เวลาผ่านไปห้าปี เฮียววัยสิบห้าปีกลายเป็นนักรบที่เก่งกาจในกลุ่มโจร ร่างกายเริ่มสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งจากการฝึกฝนหนัก
เขาเป็นหนึ่งในคนที่อันตรายที่สุดในกลุ่ม แม้จะอายุน้อยกว่าคนอื่นมาก ชื่อเฮียว ก็ถูกเปลี่ยนเป็น เสือเฮียว เมื่อเขาสามารถฆ่าเสือดำที่เข้ามาในค่ายได้ด้วยมือเปล่า
“มึงสู้เหมือนเสือ” แสงบอกเขาหลังจากการต่อสู้นั้น “ไร้ความปรานี ดุดัน และรวดเร็ว นับจากนี้ เจ้าคือเสือเฮียว”
ทุกวันเสือเฮียวฝึกฝนไม่หยุดหย่อน ยิ่งเก่งกาจเท่าไร เขาก็ยิ่งฝึกหนักขึ้นเท่านั้น
ความทรงจำถึงครอบครัวที่ถูกสังหารต่อหน้าต่อตายังคงชัดเจนในความคิด ใบหน้าของหลวงอมรพิทักษ์ที่สั่งให้ฆ่าคนทั้งตระกูลฝังลึกในจิตใจ ความเกลียดชังและความต้องการแก้แค้นเติบโตขึ้นทุกวัน
เมื่ออายุสิบแปด เสือเฮียวได้ร่วมปล้นบ้านเศรษฐีในเมืองเป็นครั้งแรก เขาแสดงความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี สังหารยามที่ขัดขวางอย่างเลือดเย็น ไม่ฟังเสียงร้องขอชีวิต ดวงตาของเขาว่างเปล่าขณะกระทำการนั้น ราวกับวิญญาณถูกความเกลียดชังกลืนกินไปหมดแล้ว
“เอ็งเปลี่ยนไปมาก” ลุงเฒ่าบอกเขาหลังการปล้น ดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ข้าจำเด็กชายที่ยิ้มแย้มและมีน้ำใจคนนั้นไม่ได้แล้ว”
“เด็กคนนั้นตายไปแล้ว” เสือเฮียวตอบเสียงเย็น “เหลือเพียงเสือที่ต้องการเลือด”
“เอ็งแก้แค้นอย่างนี้ พ่อแม่ของเอ็งจะสุขใจหรือ?” ลุงเฒ่าถาม
“ท่านไม่มีวันรู้” เสือเฮียวตอบกลับ ดวงตาวาววับด้วยความโกรธ “พวกเขาตายไปแล้ว ตายต่อหน้าข้า ถูกสังหารเหมือนสัตว์ โดยไม่มีความยุติธรรมใด ๆ”
ลุงเฒ่าไม่ตอบ ได้แต่ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย รู้ดีว่าคำพูดใด ๆ ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจชายหนุ่มตรงหน้าได้อีกแล้ว ความแค้นได้ฝังรากลึกเกินกว่าจะถอนออก
ในปีต่อมา ลุงเฒ่าเสียชีวิตด้วยโรคชรา ทิ้งให้เสือเฮียวสูญเสียคนสุดท้ายที่เชื่อมโยงเขากับครอบครัวในอดีต ในคืนที่เผาร่างของลุงเฒ่า เสือเฮียวยืนมองเปลวไฟโดยไม่มีน้ำตา เขาไม่ได้ร้องไห้อีกเลยนับตั้งแต่คืนที่ครอบครัวถูกสังหาร ราวกับน้ำตาทั้งหมดถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับบ้านในคืนนั้น
“มึงรู้ไหม” แสงเอ่ยขึ้นขณะยืนข้าง ๆ เสือเฮียว “ลุงเฒ่าสงสัยว่ามึงจะเป็นคนเดิมได้อีกไหม แต่กูไม่เคยสงสัยเลย”
