ตอนที่ 2 ลูกหลานอมรพิทักษ์

ทุกคนรีบวิ่งออกจากคฤหาสน์ ท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำและควันที่ลอยตลบ วศินถูกลากออกมาด้วยความรุนแรง 

เขาสำลักควันจนไอโขลก ๆ ดวงตาแดงก่ำจากความร้อนและควัน แต่ยังคงเดินตามขบวนโจรออกมาได้โดยไม่มีทีท่าว่าจะพยายามหนี

ด้านนอก ม้าหลายตัวถูกเตรียมไว้พร้อม วศินถูกมัดติดกับม้าตัวหนึ่ง เชือกรัดรอบเอวแน่นหนาจนแทบหายใจไม่ออก แต่เขาไม่ส่งเสียงร้องหรือขอความเมตตา เพียงแต่มองไปยังคฤหาสน์ที่กำลังถูกไฟเผาไหม้ ดวงตาเศร้าหมองราวกับกำลังสูญเสียอะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย

เสือเฮียวควบม้าสีดำสนิทมาหยุดข้าง ๆ กวาดตามองดูกองเพลิงที่โหมกระหน่ำคฤหาสน์หรู ภาพที่สะท้อนในดวงตาของเขาคือความพึงพอใจและความเกลียดชังที่ถูกปลดปล่อย

“ไฟไหม้ครั้งนี้ เป็นแค่จุดเริ่มต้น” เสือเฮียวพูดเสียงเย็น ดวงตาจับจ้องวศินที่ถูกมัดอยู่บนหลังม้า “กูจะทำให้ตระกูลมึงรู้ว่าความเจ็บปวดเป็นยังไง รู้ว่าการสูญเสียคืออะไร”

วศินจ้องตอบกลับไปที่ดวงตาอำมหิตของเสือเฮียว ไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความสงสัยยากที่จะคาดเดา “ถ้าคุณคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็เชิญตามสบาย แต่บางทีสิ่งที่คุณกำลังมองหาอาจไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นความจริง”

เสือเฮียวชะงัก คำพูดของวศินทำให้เขารู้สึกประหลาดใจและหงุดหงิด แต่ไม่มีเวลาให้คิดมาก เพราะเสียงนกหวีดของตำรวจดังมาจากไกล ๆ

“ไปได้ !” เสือเฮียวตะโกนสั่ง พร้อมกับกระตุ้นม้าให้ออกวิ่ง ตามด้วยลูกน้องทั้งหมด รวมถึงม้าของวศินด้วย

ทุกคนควบม้าออกไปด้วยความเร่งรีบ มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าทึบไกลจากตัวเมืองพอสมควร ม้าทุกตัววิ่งฝ่าความมืดราวกับรู้จุดหมายดี 

ด้านหลังพวกเขา คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลมั่งคั่งกำลังกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของผู้คน

เสือเฮียวหันกลับไปมองเปลวเพลิงสีส้มที่ยังคงลุกโชนอยู่ไกล ๆ ก่อนจะหันมาจ้องมองใบหน้าของวศินที่สะท้อนอยู่ในแสงจันทร์เสี้ยวบาง ๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมบุตรชายของศัตรูตัวฉกาจถึงไม่แสดงอาการหวาดกลัวหรือขอร้องให้ปล่อยตัว 

ไม่เข้าใจว่าทำไมในดวงตาคู่นั้นถึงไม่มีความเกลียดชังตอบกลับมา มีเพียงความสงบและการมองทะลุเข้ามาในจิตใจ ราวกับกำลังอ่านความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ภายในอกของเสือร้าย

เมื่อมองเข้าไปในดวงตานั้น เสือเฮียวกลับรู้สึกว่าตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกจับเป็นเชลย เชลยของความทรงจำอันเจ็บปวด เชลยของความแค้นที่หล่อเลี้ยงชีวิตมาตลอดสิบห้าปี และเชลยของสายตาประหลาดคู่นั้น ที่มองเขาไม่ใช่เหมือนศัตรูที่น่าเกลียดน่ากลัว แต่เหมือนเป็นผู้ป่วยที่ต้องการการเยียวยา

