ตอนที่ 10 สุขไหนจะเท่าที่บ้านเรา

ข่าวคราวที่คุณหนูอ้ายหลิง บุตรีเพียงผู้เดียวของประมุขและฮูหยินหวัง ปฏิเสธน้ำใจจากองค์ชายสามได้แพร่สะพัดไปทั่วทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงประดุจไฟลามทุ่ง น้ำเสียงซุบซิบกระพือไปไกล บ้างก็ว่าคุณหนูหวังผู้นี้สูงส่งจนเกินประมาณ ไม่เห็นค่าในราชวงศ์ บ้างก็คาดเดาว่านางกำลังเล่นตัว เรียกร้องบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตำแหน่งชายา บ้างก็มองว่านี่เป็นแผนการอันแยบยลที่นางจงใจสร้างขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนให้มาจับจ้อง ทว่า...ไม่ว่าผู้คนจะคาดคะเนไปในทิศทางใด มีเพียงหวังอ้ายหลิงเท่านั้นที่ล่วงรู้ความจริงในใจนาง

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นางได้สัมผัสถึงความสงบที่แท้จริง ไม่ต้องวุ่นวายกับพิธีรีตอง ไม่ต้องกังวลกับสายตาของผู้อื่น นางได้ใช้เวลาอันมีค่าอยู่พร้อมหน้ากับบิดามารดา ได้เดินเล่นในสวนดอกไม้ที่โปรดปราน ได้บรรเลงผีผาคลอเคล้าเสียงลม ได้อ่านตำราเล่มโปรดใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสุขที่เรียบง่าย แต่กลับเติมเต็มจิตใจนางให้เปี่ยมล้น นางไม่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อใครอื่น ไม่ต้องการดิ้นรนไขว่คว้าสิ่งใดที่ทำให้ตนเองต้องทุกข์ระทม หรือต้องฝืนใจทำในสิ่งที่นางไม่ปรารถนาอีกแล้ว นางเพียงต้องการอิสระที่จะได้ใช้ชีวิตในแบบของตนเองเท่านั้น

ภายใต้การปกครองขององค์ฮ่องเต้หลงตงหยาง มหานครนี้ไม่เพียงแต่เป็นนครที่วิจิตรตระการตายังเป็นเพียงศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรม จึงเป็นแหล่งให้กำเนิดผู้ทรงปัญญา ยอดคนผู้ปราดเปรื่อง เหล่าบัณฑิต ขุนนางนักปราชญ์ และยอดฝีมือ ผู้คนจากทั่วแคว้นต่างมุ่งหน้ามายังมหานครแห่งนี้เพื่อแสดงความสามารถ ยังนครที่งดงามราวสรวงสวรรค์ ดุจดังไข่มุกอันล้ำค่าที่สถิตอยู่ท่ามกลางผืนดินกว้างใหญ่

ในกลางเมืองแม่น้ำหลงสุ่ยทอดตัวยาวพาลำน้ำใสสะอาดไหลคดเคี้ยวโอบอุ้มมหานครประดุจเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตให้เบ่งบาน ดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมจรุงใจ สายลมพัดพาเสียงดนตรีแว่วหวานจากพิณเจ็ดสายและขลุ่ยหยก ดังระงมไปทั่วทุกสารทิศ

ผู้ทรงคุณธรรมและปรีชาสามารถ พระองค์ดุจมังกรทองที่โอบอุ้มแผ่นดินให้ร่มเย็นเป็นสุข พระบารมีแผ่ไพศาล ประชาราษฎร์อยู่ดีกินดี พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ตลอดปี เสียงหัวเราะและรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผู้คนทุกชนชั้น บ่งบอกถึงความผาสุกที่ยั่งยืนใต้ร่มพระบารมีขององค์จักรพรรดิ

ตลาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ล้วนคึกคักตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนพลบค่ำ บรรดาพ่อค้าจากแคว้นน้อยใหญ่ต่างมาชุมนุมในที่แห่งนี้ เพื่อนำสินค้าชั้นเลิศมาแลกเปลี่ยน แพรไหมจากแคว้นหนาน หยกงามจากเทือกเขาไป๋หลิง สมุนไพรล้ำค่าจากดินแดนซีโจว และเครื่องลายครามจากช่างฝีมือเมืองจิ่นโจว ล้วนมารวมกันอยู่ที่ตลาดแห่งนี้ เกิดเป็นแหล่งการค้าขนาดใหญ่