“เพราะอะไร ?” เสือเฮียวถาม ไม่ละสายตาจากเปลวไฟ
“เพราะกูรู้ว่ามึงจะไม่มีวันเป็นคนเดิมอีกแล้ว” แสงตอบ “มึงถูกหล่อหลอมใหม่โดยความเกลียดชัง เหมือนเหล็กที่ถูกหลอมในเตาไฟ แล้วตีให้เป็นดาบ”
เสือเฮียวไม่ตอบ แต่คำพูดของแสงสะท้อนความจริงในใจเขา เขาไม่ใช่เด็กชายเฮียวที่อบอุ่นและมีความสุขอีกต่อไป เขาคือเสือเฮียว เครื่องมือแห่งการแก้แค้น
เมื่ออายุยี่สิบห้าปี เสือเฮียวรวบรวมกลุ่มโจรของตัวเอง แยกตัวออกมาจากกลุ่มของแสง เพื่อเริ่มแผนการแก้แค้นของตัวเอง เขาเลือกคนที่มีประวัติถูกรังแกจากตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ คนที่ครอบครัวถูกฆ่าหรือที่ดินถูกยึด คนที่มีเหตุผลให้แค้นเคืองระบบที่เป็นอยู่
“มึงจะแยกไปจริง ๆ เหรอ?” ซ้ง หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของแสงถาม “แสงให้มึงอยู่ที่นี่ต่อได้นะ”
“กูมีเรื่องที่ต้องทำ” เสือเฮียวตอบ “เรื่องที่รอมานานเกินไปแล้ว”
“กูจะไปกับมึง... กูเองก็มีเรื่องต้องชำระให้จบกับพวกข้าราชการเหมือนกัน” ซ้งตัดสินใจทันที
เสือเฮียวไม่ปฏิเสธ เขารู้ดีว่าซ้งเป็นนักสู้ที่เก่งกาจและซื่อสัตย์ ไม่นานกลุ่มของเขาก็มีสมาชิกกว่าสิบคน คนที่มีความสามารถและมีเหตุผลในการต่อต้านอำนาจรัฐทั้งสิ้น ทุกคนมีแผลในใจจากอดีต ทุกคนต้องการความยุติธรรมที่ระบบไม่เคยมอบให้
พวกเขาตั้งคุ้มโจรในป่าเขาลึกทางภาคเหนือ ห่างจากเมืองเพียงพอที่จะปลอดภัย แต่ใกล้พอที่จะบุกปล้นและแก้แค้นได้ เสือเฮียวออกกฎเหล็กหลายข้อ ไม่ทำร้ายเด็กและสตรี ไม่แย่งชิงส่วนแบ่งกัน ไม่ทรยศพวกเดียวกัน เป็นกฎที่ทุกคนเคารพและปฏิบัติตาม
การปล้นครั้งแรกของกลุ่มเสือเฮียวเกิดขึ้นในคืนเดือนดับ พวกเขาบุกเข้าปล้นบ้านของขุนนางที่มีชื่อเสียงในการกดขี่ชาวบ้าน ทุกคนสวมชุดดำและปิดหน้า ยกเว้นเสือเฮียวที่ต้องการให้ทุกคนจดจำใบหน้าของเขาได้ เขาฆ่ายามทุกคนที่ขัดขวาง อย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี
“พวกมึงเป็นใคร !?” ขุนนางคนนั้นถามด้วยความหวาดกลัว เมื่อถูกลากลงมาจากห้องนอน “พวกมึงไม่รู้หรือว่ากูเป็นใคร!?”
“กูรู้ดี” เสือเฮียวตอบเสียงเย็น “มึงคือคนที่กดขี่ชาวบ้าน ยึดที่นาของพวกเขาเมื่อพวกเขาจ่ายภาษีไม่ไหว มึงคือสุนัขรับใช้ของหลวงอมรพิทักษ์”
ชื่อนั้นทำให้ดวงตาของเสือเฮียววาวโรจน์ด้วยความเกลียดชัง เขาฟันดาบลงบนโต๊ะไม้อย่างแรง จนคมดาบจมไปกว่าครึ่ง
“บอกกูมา” เสือเฮียวถามเสียงต่ำอันตราย “หลวงอมรพิทักษ์อยู่ที่ไหน ?”
