รุ่งสางของวันใหม่เริ่มต้นด้วยฝนซาที่ยังคงพรมละอองเย็นลงมาเบา ๆ ท่ามกลางม่านหมอกบางที่ปกคลุมคุ้มโจร ความชื้นแทรกซึมไปทั่วทุกอณูของป่าเขา
ยามเช้าตรู่เช่นนี้ ลูกน้องส่วนใหญ่ของเสือเฮียวยังคงนอนหลับใหลเพราะฤทธิ์เหล้าและความเหนื่อยล้าจากการปล้นรวมถึงงานฉลองเมื่อคืน มีเพียงยามเวรที่ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าตามจุดยุทธศาสตร์รอบคุ้มที่ยังตื่นและทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด
กระท่อมริมน้ำตกเงียบสงัด มีเพียงเสียงหยดน้ำที่หยดลงจากหลังคาใบจากที่รั่วเป็นช่อง ๆ
ร่างของวศินนอนขดตัวอยู่มุมห้องบนเสื่อเก่าขาดวิ่น เสื้อที่เคยขาวหมดจดกลายเป็นผ้าขี้ริ้วบนตัวคนเพราะเปรอะเปื้อนดินโคลนและคราบเลือดที่แห้งกรัง ใบหน้าที่เคยสะอาดอ่อนโยนเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและบาดแผลเล็ก ๆ น้อย จากการปะทะกับพวกเสือเฮียวริมฝีปากแห้งผากบ่งบอกถึงความกระหายที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม
เสียงกลอนไม้เลื่อนดังขึ้น ตามด้วยเสียงบานประตูที่ถูกเปิดอย่างแรง แสงสลัวของเช้าตรู่สาดเข้ามาในกระท่อมพร้อมกับเงาร่างสูงใหญ่ทะมึนที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงประตู
วศินสะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นทันที ก่อนจะพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ร่างกายยังคงเจ็บปวดจากการเดินทางอันแสนลำบากและการนอนบนพื้นแข็ง
“ตื่น !” เสียงคำรามต่ำดังมาจากร่างนั้น
เสือเฮียวก้าวเข้ามาในกระท่อม แสงสลัวที่ลอดผ่านช่องหลังคาและประตูเผยให้เห็นใบหน้าดุดันที่คมคายราวกับถูกสลักจากหิน ดวงตาคมกริบฉายแววอำมหิตผสมกับความเย็นชา เขาสวมเสื้อผ้าชุดดำเหมือนเช่นเคย ที่เอวมีมีดสั้นเหน็บอยู่สองเล่ม ร่างกายทุกส่วนบ่งบอกถึงความพร้อมที่จะกระทำการรุนแรงได้ทุกเมื่อ
วศินนั่งตัวตรง ไม่แสดงอาการหวาดกลัวแต่ก็ไม่ได้ท้าทาย สายตาจับจ้องไปที่เสือเฮียวอย่างสงบ
“สวัสดีครับ” เขาทักทาย เสียงแหบแห้ง
“มึงคิดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ?” เสือเฮียวถามเสียงเย็น ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าวศิน ในมือถือถุงผ้าใบเล็ก “ร้านน้ำชาที่ต้องทักทายกันด้วยความสุภาพงั้นเหรอ ?”
วศินไม่ตอบ ดวงตายังคงจับจ้องเสือเฮียวอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเลี่ยงสายตาหรือก้มหน้าหลบ
เสือเฮียวโยนถุงผ้าลงตรงหน้าวศิน
“กิน” เขาสั่งเสียงห้วน “แล้วตอบคำถามกู”
วศินเปิดถุงผ้าอย่างช้า ๆ ด้วยมือที่ยังคงถูกเชือกมัดหลวม ๆ ภายในมีข้าวเหนียวห่อใบตองก้อนเล็ก และหมากปลาร้านิดหน่อย เขากินอย่างช้า ๆ ราวกับกำลังรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารในคฤหาสน์ ไม่ใช่กำลังกินอาหารในกระท่อมเก่าผุพังท่ามกลางคุ้มโจร
“กูรู้จักวิธีทรมานคนมากกว่าร้อยวิธี” เสือเฮียวเริ่มพูดขณะที่วศินกิน เขาเดินวนรอบกระท่อมเล็กอย่างช้า ๆ ราวกับเสือที่กำลังวนรอบเหยื่อ “กูสามารถทำให้มึงเจ็บปวดเจียนตาย แต่ก็ไม่มีวันได้ตาย”
วศินกลืนข้าวคำสุดท้าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเสือเฮียว “ผมเชื่อว่าคุณทำได้จริง”
“แล้วถ้างั้น ทำไมมึงยังทำหน้าเฉยอยู่ได้ ?” เสือเฮียวก้มลงมา ใบหน้าห่างจากวศินเพียงไม่กี่นิ้ว กลิ่นอายแห่งความรุนแรงและอันตรายแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาราวกับควันพิษ “มึงไม่กลัวกูเหรอ?”
