกายพิงหมอนอิงหลังใบเล็กบนตั่งที่ศาลากลางน้ำอย่างสบายอารมณ์ น้ำชาที่ถูกรินลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบแผ่ไออุ่นจาง ๆ ออกมาโอบล้อมแก้ว มือหนึ่งถือประคองถ้วยชา ส่วนอีกมือใช้ปลายนิ้วเรียวขาวของนางลูบรอบขอบถ้วยเบา ๆ ราวกับกำลังใช้ความคิดบางอย่าง
“หลิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงเอาแต่ขังตัวอยู่แต่ในจวนเช่นนี้เล่า?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ท่านพ่อ ลูกไม่ได้ขังตัวเองนะเจ้าคะ ท่านพ่อเข้าใจข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าได้พบเจอสถานที่ที่ทำให้ข้าสงบและมีความสุขแล้วอย่างไรเจ้าคะ กระนั้นข้าจึงไม่ต้องดิ้นรนไปแสวงหาความวุ่นวายภายนอกจวน”หวังอ้ายหลิงยกยิ้มบาง พร้อมกับเอื้อมมือเรียวบางไปกุมมือบิดาแล้วเอียงศีรษะซบลงกับฝ่ามือหนาอันอับอุ่น
ประมุขและฮูหยินหวังต่างมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย สองสามีภรรยาต่างไม่เข้าใจ ในความเปลี่ยนแปลงของบุตรีของตน แต่ก่อนนางชอบเที่ยวเล่น เข้าสังคม แต่บัดนี้ไม่ชอบสุงสิง แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน เพราะเรื่องรักลูกดังไข่ในหินประมุขและฮูหยินหวังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร
“หากเจ้าพอใจกับชีวิตแบบนี้ พ่อกับแม่ก็ไม่ขัด ตามใจเจ้าทั้งสิ้น...” ผู้เป็นพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เพราะหวังอ้ายหลิงเป็นดังแก้วตาดวงใจ นางเป็นบุตรีเพียงผู้เดียวของสกุล ไม่ว่านางจะสั่งนกย่อมได้นก และเมื่อนางต้องการไม้ต้องได้ไม้ แค่เพียงชีวิตสงบเรียบง่ายพวกเขาไม่ได้มีปัญหาที่จะให้พื้นที่ส่วนตัวแก่นาง เพียงแต่พวกเขาต้องคอยฟังคำติชินนินทาจากผู้คนในวงราชการที่คอยไถ่ถามถึงการหมั้นหมายดูตัวของบุตรีผู้เดียวของพวกเขา ประมุขและฮูหยินหวังได้แต่มองตากันปริบ ๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาทั้งคู่จะมาเกลี้ยกล่อมแต่พวกเขากลับถูกเกลี้ยกล่อมเสียเอง
“ใต้เท้า ขันทีส่วนพระองค์องค์ชายสามนำของกำนัลมากำนัลแด่คุณหนูขอรับ...” เกาจ้งเจียนเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
หวังอ้ายหลิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ด้วยรู้สึกหวั่นหวาดกับประโยคทีเล่นทีจริงขององค์ชายเอ่ยในคราวที่ได้พบกันครั้งก่อน
จ้งเจียนยอบกายลงเล็กน้อย ผายมือเชื้อเชิญขันทีให้นำของกำนัลที่องค์ชายฝากมาวางลงบนโต๊ะ
“นี่ขอรับคุณหนูหวัง” น้ำเสียงของขันทีนั้นแผ่วเบา หากแต่เต็มไปด้วยความนอบน้อม หวังอ้ายหลิงทอดสายตาคู่คมกริบลงมอง กำปั่นทองคำใบงามระยับจับตา ประดับประดาด้วยอัญมณีเลอค่าหลากสีสันเจิดจรัสสะท้อนแสงไฟระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า ข้างกันนั้นวางกุญแจทองเหลืองอร่าม สำหรับไขเพื่อนำสิ่งล้ำค่าภายในออกมา ผ้าไหมเนื้อดีเยี่ยมหลายพับถูกวางเรียงรายอวดลวดลายอันวิจิตรบรรจง ปักด้วยด้ายทองและไหมหลากสีเป็นรูปมังกรทะยานฟ้า หงส์ร่ายรำ และเหล่าดอกไม้มงคลนานาชนิด ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงถึงรสนิยมอันสูงส่งขององค์ชาย
“ข้ารบกวนจ้งเจียน นำสิ่งของเหล่านี้ส่งคืนองค์ชายสามไปเสีย แล้วกล่าวว่าข้ามิอาจรับน้ำใจจากพระองค์ได้” หวังอ้ายหลิงละสายตาจากสิ่งของมีค่าที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
“การปฏิเสธของกำนัลนับว่าเป็นสิ่งการกระทำอันไร้มารยาท หากยิ่งเป็นสิ่งของพระราชทานรู้รับต้องรับไว้อย่างเดียว ส่งคืนมีโทษถึงกบฏขอรับคุณหนู” จ้งเจียนอธิบายถึงข้อห้ามของธรรมเนียมปฏิบัติ ต่อหน้าขันทีคนสนิทขององค์ชายสาม
“ข้ากับองค์ชายสามคุยกันถูกคอ ดั่งมิตรสหาย องค์ชายสามย่อมไม่ตำหนิกับการกระทำนี้ของข้าแน่นอน” หญิงสาวยืนยันคำเดิม
จ้งเจียนจึงพับห่อผ้าขึ้นห่อราวกับว่าไม่เคยถูกแกะต่อหน้าขันที พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญขันทีให้เดินออกไปให้พ้นชายคาจวนพร้อมกัน
“ได้โปรดอย่าถือสาคุณหนู สิ่งของนี้ข้าจะนำไปให้ฮูหยินหวังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี” เกาจ้งเจียนก้มลงคำนับ หลังจากที่ส่งห่อเครื่องกำนัลให้แก่บ่าวรับใช้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?