“กู... กูไม่รู้” ขุนนางคนนั้นตอบเสียงสั่น “เขาย้ายไปประจำที่เมืองหลวงหลายปีแล้ว ไม่ได้อยู่ที่นี่”
เสือเฮียวกัดฟันกรอด ข่าวนี้ทำให้แผนการของเขาล่าช้าออกไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขายกเลิกความตั้งใจ
“งั้นมึงก็ไม่มีประโยชน์สำหรับกู” เสือเฮียวพูดเสียงเย็น “แต่วันนี้กูจะไว้ชีวิตมึง เพื่อให้มึงส่งข่าวไปหาหลวงอมรพิทักษ์ บอกเขาว่า เสือเฮียวกำลังตามล่าเขา และจะไม่หยุดจนกว่าจะแก้แค้นสำเร็จ”
นับจากนั้น กลุ่มของเสือเฮียวก็ออกปล้นและทำลายทรัพย์สินของคนที่เกี่ยวข้องกับหลวงอมรพิทักษ์อย่างต่อเนื่อง สร้างความหวาดกลัวให้กับชนชั้นปกครองในพื้นที่ แต่กลับได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านธรรมดา เพราะพวกเขาแบ่งทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ปล้นมาได้ให้กับหมู่บ้านยากจน ช่วยเหลือผู้ที่ถูกเอาเปรียบจากระบบ
ชื่อเสียงของเสือเฮียว แพร่สะพัดไปทั่ว บ้างก็ว่าเขาเป็นโจรป่าที่โหดเหี้ยม บ้างก็ว่าเขาเป็นวีรบุรุษที่ปกป้องคนยากไร้ แต่สำหรับเสือเฮียวเอง เขาไม่สนใจคำล่ำลือใด ๆ มีเพียงภารกิจเดียวที่สำคัญ คือการแก้แค้นให้ครอบครัวที่ถูกสังหาร
ร่างกายของเสือเฮียวเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ปกคลุมหลังและแขน ประกอบพิธีโดยอาจารย์เฒ่าในป่าลึก เป็นยันต์ที่เชื่อว่าจะปกป้องเขาจากกระสุนและคมดาบ ส่วนที่อกของเขามีรอยสักรูปเสือคำรามขนาดใหญ่ เสมือนสัญลักษณ์ของตัวตนใหม่ที่เกิดขึ้นจากความเจ็บปวดในอดีต
ทุกคืนก่อนนอน เสือเฮียวจะนึกถึงใบหน้าของครอบครัว พ่อ แม่ พี่ชาย และพี่สาว คนที่เขารักและสูญเสียไปในคืนอันโหดร้ายนั้น เขาจะสาบานกับตัวเองอีกครั้งว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะได้แก้แค้นสำเร็จ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง
เมื่อหลับตาลง ความฝันที่เขาเห็นมักเป็นภาพเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพครอบครัวที่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา เสียงปืน เสียงกรีดร้อง กลิ่นเลือด และใบหน้าเย็นชาของหลวงอมรพิทักษ์
เขาจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด หัวใจเต้นระรัว เหงื่อโซมกาย และความเกลียดชังที่ร้อนแรงในอก
แต่เช้าวันใหม่ เขาจะลุกขึ้นมาพร้อมดวงตาที่เย็นชาและเด็ดเดี่ยว พร้อมที่จะออกล่า พร้อมที่จะฆ่า พร้อมที่จะแก้แค้น
แดดยามสายแผดเผาผืนป่าทึบจนขึ้นเป็นไอร้อน วศินล้มตัวลงบนผืนเสื่อเก่าขาดในกระท่อมแคบ ๆ ที่ถูกขังมาสามวัน ริมฝีปากแห้งผากจากการขาดน้ำ ท้องไส้บิดเกร็งด้วยความหิวโหย หยาดเหงื่อไหลอาบใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มซูบซีด เขากำลังนับหยดน้ำที่รั่วซึมจากหลังคากระท่อมเพื่อฆ่าเวลา