“มึงจะได้รู้ว่ากูเป็นยังไง” เสือเฮียวกระซิบกับตัวเอง สายตาจับจ้องไปที่วศิน “และกูจะได้รู้ว่า...ลูกหลานของตระกูลนรกนั่น จะมีค่าพอให้แลกกับความยุติธรรมหรือไม่”

ขบวนม้าเคลื่อนตัวเข้าสู่ความมืดมิดของป่าลึก ทิ้งเพียงเสียงกีบเท้าที่ค่อย ๆ เบาลง และหายไปกับสายลมยามราตรี

ป่าทึบบนเขาสูงทางตอนเหนือ ฝ่าม่านหมอกและสายฝนที่โปรยปรายไม่ขาดสาย 

ขบวนม้าของเสือเฮียวเคลื่อนตัวไปอย่างคล่องแคล่วในความมืด ผ่านเส้นทางที่แทบไม่มีใครรู้จัก ลัดเลาะตามไหล่เขาชันที่แม้แต่ชาวบ้านยังไม่กล้าย่างกราย เพราะเล่าลือกันว่ามีผีป่าสิงสถิต และสัตว์ร้ายชุกชุม แต่สำหรับเสือเฮียวและลูกน้อง ที่นี่คือบ้าน คือที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยที่สุด คือดงเสือที่ไม่มีใครกล้าล่วงล้ำ

สามชั่วโมงผ่านไป ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท นาฬิกาชีวิตของชาวบ้านบอกว่าคงเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะรุ่งสาง ขบวนม้าชะลอฝีเท้าลงเมื่อเข้ามาสู่หุบเขาลึกที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสามด้าน อีกด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูงชันที่น้ำตกไหลเป็นสายจากยอดเขา สายน้ำที่ไหลมารวมกันเป็นลำธารเล็ก ๆ ทอดยาวผ่านกลางหุบเขา

“มาถึงแล้ว” เสือเฮียวประกาศเสียงทุ้ม หยุดม้าลงที่โขดหินใหญ่ สายตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะผงกศีรษะให้สัญญาณลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนซุ่มอยู่บนต้นไม้สูงหน้าปากทางเข้า

“นายกลับมาแล้ว !” เสียงตะโกนลั่นดังมาจากยอดไม้ ขานรับสัญญาณต่อไปยังจุดต่าง ๆ ในป่าลึก

เพียงไม่นาน เสียงนกหวีดสามครั้งดังมาจากด้านในหุบเขา ตามด้วยเสียงเคาะไม้เป็นจังหวะ ทุกอย่างเป็นไปตามรหัสที่ตกลงกันไว้ แสงคบเพลิงในความมืดค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นทีละดวง จนในที่สุดเส้นทางเล็ก ๆ ที่ทอดเข้าไปในหุบเขาถูกเปิดเผย

เสือเฮียวนำขบวนผ่านทางแคบที่ถูกซ่อนไว้อย่างแยบยล ก้อนหินใหญ่ที่ดูเหมือนปิดกั้นทางเข้าถูกเลื่อนออกโดยลูกน้องสี่คนที่ซ่อนตัวอยู่ 

ทุกคนถืออาวุธครบมือและพร้อมจะสังหารผู้บุกรุกทันทีหากไม่ใช่เจ้านายของพวกเขา

เมื่อขบวนผ่านเข้ามาในหุบเขาด้านใน ภาพที่ปรากฏคือลานกว้างกลางป่าทึบ มีกระท่อมไม้ไผ่และไม้เนื้อแข็งกว่าสิบหลังสร้างกระจายเป็นวงกลม ตรงกลางมีลานดินที่ถูกบดอัดแน่น มีกองไฟขนาดใหญ่ลุกโชน ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ รอบ ๆ มีคนนั่งล้อมวง บางคนกำลังลับอาวุธ บางคนกำลังเตรียมอาหาร 