“ผมกลัว” วศินตอบตรงไปตรงมา ไม่มีการปกปิดหรือแสร้งทำเข้มแข็ง “ผมเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ความกลัวไม่ได้ช่วยอะไรในที่แบบนี้”
เสือเฮียวแค่นหัวเราะเบา ๆ “มึงพยายามทำตัวเป็นคนฉลาด แต่มึงรู้ไหมว่ากูเกลียดอะไรมากกว่าคนโง่ ?” เขาไม่รอคำตอบจากวศิน “กูเกลียดคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด”
เขากระชากคอเสื้อของวศินขึ้นอย่างรุนแรง ดึงร่างของชายหนุ่มให้ลุกยืนขึ้น แรงบีบที่คอทำให้วศินหายใจติดขัด แต่เขาไม่ได้พยายามต่อสู้ขัดขืน
“ตอบคำถามกู” เสือเฮียวคำรามใกล้ใบหน้าของวศิน “ตระกูลมึงวางแผนอะไรอยู่ ? ตำรวจรู้เรื่องคุ้มของกูหรือยัง ? พ่อมึงอยู่ที่ไหน ?”
“ผม...ไม่รู้” วศินตอบเสียงแผ่ว พยายามหายใจผ่านการบีบคอ “ผมเพิ่ง...กลับมาจากต่างประเทศ...ไม่ได้...ติดต่อกับพ่อ...มานาน”
เสือเฮียวกระแทกร่างของวศินเข้ากับฝาไม้ของกระท่อมอย่างแรง ทำให้ทั้งตัวกระท่อมสั่นสะเทือน
“โกหก!” เขาคำรามด้วยความโกรธ “มึงอยู่ในบ้านของเศรษฐีที่มีความเชื่อมโยงกับตระกูลอมรพิทักษ์ มึงรู้แผนการของพวกมันแน่”
“ผมกลับมาเมืองไทยได้เพียงสองอาทิตย์” วศินยังคงยืนยันคำเดิม แม้เลือดจะเริ่มซึมออกมาจากมุมปากเพราะแรงกระแทก “บ้านนั้นเป็นของลุงของผม ผมไปอาศัยอยู่ชั่วคราวระหว่างหางานใหม่ ผมไม่รู้เรื่องการเมืองหรือเรื่องตำรวจเลย”
“แล้วทำไมมึงบอกกูว่ามึงเป็นหมอ ?” เสือเฮียวคลายมือออกเล็กน้อย ให้วศินพอหายใจได้ “ลูกหลวงอมรพิทักษ์ต้องเป็นตำรวจสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่เหรอ ?”
“นั่นคือเหตุผลที่ผมขัดแย้งกับพ่อ” วศินตอบ น้ำเสียงเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อได้อากาศเข้าปอด “ผมไม่ต้องการเป็นตำรวจ ผมต้องการช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่กดขี่พวกเขา ก็เลยผมเรียนหมอที่อังกฤษเป็นเวลาเจ็ดปี เพิ่งกลับมา”
เสือเฮียวปล่อยคอเสื้อของวศิน ทำให้ชายหนุ่มทรุดลงกับพื้น แต่เขาก็พยายามประคองตัวให้ยังคงนั่งตัวตรง ไม่ล้มลงไปกองกับพื้น
“มึงคิดว่ากูจะเชื่อเรื่องนี้ ?” เสือเฮียวถามเสียงเย็น ดวงตาจ้องมองวศินราวกับกำลังจับโกหก “ลูกชายตระกูลที่ทุกคนในภาคเหนือต้องก้มหัวให้ มึงบอกว่ามึงไม่ต้องการอำนาจนั้น?”