เสียงกลอนประตูถูกเลื่อนเปิด ร่างของชายคนหนึ่งปรากฏที่หน้าประตู ลูกน้องใบหน้าเกรี้ยวกราดคนหนึ่งน่าจะถูกมอบหมายให้มาทำอะไรบางอย่างกับเขา
“ไอ้หมอปลอม! ตามกูมา นายสั่งให้มึงไปล้างตัวที่ลำธาร ตัวมึงเหม็นเน่าจนกูทนไม่ไหวแล้ว”
วศินลุกขึ้นช้า ๆ ด้วยร่างกายที่อ่อนเพลีย เขาไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน กลิ่นไม่น่าพิสมัยคงโชยออกมาจากร่างกายจริงอย่างที่กล้าว่า
“ขอบคุณครับ” วศินตอบเสียงแผ่ว พยายามรักษามารยาทและความสุภาพไว้ แม้จะอยู่ในสภาพย่ำแย่
“มึงยังจะมีหน้ามาขอบคุณกูอีก” ลูกน้องของเฮียวดึงกระชากแขนวศินอย่างรุนแรง “ถ้าเป็นกู กูจะปล่อยให้มึงนอนเน่าตายคาเรือนนี่แหละ ไอ้ลูกขุนนาง !”
วศินไม่ตอบโต้ เขารู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียงกับคนที่เกลียดชังเขาอยู่แล้ว คนตัวใหญ่เหวี่ยงร่างของวศินออกจากกระท่อม เขาเซถลาล้มลงบนพื้นดินแข็ง เศษหินบาดฝ่ามือจนมีเลือดซึม แต่เขาไม่แสดงความเจ็บปวดให้เห็น
“เดินไป !” เขาเตะเข้าที่สีข้างวศินเบา ๆ แต่มากพอที่จะทำให้เจ็บ “แกล้งอ่อนแอจนกูอยากจะอ้วก ไอ้ลูกคนมีสี”
วศินลุกขึ้น พยายามยืดตัวให้ตรง เขาเดินตามลูกน้องเสือเฮียวไปยังลำธารที่อยู่ห่างจากคุ้มโจรไม่ไกลนัก
เสียงน้ำไหลกระทบโขดหินดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกว่าแม้แต่ลูกน้องในคุ้มโจรก็มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม บางคนถ่มน้ำลายลงพื้นเมื่อเห็นเขาเดินผ่าน
เมื่อมาถึงลำธาร คนที่พามาโยนผ้าขาด ๆ ผืนหนึ่งให้วศิน “อาบให้เร็ว กูไม่มีเวลามาเฝ้ามึงทั้งวัน”
วศินรับผ้าไว้ เริ่มถอดเสื้อผ้าชุดเก่าที่สกปรกออกช้า ๆ เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายสะพายดาบไว้ที่เอว ดวงตาจับจ้องมาที่เขาไม่วางตา ราวกับรอให้เขาทำอะไรผิดพลาดเพื่อจะได้ลงมือ
น้ำเย็นเฉียบจากลำธารช่วยชำระร่างกายและล้างความสกปรกออกไป วศินรู้สึกดีขึ้นมาก แม้ความหิวจะยังคงรบกวนจิตใจ เขาพยายามดื่มน้ำให้มากที่สุดเพื่อบรรเทาความหิว
เสียงร้องโหยหวนแทรกผ่านความเงียบของป่ามาอย่างกะทันหัน เสียงนั้นดังมาจากทิศทางของคุ้มโจร คนเฝ้าหันขวับ สีหน้าเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที
“ไอ้เมฆ !”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้ง ชัดเจนกว่าเดิม วศินหันไปมองกล้า แต่แทนที่จะแสดงความกังวล เขากลับรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
“ผมขอไปดูหน่อยได้ไหม ?” วศินเอ่ยถาม “ผมอาจช่วยได้นะ”
“มึงจะช่วยอะไรได้ ?” อีกฝ่ายตวาดกลับ แต่สีหน้าฉายแววลังเล “ไอ้เมฆเกลียดมึงที่สุด มันตบหน้ามึงตั้งแต่วันแรกที่มึงมาถึง จำไม่ได้หรือไง?”