ที่โดดเด่นที่สุดคือหอสังเกตการณ์สูงสร้างจากไม้เนื้อแข็ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงใจกลางลาน

“นายมาแล้ว!” เสียงโห่ร้องต้อนรับดังขึ้นจากทุกทิศ เมื่อร่างของเสือเฮียวปรากฏในแสงไฟ ทุกคนลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง รอยยิ้มและสีหน้ายินดีปรากฏบนใบหน้าของลูกน้องทุกคนที่ได้เห็นเจ้านายกลับมาอย่างปลอดภัย

เสือเฮียวกระโดดลงจากหลังม้า ยืนตัวตรงด้วยท่วงท่าที่สง่างามและน่าเกรงขามในชุดดำสนิท เลือดของศัตรูยังคงติดอยู่เป็นหย่อม ๆ บนเสื้อและแขนเสือ ร่องรอยของการต่อสู้และความดุดันปรากฏชัดบนใบหน้า ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต

“ทุกคนทำได้ดีมาก” เสือเฮียวประกาศด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน “คืนนี้เราได้สั่งสอนพวกเศรษฐีที่กดขี่ชาวบ้าน ได้ทรัพย์กลับมาไม่น้อย”

ลูกน้องโห่ร้องด้วยความยินดี บางคนชูกำปั้นขึ้นฟ้า แสดงความภาคภูมิใจในความสำเร็จ

“นอกจากนั้น...” เสือเฮียวชี้ไปที่ร่างของวศินที่ยังคงถูกมัดอยู่บนหลังม้า “เรายังได้ของมีค่าอีกอย่าง...  ลูกชายของหลวงอมรพิทักษ์”

เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมกับสายตาหลายคู่หันไปจับจ้องที่ชายหนุ่มแปลกหน้าซึ่งดูผิดที่ผิดทางอย่างยิ่งในคุ้มโจร ด้วยผิวขาวเนียนและเสื้อผ้าที่แม้จะเปื้อนเลือดและเปรอะเปื้อน แต่ก็ยังบ่งบอกถึงชาติตระกูลสูงศักดิ์ 

บางคนถ่มน้ำลายลงพื้น บางคนแสดงความเกลียดชังออกมาทางสายตา

“อมรพิทักษ์ !” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งสบถออกมา ใบหน้าบูดบึ้งด้วยความเกลียดชัง “ตระกูลชั่วช้า ! ตระกูลที่ฆ่าลูกเมียกู !”

“ตระกูลที่เผาบ้านกู ยึดที่นากู!” อีกคนตะโกนขึ้น

“ไอ้หมารับใช้ของพวกชั่ว !” เสียงอื่น ๆ ดังระงมขึ้นมาอีกหลายเสียง ต่างระบายความแค้นออกมาไม่ขาดสาย

วศินได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่แสดงอาการตอบโต้ใด ๆ ดวงตายังคงสงบแม้จะอยู่ท่ามกลางความเกลียดชังที่พุ่งตรงมายังตัวเขา ผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อและน้ำฝนปรกหน้า ปิดบังสีหน้าที่อาจแสดงออกถึงความรู้สึกภายใน

“พอ !” เสียงคำรามของเสือเฮียวดังขึ้น ทำให้ทุกคนเงียบลงทันที “มันเป็นเชลยของกู และกูจะเป็นคนจัดการ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องตัวมัน นอกจากกูจะสั่ง”

ทุกคนก้มหน้ารับคำสั่ง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเสือเฮียว ทุกคนในคุ้มรู้ดีว่า ผู้ใดที่ขัดคำสั่งโดยตรง จะต้องพบกับโทษทัณฑ์ที่รุนแรง - มีคนเคยกล้าลองดี แข็งข้อต่อเสือเฮียว ผลก็คือไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีกต่อไป