ย่านการค้าในเมืองหลวงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เสียงเรียกขายสินค้าดังระงมตลอดสองฟากฝั่งถนน คนงานหาบหามสินค้าหนักอึ้งเดินไปมา หรือเหล่าพ่อค้าผู้มั่งคั่งต่างนั่งตรวจนับเงินทองด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เด็กเล็กวิ่งไล่จับกันตามตรอกแคบ กลิ่นหอมของอาหารร้อน ๆ ลอยแตะจมูก ไม่ว่าจะเป็นซาลาเปาลูกโตที่ไส้แน่นจนแทบปริ หรือเนื้อเป็ดย่างที่ผู้ใดเห็นก็ต้องกลืนน้ำลาย

ณ ร้านน้ำชาชื่อดังริมถนนใหญ่ เหล่าพ่อค้าและบัณฑิตพากันจับจองที่นั่ง ทั้งยังสนทนาถกเถียงทั้งเรื่องการค้าขายไปจนถึงบทกวี

“ได้ยินหรือไม่? ปีนี้แคว้นฉีส่งหยกขาวล้ำค่ามายังแคว้นหลงถึงสามสิบหีบ! แต่ละก้อนล้วนเป็นของดีจากเหมืองหลวง...”

ชายอีกคนแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายธรรมดาแต่ดูกระฉับกระเฉง ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบก่อนเอ่ยเสียงต่ำ

“เท่านั้นยังน้อยไป ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่า ขบวนสินค้าของแคว้นเยี่ยนกำลังจะเข้ามา พวกเขานำม้าศึกพันธุ์ดีและเหล็กกล้าชั้นเยี่ยมมาแลกเปลี่ยนกับธัญพืชของแคว้นเรา หากเป็นจริงดังว่า แคว้นหลงของเราคงรุ่งเรืองไปอีกสิบปี!”

คำกล่าวนั้นทำให้หลายคนในร้านน้ำชาต่างหันมาสนใจ บางคนพยักหน้าเห็นด้วย บ้างครุ่นคิดถึงผลประโยชน์ที่จะตามมาหลังจากนี้

“ว่ากันว่าแคว้นหลงของเรานับวันยิ่งแข็งแกร่ง ฮ่องเต้หลงตงหยางปกครองด้วยคุณธรรม เศรษฐกิจรุ่งเรือง การค้าเฟื่องฟู แม้แต่แคว้นใหญ่น้อยรอบข้างก็ยังต้องพึ่งพาเรา!” บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงแววภูมิใจ

“ผู้คนร่ำรวยแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่หลงเฉิง ท่านว่ามิใช่หรือ?” บรรดาพ่อค้าต่างหัวเราะเห็นพ้องในคำกล่าวอันน่าภาคภูมิใจนี้…

---

กลางโถงศาลากลางน้ำในจวนสกุลหวัง ยามบ่ายคล้อย แสงสุริยันอ่อนเรืองรื่นสาดส่องต้องผิวน้ำที่ทอประกายระยิบระยับเป็นระลอก คลื่นน้ำพลิ้วไหวรำเพยพัดพากลิ่นหอมจางๆ ของมวลดอกบัวที่เบ่งบานสะพรั่งอยู่รายรอบ ศาลาแกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจงด้วยไม้จันทน์หอม ส่งกลิ่นละมุนฟุ้งไปทั่วบริเวณ ลมเอื่อยพัดผ่านม่านแพรปักลายเหมยเลื้อยพลิ้วไหว เผยให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกที่งดงามประดุจดังภาพวาด

หวังอ้ายหลิง คุณหนูแห่งสกุลหวังผู้เลอโฉม กำลังนั่งทอดกายอ่านตำราเล่มงาม บนเก้าอี้ไม้แกะสลักประณีต ในมือถือแผ่นหยกขาวที่ใช้คั่นหน้ากระดาษอย่างอ่อนช้อย แสงแดดยามบ่ายสาดต้องใบหน้าเนียนผุดผ่อง เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบาที่ประดับอยู่บนเรียวปากอิ่ม พลางดวงตาคู่สวยฉายแววเป็นประกายแห่งความเบิกบานใจ ราวกับว่าตัวอักษรทุกตัวในหนังสือนั้นได้นำพาจิตใจของนางล่องลอยไปในโลกอีกใบที่เต็มไปด้วยความสุขสงบ เสียงพลิกหน้ากระดาษแผ่วเบาเคล้าคลอไปกับเสียงสายลมและเสียงน้ำที่พัดต้องศาลา สร้างความอันรื่นรมย์และเงียบสงบให้กับหญิงสาวที่รับรู้ว่าตั้งแต่บัดนี้ไปเธอไม่ใช่ช่อลดาอีกต่อไป

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