ตอนที่ 1: กลางดงเพลิง

คืนเดือนดับเมฆหนาทะมึนปกคลุมท้องฟ้าราวกับม่านดำยักษ์ปิดกั้นแสงดาวและทุกแสงสว่างบนฟากฟ้า

เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อมคฤหาสน์หลังงามของเศรษฐีแห่งเมืองเหนือ 

ปกติแล้วยามฟ้ามืดเช่นนี้ ควรจะมีแต่เสียงลมที่พัดไปมาเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เสียงร้องโหยหวนของคนเฝ้าคฤหาสน์คนหนึ่งดังขึ้น ก่อนจะถูกกลืนหายไปในความมืด 

ร่างสูงใหญ่แต่ทว่าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วพุ่งเข้าไปปิดปากชายด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างกระชากมีดปลายแหลมที่เหน็บอยู่เอวขึ้นมาปาดลงบนลำคอของเหยื่ออย่างเลือดเย็น ของเหลวสีแดงดำพุ่งกระฉูดสาดกระเซ็นลงบนพื้นหินอ่อนสีขาวจนกลายเป็นศิลปะที่ไม่น่าดูน่าชมนัก 

ร่างนั้นอ่อนระทวยลงทันที ไม่ทันได้ส่งเสียงอะไรอีก ทิ้งไว้เพียงสายตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกับความตายที่มาเยือนอย่างไร้สุ้มเสียง

“หนึ่ง” เสียงนับเบา ๆ ดังมาจากชายในชุดดำ สีหน้าเรียบเฉยราวกับเพิ่งเด็ดใบไม้แห้งทิ้ง ไม่ใช่ปลิดชีวิตมนุษย์

เขาคือ ซ้ง โจรฝีมือดี ผู้เป็นมือขวาคนสนิทของเสือเฮียว หัวหน้าคุ้มโจรที่ทุกคนหวาดกลัว ซ้งมีใบหน้าอัปลักษณ์จากรอยแผลเป็นที่ถูกน้ำร้อนลวกตั้งแต่เด็ก เขาโดนด่าทอดูถูกตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าเขาไม่ค่อยชอบเพื่อนร่วมโลกใบนี้สักเท่าไหร่และพร้อมลงมือสังหารชีวิตของใครก็ตามเมื่อได้รับคำสั่งของนายด้วยความเต็มใจ

ในขณะเดียวกันที่ประตูด้านหลังของคฤหาสน์ มีเสียงฝีเท้าหลายคนย่ำเข้ามาอย่างแผ่วเบาทว่าแข็งขัน

ชายฉกรรจ์เกือบสิบคนในชุดดำมืดบุกเข้าทางประตูหลัง ทุกคนพกอาวุธครบมือ บางคนถือปืน บางคนถือดาบ มีด และกระบองไม้ พวกเขาเคลื่อนตัวกันเหมือนเงา แยกย้ายกันออกไปตามทิศทางที่วางแผนไว้ล่วงหน้า ไร้เสียงพูดคุย มีเพียงสายตาที่สื่อสารกัน น่าจะมีการวางแผนล่วงหน้ากันมาไม่น้อย

เสียงกรีดร้องอีกเสียงดังมาจากปีกตะวันออกของคฤหาสน์ ตามมาด้วยเสียงปืนดังกึกก้อง

“ไอ้หมา!” เสียงคำรามของชายคนหนึ่งดังขึ้น “พวกมึงรู้กันอยู่แล้วสินะว่ากูจะมา!”