“ซ้ง” เสือเฮียวเรียกมือขวาของตน “พาตัวมันไปขังไว้ที่กระท่อมหลังสุดท้าย ติดกับน้ำตก ใส่กุญแจมือ กุญแจเท้าให้แน่น แต่อย่าให้มันเจ็บหนักล่ะ”

ซ้งพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะสั่งลูกน้องอีกสองคนให้ช่วยกันลากตัววศินลงจากหลังม้า มือหยาบกร้านของซ้งกระชากร่างของวศินลงจากหลังม้าอย่างรุนแรง ทำให้ร่างของชายหนุ่มร่วงลงไปกับพื้นดิน แต่ไม่มีเสียงร้องหรือคำขอร้องใด ๆ หลุดออกมาจากปากของเขา มีเพียงเสียงหายใจหอบเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าของการเดินทางไกล

“ลุกขึ้น !” ซ้งคำรามพลางกระชากแขนของวศินให้ลุกยืน ร่างของชายหนุ่มโงนเงนเล็กน้อยเมื่อต้องทรงตัวบนขาที่ชาจากการถูกมัดบนหลังม้ามาเป็นชั่วโมง แต่เขาก็พยายามยืนตรงด้วยไม่อยากโดนถูกมองว่าอ่อนแอ

“ผมขอน้ำสักหน่อยได้ไหม” วศินเอ่ยเสียงแผ่วด้วยริมฝีปากแห้งผากและแตกระแหงจากความกระหายน้ำ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงคุ้มโจร ที่เขาปริปากพูดออกมา แสดงให้เห็นว่าเกินจะอดทนแล้ว

“มึงคิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมรึไง ?” ซ้งหัวเราะเยาะก่อนจะผลักร่างของวศินให้เดินไปข้างหน้า “เดินไป! ถ้าไม่อยากโดนเฆี่ยน!”

วศินก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก เขาก้าวผ่านสายตาจับจ้องของลูกน้องเสือเฮียวที่ยืนดูอยู่รอบลานกลางคุ้ม หลายคนแสดงความเกลียดชังออกมาอย่างเปิดเผย บางคนถ่มน้ำลายตามทางที่เขาเดินผ่าน แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเกินกว่านั้น เพราะคำสั่งของเสือเฮียวยังก้องอยู่ในหู

ขบวนเดินผ่านกระท่อมหลายหลังที่สร้างเรียงรายเป็นวงกลม กระท่อมแต่ละหลังมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสถานะและความสำคัญของผู้อยู่อาศัย กระท่อมที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง หลังคามุงด้วยใบตองและจาก มีการแกะสลักไม้อย่างประณีตที่เสาและประตู มีเชือกผูกตุ๊กตาฟางแปลก ๆ ห้อยอยู่รอบชายคา - นั่นคือที่พักของเสือเฮียว

กระท่อมที่เล็กที่สุดและอยู่ห่างที่สุด ตั้งอยู่ริมลำธารที่ไหลมาจากน้ำตก สภาพชำรุดทรุดโทรม หลังคาโหว่เป็นช่อง ๆ เปลือกไม้ที่ใช้กั้นฝาบางส่วนผุพังไปตามกาลเวลา - แน่นอนว่านี่คือที่ที่วศินจะถูกขัง

“เข้าไปข้างใน !” ซ้งผลักวศินเข้าไปในกระท่อมอย่างรุนแรง ร่างของชายหนุ่มเซไปข้างหน้าจนล้มลงบนพื้นไม้ผุ ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและใยแมงมุม 

“นี่จะเป็นบ้านใหม่ของมึง จนกว่านายกูจะตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับมึงต่อ”

ลูกน้องอีกคนนำน้ำมาให้หนึ่งถ้วยไม้ไผ่ แต่ก่อนที่จะส่งถึงมือวศิน ซ้งก็ปัดมันหล่นลงพื้น