“ใช่” วศินยืนยันหนักแน่น ดวงตาไม่เบือนหนีจากเสือเฮียวแม้แต่น้อย “ผมไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่กดขี่ผู้คน”
เสือเฮียวชักมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากเอว แสงเงินวาววับของใบมีดสะท้อนเข้าตาวศิน เขาหมุนมีดในมืออย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะจ่อปลายแหลมที่คอของวศิน
“กูเกลียดตระกูลมึงยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น” เสือเฮียวพูดเสียงต่ำอย่างอันตราย “ตระกูลมึงล้างตระกูลกู ฆ่าทุกคนในครอบครัวกู ฆ่าทุกคนที่กูรัก ตั้งแต่คนแก่ยันเด็กทารก”
ใบมีดกดเข้าที่ผิวบอบบางใต้คางของวศิน จนเลือดซึมออกมาเป็นหยดเล็ก ๆ “เลือดของมึงสมควรต้องไหล เพื่อแลกกับเลือดของครอบครัวกู”
“ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคุณ” วศินพูดเสียงเรียบ ไม่มีอาการสั่น แม้ปลายมีดจะจ่ออยู่ที่คอเขาก็ตาม “แต่ผมไม่รู้เรื่องนั้นมาก่อน ผมไม่เคยได้ยินว่ามีการล้างตระกูลใด ๆ”
“โกหก!” เสือเฮียวตวาดลั่น ดวงตาลุกวาวด้วยความโกรธ “มึงเป็นลูกของหลวงอมรพิทักษ์ มึงต้องรู้!”
“พ่อผมไม่เคยเล่าเรื่องการทำงานให้ฟัง” วศินยังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงมั่นคง “มีแต่ความขัดแย้งระหว่างเรา เขาต้องการให้ผมเป็นตำรวจ แต่ผมอยากเป็นหมอ นับตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยสนิทกับพ่อแล้ว”
เสือเฮียวกดมีดลึกขึ้นอีกเล็กน้อย ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง “มึงสมควรต้องตาย เพราะเลือดในตัวมึงเป็นเลือดของพวกสังหารเด็กและสตรี”
“ถ้าคุณจะฆ่าผม ผมก็ห้ามไม่ได้” วศินตอบ สายตามองตรงเข้าไปในดวงตาของเสือเฮียว “แต่ก่อนที่ผมจะตาย ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวคุณ ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ แม้จะเป็นลูกของหลวงอมรพิทักษ์ก็ตาม”
เสือเฮียวชะงักไปชั่วขณะ ความสงสัยผุดขึ้นในใจ ทำไมลูกชายคนเล็กของศัตรูถึงไม่รู้เรื่องความโหดร้ายของพ่อตัวเอง? ทำไมลูกตำรวจใหญ่ที่มีอำนาจล้นฟ้าถึงเลือกที่จะไปเป็นหมอ? เขาดึงมีดออกจากคอของวศิน ถอยห่างออกมาเล็กน้อย สายตายังคงจับจ้องอย่างไม่ไว้ใจ
“เมื่อสิบห้าปีก่อน” เสือเฮียวเริ่มเล่า น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “ตระกูลของกูมีอำนาจในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นเจ้าที่ดินที่ดูแลชาวบ้าน เก็บภาษีส่งให้ราชสำนัก แต่ไม่เคยกดขี่ผู้ยากไร้”
เขาเดินวนรอบกระท่อมอีกครั้ง สายตาทอดไปไกลราวกับกำลังย้อนกลับไปในอดีต “พ่อของกูเป็นคนเที่ยงธรรม ปกป้องชาวบ้านจากการเอารัดเอาเปรียบของขุนนางจากเมืองหลวง เรื่องนี้แหละที่ทำให้พวกนั้นไม่พอใจ โดยเฉพาะตระกูลอมรพิทักษ์... ตระกูลของมึง”
เขาหยุดพูดชั่วขณะ ราวกับพยายามข่มอารมณ์ ก่อนจะเดินกลับมาที่วศินอีกครั้ง “พวกมันใส่ร้ายว่าพ่อกูกบฏต่อราชสำนัก ส่งรายงานเท็จไปที่กรุงเทพ จนได้รับอนุญาตให้ปราบปรามและยึดทรัพย์ตระกูลกู”
“และแล้วในคืนหนึ่ง” เสือเฮียวกระซิบเสียงแผ่ว แต่เต็มไปด้วยพลังแห่งความแค้น “ทหารและตำรวจของหลวงอมรพิทักษ์บุกเข้าบ้านกู จับทุกคนมามัดไว้ที่ลานบ้าน แล้วฆ่าทีละคนต่อหน้ากัน จากคนแก่ไปถึงเด็ก”
วศินนิ่งงัน สีหน้าเศร้าสลดกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วคุณรอดมาได้อย่างไร?”