“ผมจำได้” วศินตอบเรียบ ๆ “แต่ผมเป็นหมอ คนเจ็บก็คือคนเจ็บ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร”
ลูกน้องเสือเฮียวจ้องมองวศินอย่างชั่งใจ ครั้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้ง เขาก็ตัดสินใจ
“ไปดูเร็ว ! แต่ถ้ามึงทำอะไรแปลก ๆ กูจะเอาหัวมึงออก!” เขาดึงดาบออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อเน้นย้ำคำขู่
ทั้งสองวิ่งไปตามทางเดินแคบ ๆ มุ่งหน้ากลับไปยังคุ้มโจร วศินรู้สึกเหนื่อยหอบจากร่างกายที่อ่อนแรง แต่ก็พยายามวิ่งให้เร็วที่สุด เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ พวกเขาพบกับภาพที่น่าสะพรึง
เมฆนอนกุมขาด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงสดไหลทะลักจากบาดแผลลึกที่น่องขวา เศษเหล็กแหลมคล้ายฟันสัตว์เกี่ยวเข้าไปในเนื้อลึก โดยรอบมีลูกน้องมุงดูด้วยความตกใจ แม้จะเคยเห็นบาดแผลมาบ้าง แต่แผลแบบนี้ถือว่าอันตรายไม่น้อย
“เกิดอะไรขึ้น ?” คนเพิ่งมาถึงถามด้วยความร้อนรน
“มันไปดักสัตว์แต่เช้า แล้วดันไปติดกับดักของพวกพรานป่า” ลูกน้องคนหนึ่งตอบ “มันพยายามแกะบ้วงออก แต่กลับยิ่งฝังลึกเข้าไป ใครก็แกะไม่ออก”
วศินรีบก้าวเข้าไปดูบาดแผล แต่ถูกมือหนาของไอ้หมีผลักกระเด็นออกไป
“อย่าเข้าใกล้รุ่นพี่กู ไอ้เวร !” หมีคำราม
“พอได้แล้ว ! มันเป็นหมอ อาจช่วยไอ้เมฆได้” อีกคนบอก
เมฆที่นอนอยู่หันมองวศินด้วยสายตาเคียดแค้น แม้ใบหน้าจะบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“ไม่เอา... ไม่ให้มันแตะตัวกู” เมฆครางเสียงแผ่ว
วศินมองไปรอบ ๆ “ถ้างั้นช่วยหามเขาเข้าไปในกระท่อม ผมจะดูแผลให้ดีกว่า ตรงนี้สกปรกเกินไป อาจติดเชื้อได้”
แม้จะไม่เต็มใจ แต่พวกโจรก็หามเมฆเข้าไปในกระท่อมกลาง วางลงบนเสื่อผืนใหญ่ วศินมองรอบกระท่อม เห็นขวดเหล้าขาวหลายขวดวางอยู่มุมหนึ่ง
“ผมขอใช้เหล้าของพวกคุณหน่อย” วศินพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบขวด แต่ถูกไอ้หมีตบมือเอาไว้
“มึงคิดจะทำอะไร !?” หมีเค้นเสียงถาม
“เหล้าขาวมีแอลกอฮอล์ ใช้ฆ่าเชื้อได้ แผลแบบนี้ต้องล้างให้สะอาดก่อน แล้วค่อยดึงเศษเหล็กออก” วศินพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“ปล่อยให้มันทำ” อีกคนบอก “ไม่มีทางเลือกแล้ว ไอ้เมฆจะตายห่าอยู่แล้ว !”