“โอ๊ะ! ขอโทษที่ทำหกนะ 'คุณหมอ'“ ซ้งเอ่ยเสียงเยาะหยัน เน้นย้ำคำว่า 'คุณหมอ' ด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ลิ้มรสชีวิตใหม่ของมึงซะ”

ซ้งและลูกน้องอีกสองคนหัวเราะร่วน ก่อนจะปิดประตูกระท่อมลงอย่างรุนแรง ใส่กลอนไม้หนาบานใหญ่จากด้านนอก ทิ้งให้วศินอยู่ในความมืดเพียงลำพัง มีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแตกของฝาและหลังคาลงมาเป็นริ้ว ๆ ให้พอมองเห็นสภาพภายในกระท่อม

กระท่อมว่างเปล่า มีเพียงเสื่อเก่าขาด ๆ ผืนหนึ่งปูอยู่มุมห้อง ซึ่งคงจะเป็นที่นอนของวศินในคืนนี้ มุมหนึ่งมีหม้อดินเผาใบเล็กวางอยู่ คงเป็นภาชนะสำหรับขับถ่ายของผู้ถูกคุมขัง อากาศภายในกระท่อมอับชื้น เพราะอยู่ใกล้น้ำตก และไม่มีการระบายอากาศที่ดี กลิ่นอับชื้นของเชื้อราและไม้ผุลอยอวลอยู่ในอากาศ

วศินคลานไปหยิบถ้วยไม้ไผ่ที่หกอยู่บนพื้น ยังมีน้ำเหลืออยู่เล็กน้อย เขาใช้มือที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกป่านยกถ้วยขึ้นดื่มอย่างทุลักทุเล น้ำเพียงไม่กี่หยดช่วยบรรเทาความกระหายได้เพียงชั่วคราว เขาวางถ้วยลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะคลานไปนั่งบนเสื่อเก่าผืนนั้น

ในขณะเดียวกัน ที่ลานกลางคุ้มโจร เสือเฮียวยืนสงบนิ่งมองลูกน้องแบ่งสมบัติที่ปล้นมาได้ ทองคำ อัญมณี และเงินตราถูกแบ่งเป็นกอง ๆ อย่างเป็นระเบียบ 

กฎเหล็กของคุ้มเสือเฮียวคือความซื่อสัตย์ในการแบ่งสมบัติ ไม่มีการโกงกัน ไม่มีการขโมยส่วนแบ่งของคนอื่น ผู้ใดแม้แต่คิดก็จะถูกสงสัย และถ้ารู้ว่าทำจริง การลงโทษคือความตาย

“แบ่งเป็นห้าส่วนเท่า ๆ กันตามที่ตกลง” ชายร่างใหญ่ที่ได้รับฉายาว่าเสือดำ หัวหน้ากลุ่มย่อยอีกคนหนึ่งในคุ้มรายงาน “สองส่วนเก็บไว้สำหรับหมู่บ้านที่เราดูแล ส่วนที่เหลือแบ่งให้พวกเราตามผลงาน”

เสือเฮียวพยักหน้าพึงพอใจ เขาก้าวไปหยิบสร้อยทองคำวงหนึ่งขึ้นมาดู ก่อนจะโยนลงกองสมบัติสำหรับหมู่บ้าน

“เพิ่มอีกหน่อย” เขาสั่งสั้น ๆ “ฝนตกหนักปีนี้ น้ำท่วมทำลายพืชผลชาวบ้านไปเยอะ เขาต้องการความช่วยเหลือ”

ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนยิ้มบาง ๆ กับการตัดสินใจของเจ้านาย แม้จะหมายถึงส่วนแบ่งของตนจะลดลง แต่ก็เป็นกฎเหล็กอีกข้อหนึ่งและข้อสำคัญของคุ้มเสือเฮียว นั่นคือการช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