“กูเป็นลูกชายคนเล็ก อายุสิบขวบ” เสือเฮียวตอบ เสียงสั่นเครือเล็กน้อย ความเจ็บปวดปรากฏชั่วขณะในดวงตาที่แข็งกร้าว “คนรับใช้เก่าแก่คนหนึ่งแอบพากูหนีออกมาทางหลังบ้าน ผ่านอุโมงค์เก่า ขณะที่ทุกคนในครอบครัวถูกฆ่าทีละคน”
“เรามุดผ่านป่าหลายวัน จนกระทั่งเจอกลุ่มโจรในป่าลึกที่รับกูเข้าไปอยู่ด้วย” เสือเฮียวหยุดพูด ราวกับไม่ต้องการเล่าต่อ “เรื่องที่เหลือไม่สำคัญ ที่สำคัญคือพ่อมึงคือคนที่สั่งฆ่าครอบครัวกูอย่างไร้ปรานี และกูสาบานว่าจะแก้แค้นให้ได้ก่อนตาย”
“คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นพ่อผม ?” วศินถามอย่างระมัดระวัง “ตระกูลอมรพิทักษ์มีหลายสาขา”
“หลวงอมรพิทักษ์ อยู่ที่นั่นเอง !” เสือเฮียวตวาดลั่น “กูเห็นกับตาตัวเอง เขายืนดูลูกน้องสังหารครอบครัวกู!”
วศินเงียบไปครู่หนึ่ง ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ “พ่อผมมีพี่ชายคนหนึ่ง มียศเป็นหลวงอมรพิทักษ์เช่นกัน เพราะรับตำแหน่งต่อจากปู่ แต่จะมีชื่อต่อท้ายเป็นหลวงอมรพิทักษ์ภักดี ส่วนพ่อผมใช้ชื่อหลวงอมรพิทักษ์โกศล ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ที่ได้รับทีหลัง” วศินอธิบาย “ผมเคยได้ยินพวกเขาทะเลาะกันเรื่องการเมืองนี่แหละ แต่ไม่เคยรู้รายละเอียด”
เสือเฮียวชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาฉายแววกึ่งสงสัยกึ่งไม่เชื่อ “มึงกำลังพยายามบ่ายเบี่ยงความผิด ใส่ร้ายลุงมึง ? คิดว่ากูจะหลงกลเหรอ ?”
“ผมเพียงแค่บอกสิ่งที่ผมรู้” วศินตอบอย่างสงบ “ผมไม่ได้อยู่ที่นี่เมื่อสิบห้าปีก่อน ผมไปเรียนที่ต่างประเทศ ทุกอย่างที่ผมรู้มาจากจดหมายสั้น ๆ ที่พ่อเขียนมาหา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตำหนิที่ผมไม่กลับมาสืบทอดตำแหน่ง”
เสือเฮียวย่างสามขุมเข้าหาวศิน มือยกขึ้นกำหมัดแน่น ราวกับพร้อมจะทุบตีได้ทุกเมื่อ “มึงพยายามทำให้กูสับสน แต่กูไม่โง่!”
“ผมไม่ได้พยายามทำให้คุณสับสน” วศินมองตรงเข้าไปในดวงตาเสือเฮียว “ผมแค่ต้องการความจริงเช่นเดียวกับคุณ ถ้าคนในตระกูลผมทำสิ่งเลวร้ายจริง ผมก็ต้องการรู้”
เสือเฮียวกำหมัดแน่นเตรียมจะต่อย แต่แล้วเขากลับชะงัก สายตาจับจ้องอยู่ที่มือของวศินที่วางอยู่บนตัก จากรอยที่เชือกเสียดสี ทำให้เห็นรอยแผลเป็นยาวพาดผ่านหลังมือและนิ้วหลายรอย เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดอย่างประณีต
“มือมึง...” เสือเฮียวเอ่ยขึ้น เสียงเปลี่ยนเป็นสงสัย
วศินมองไปที่มือตัวเอง เข้าใจทันทีว่าเสือเฮียวกำลังมองอะไร “รอยแผลจากการฝึกผ่าตัด” เขาอธิบาย “ในการเรียนแพทย์ พวกเราต้องฝึกผ่าตัดศพ บางครั้งเครื่องมือลื่น หรือมีอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ รอยแผลพวกนี้คือเครื่องหมายของการเป็นหมอ”
เสือเฮียวไม่พูดอะไร แต่ยังคงมองรอยแผลเหล่านั้น ก่อนจะสบตากับวศินอีกครั้ง ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจ
“ถ้าคุณไม่เชื่อผม... ลองให้ผมดูอาการบาดเจ็บใครสักคน ผมจะพิสูจน์ว่าเป็นหมอจริง”
เสือเฮียวแค่นหัวเราะเย็นชา
“มึงคิดว่ากูโง่พอที่จะให้มึงเข้าใกล้คนของกูเหรอ ? แล้วถ้ามึงทำร้ายพวกมันล่ะ ?” เสือเฮียวเย้ยหยัน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ “ถ้ามึงเป็นหมอจริง ก็ยิ่งอันตราย!”