ชายร่างใหญ่คนนั้นยืนตระหง่านกลางห้องโถง สายตาจับจ้องยามหนุ่มที่ถือปืนสั้นสั่นเทา ใบหน้าของเขาคมเข้ม คิ้วหนาเข้มขมวดเป็นปมเหนือดวงตาดุดันที่เหมือนเสือจ้องเหยื่อ มีแผลเป็นยาวพาดผ่านจากหางตาซ้ายลงมาถึงมุมปาก เสื้อเข้ารูปสีดำเปิดอกให้เห็นรอยสักเสือคำรามที่แผงอก แขนทั้งสองข้างเต็มไปด้วยยันต์โบราณหลากลาย ย่ำเท้าเข้าหายามหนุ่มอย่างช้า ๆ ราวกับเสือกำลังย่างสามขุมก่อนตะปบเหยื่อ

นี่แหละคือ เสือเฮียว ชายที่สร้างความหวาดกลัวให้คนทั้งภูมิภาค

“กะ... กรุณา... อย่าฆ่าผม” ยามหนุ่มพูดเสียงสั่น ปืนในมือถูกยกขึ้นแต่กลับสั่นเทาราวกับต้นไม้เล็กกลางลมพายุ เหงื่อไหลซึมผุดพรายบนใบหน้าซีดเผือด

เสือเฮียวหยุดอยู่ในระยะไม่ถึงสองก้าวจากยามผู้นั้น สายตาเยือกเย็นจับจ้องผู้ที่กำลังจะตาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

“ยิงสิ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “หรือถ้ามึงทิ้งปืน กูจะไว้ชีวิต”

ยามหนุ่มลังเล สายตาไหววูบ เพียงชั่วขณะที่เขาพิจารณาข้อเสนอที่อีกฝ่ายยื่นให้ ปืนในมือลดลงเล็กน้อย

เสือเฮียวพุ่งเข้าใส่ทันที เร็วจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว มือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าปืน บิดข้อมือศัตรูจนกระดูกแตกดังกร๊อบ เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืนที่ลั่นออกไปพลาดเป้า กระสุนพุ่งฝังเข้าเพดานไม้สักเก่าแก่

“กูเกลียดพวกคนรวย” น้ำเสียงของเสือเฮียวยังเรียบเช่นเดิม แม้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ขณะที่มีดในมืออีกข้างพุ่งเข้าแทงทะลุลำคอยามหนุ่ม ดวงตาวเหลือกขึ้นทันที โลหิตไหลทะลักออกจากปากและรอยแผล 

“และพวกคนที่รับใช้ตระกูลระยำนี้”

เขาดึงมีดออกในจังหวะเดียวกับที่ร่างไร้วิญญาณร่วงลงแตะพื้น เลือดสีแดงสดกระเซ็นเป็นวงกว้าง บางหยดติดบนใบหน้าคมเข้มของเสือเฮียว แต่เขาไม่สนใจจะเช็ดมันเพราะที่ผ่านมาความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาเสียแล้ว

“นายเฮียว !” เสียงตะโกนดังมาจากด้านนอก “พวกเราจัดการเรียบร้อยแล้ว ยามตายหมด คนรับใช้ที่ขัดขืนก็จัดการแล้ว ที่เหลือล็อคไว้ในห้องครัว”

เสือเฮียวพยักหน้า “เข้าปล้น ทรัพย์สินที่มีค่า เงิน ทอง พลอย ทั้งหมด แบ่งห้าส่วน สองส่วนเก็บไว้ช่วยหมู่บ้าน ที่เหลือแบ่งกันตามตกลง”

“ครับนาย !” ลูกน้องรับคำพร้อมกัน ก่อนจะแยกย้ายออกไปทั่วคฤหาสน์ เสียงข้าวของถูกโยนและกระแทกดังมาจากทุกทิศ

ดวงตาคมกริบของเสือเฮียวกวาดมองไปรอบห้องโถงที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักราคาแพง ภาพวาดจากต่างประเทศ และโคมระย้าสวยงาม ทุกอย่างแสดงถึงความมั่งคั่งและรสนิยมของเจ้าของบ้าน แต่เขากลับรู้สึกขยะแขยงในความฟุ้งเฟ้อ ความร่ำรวยที่มาพร้อมกับการกดขี่คนยากไร้ 

ความทรงจำในวัยเด็กแวบเข้ามาในห้วงความคิด ภาพครอบครัวที่ถูกทำลาย บ้านที่ถูกเผา เสียงกรีดร้องของผู้เป็นแม่