วศินโดนปล่อยให้หยิบขวดเหล้า เขาเทเหล้าลงบนมือตัวเองก่อน แล้วค่อย ๆ ชำระบาดแผลรอบ ๆ ฟันเหล็ก
เมฆสะดุ้งโหยงและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ชายหลายคนต้องเข้ามาจับยึดตัวเขาไว้
“ฟันเหล็กนี่ฝังลึกมาก แค่ดึงออกเฉย ๆ อาจฉีกเส้นเอ็นได้ ผมต้องใช้อะไรบางอย่างงัดมันออกอย่างระมัดระวัง” วศินพูด น้ำเสียงจริงจัง
“กูจะเอามีดให้” หมีเอ่ย
“ไม่ใช่มีด” วศินส่ายหน้า “ต้องเป็นอะไรที่เล็กและแข็งแรงพอจะสอดเข้าไปในเนื้อ”
วศินสูดหายใจลึก แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง หยิบเข็มเหล็กขนาดเล็กออกมา ทันใดนั้น บรรยากาศในกระท่อมก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที ทุกคนมองเข็มในมือวศินอย่างตกใจ
“มีอาวุธ !” หมีตะโกน พร้อมดึงมีดออกมาจากเอว
“ไม่ใช่อาวุธ ! มันคือเข็มเย็บแผล ผมใช้มันรักษาคนไข้” วศินรีบอธิบาย ก่อนที่จะโดนเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“มันซ่อนอาวุธมาตลอด !” ลูกน้องอีกคนร้อง “ฆ่ามันซะ !”
“หยดเลยพวกมึง !” อีกคนตะโกนลั่น “ไอ้เมฆจะตายอยู่แล้ว มึงจะให้มันตายเพราะกังวลกับเข็มเล็ก ๆ นั่นหรือไง? ให้มันทำต่อไป !”
วศินไม่รอช้า เขาเทเหล้าขาวลงบนเข็ม แล้วค่อย ๆ สอดเข้าไปในเนื้อข้าง ๆ ฟันเหล็ก เมฆกรีดร้องแทบจะไม่เป็นภาษา และดิ้นพล่านจนแทบหลุดจากการเกาะกุมของเพื่อน
วศินขมวดคิ้ว สมาธิจดจ่ออยู่ที่ปลายเข็มและเศษเหล็กในเนื้อ ค่อย ๆ งัดฟันเหล็กขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มันฉีกขยายบาดแผลมากไปกว่าเดิม
เหงื่อไหลอาบใบหน้าของวศิน หยดลงบนบาดแผลที่กำลังทำการรักษา แต่เขาไม่สนใจ พยายามควบคุมมือให้ไม่สั่น แม้ร่างกายจะอ่อนแรงจากการอดอาหารหลายวัน ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บาดแผลเพียงอย่างเดียว
“ได้แล้ว !” วศินอุทานเมื่อฟันเหล็กเริ่มขยับ เขาค่อย ๆ ดึงมันออกมาอย่างช้า ๆ ทีละนิด จนในที่สุดฟันเหล็กทั้งชิ้นก็หลุดออกมา เลือดพุ่งออกมาเป็นสาย
วศินรีบเทเหล้าขาวลงบนแผลทันที แล้วกดแผลไว้ด้วยผ้าสะอาดที่หยิบมาจากกระเป๋า
“ช่วยกดไว้แบบนี้” เขาสั่งคนที่อยู่ข้าง ๆ “ต้องเปลี่ยนผ้าทุกสองชั่วโมง และให้ดื่มเหล้าขาวเจือน้ำผึ้ง จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและป้องกันการติดเชื้อ”
หมีรับหน้าที่กดแผลต่อ ในขณะที่วศินล้างมือด้วยเหล้าขาวอีกครั้ง
ตอนนี้แม้ใบหน้าของเมฆซีดเผือด แต่ความเจ็บปวดดูจะบรรเทาลงหลังจากเศษเหล็กถูกดึงออก
“มึงเป็นหมอจริง ๆ สินะ” เมฆเอ่ยเสียงแผ่ว นัยน์ตาฉายแววแปลกใจ
วศินเพียงพยักหน้า ไม่พูดอะไร ความอ่อนเพลียเริ่มถาโถมเข้ามายามที่ความตึงเครียดผ่อนคลายลง
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?