“ผมสาบานได้ว่าจะไม่ทำร้ายใคร” วศินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คำสาบานของแพทย์คือรักษาชีวิต ไม่ใช่ทำลายมัน”
“คำสาบานของตระกูลอมรพิทักษ์ก็คือการรักษากฎหมาย” เสือเฮียวตอบกลับอย่างเยือกเย็น “แต่พวกมันกลับใช้กฎหมายฆ่าผู้บริสุทธิ์”
วศินก้มหน้าลงเล็กน้อย ยอมรับคำพูดนั้นโดยไม่โต้แย้ง “ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณและครอบครัวของคุณ ไม่มีการฆ่าล้างที่ไหนจะถูกต้องทั้งนั้น แต่ผมขอยืนยันว่าผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”
ความเงียบเข้าปกคลุมกระท่อมชั่วขณะ มีเพียงเสียงหยดน้ำที่หยดลงจากหลังคาที่รั่วและเสียงน้ำตกไกล ๆ ที่ดังแว่วมา เสือเฮียวยืนนิ่ง จ้องมองวศินอย่างพิจารณา ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปทั่วร่างของชายหนุ่ม ราวกับกำลังค้นหาร่องรอยของความเท็จ
“มึงอาจจะเป็นหมอ” เสือเฮียวพูดในที่สุด “แต่มึงก็ยังเป็นลูกของศัตรูกู”
“ผมไม่ได้เลือกเกิด คนเราไม่มีใครเลือกได้ว่าจะเกิดในตระกูลไหน นามสกุลอะไร แต่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร ผมเลือกที่จะเป็นหมอเพื่อช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่เป็นตำรวจที่ใช้อำนาจกดขี่”
เสือเฮียวแค่นหัวเราะ “คำพูดสวยหรูของชนชั้นสูง เคยมีใครบอกมึงไหมว่ามึงไม่ได้ฟังดูจริงใจเลย เหมือนคนที่ท่องหนังสือท่องตำรามา แต่ไม่เคยเจอกับตัวเอง”
“คุณอาจจะถูก ผมไม่เคยเจอความทุกข์เหมือนที่คุณเจอ ผมไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องสูญเสียทุกอย่าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่เข้าใจความเจ็บปวดของมนุษย์”
“มึงเป็นหมอที่รักษาแค่ร่างกาย แต่ไม่เข้าใจบาดแผลในใจ” เสือเฮียวกระซิบเสียงต่ำ “มึงไม่รู้หรอกว่านอนไม่หลับเพราะฝันร้ายทุกคืนเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าการเห็นภาพพ่อแม่ถูกฆ่าซ้ำ ๆ ในความฝันเป็นอย่างไร”
วศินเงียบไป ไม่ตอบโต้ ปล่อยให้ความเจ็บปวดของเสือเฮียวได้พรั่งพรูออกมา
“กูไม่เคารพคนอย่างมึง” เสือเฮียวพูดต่อ “คนที่บอกว่าตัวเองดี แต่กินใช้จากเงินที่ได้มาจากการกดขี่ มึงบอกว่ามึงเป็นหมอที่ช่วยคน แต่เงินที่ส่งมึงไปเรียนมาจากไหน ?” เขาไม่รอคำตอบ “มาจากเลือดเนื้อและน้ำตาของพวกกูและประชาชนตาดำ ๆ นั่นแหละ”
วศินกำมือแน่น คำพูดมากมายที่เสือเฮียวหรือคนอื่นพูดไม่เคยกระทบจิตใจเขา แต่ครั้งนี้มันเสียดแทงลึกเข้าไปข้างในสุดของความรู้สึก ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปร๊บขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่เคยรู้ว่าเงินที่เลี้ยงดูผมมาจากไหน... แต่ถ้าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง... ผมยินดีจะชดใช้ด้วยชีวิตของผม”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?