“ไอ้เคว !” เสือเฮียวตะโกนเรียกลูกน้องที่เพิ่งเข้ามาในห้อง “จุดไฟเผาปีกตะวันตก ให้มันลุกโชนเห็นแต่ไกล ให้รู้ว่าเสือเฮียวมาถึงแล้ว”

“ครับนาย” เคว เด็กหนุ่มร่างผอมที่มีบุคลิกประหม่าแต่ว่องไว รีบรับคำ “แต่มีห้องสมุดอยู่ปีกนั้นด้วยนะครับ หนังสือเยอะ”

“งั้นก็ทำเป็นไม่รู้” เสือเฮียวตอบเสียงเรียบ “กูแค่บอกให้เผาปีกตะวันตก ไม่ได้บอกให้เผาห้องสมุด แต่ถ้าไฟลามไปเองก็ไม่ใช่ความผิดมึง”

“ครับ ครับผม” เคววิ่งออกไปทันที เขารู้ดีว่านายของเขาคือคนที่โหดเหี้ยมที่สุดในย่านนี้ แต่ก็มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ลึก ๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับหนังสือหรือตำรา เพราะเคยเห็นเสือเฮียวแอบอ่านหนังสือยามดึกใต้แสงตะเกียงบ่อยครั้ง

เสือเฮียวย่างสามขุมตรงไปยังบันไดใหญ่ที่ทอดขึ้นสู่ชั้นสอง ขั้นบันไดไม้สักขัดมันวับสะท้อนแสงตะเกียงน้ำมันที่ถูกจุดไว้ตามทาง 

เขาเดินขึ้นไปอย่างไม่รีบร้อน สำรวจทุกซอกทุกมุมด้วยความระแวดระวัง สัญชาตญาณของเสือในตัวบอกเขาว่ายังมีบางสิ่งที่ต้องค้นหาในคฤหาสน์หลังนี้

บริเวณชั้นสองประดับด้วยภาพวาดเก่าแก่และตู้โชว์เครื่องกระเบื้องโบราณ เสือเฮียวเมินเฉยต่อความงดงามเหล่านั้น มุ่งหน้าไปยังประตูบานใหญ่ที่สุดในโถงทางเดิน ซึ่งน่าจะเป็นห้องของเจ้าของบ้าน

ประตูไม้สักแกะสลักบานใหญ่ถูกเปิดออกด้วยการผลักเพียงเบา ๆ ราวกับว่ากำลังต้อนรับผู้มาเยือนภายในห้องกว้างขวางประดับประดาหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบตะวันตกผสมตะวันออก เตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ตู้เสื้อผ้าขนาดยักษ์ครอบครองผนังอีกด้าน และโต๊ะทำงานใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง

เสือเฮียวตรงไปที่โต๊ะทำงาน เริ่มค้นลิ้นชักและเอกสารที่วางระเกะระกะ หวังจะพบเงินสดหรือทรัพย์สินมีค่า 

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขากลับเป็นกล่องไม้แกะสลักขนาดกลางที่วางอยู่มุมโต๊ะ กล่องนั้นทำจากไม้มะเกลือสีดำสนิท แกะสลักลวดลายประณีต และที่ฝากล่องมีสัญลักษณ์หนึ่งที่ทำให้เลือดในกายของเสือเฮียวเดือดพล่าน

ตราสัญลักษณ์รูปราชสีห์คาบดาบ ตราประจำตระกูลอมรพิทักษ์

“ไอ้ตระกูลนรก” เสียงคำรามในลำคอดังขึ้น มือใหญ่ของเสือเฮียวกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ความทรงจำอันเจ็บปวดถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์ ภาพบ้านถูกล้อมด้วยพวกคนของตระกูลนี้ เสียงปืน เสียงกรีดร้อง กลิ่นเหม็นไหม้และคาวเลือด

ตระกูลอมรพิทักษ์ ตระกูลตำรวจใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลของภาคเหนือ ผู้ที่สั่งล้างตระกูลของเขาจนสิ้นซาก เหลือเพียงเขาที่รอดชีวิตออกมาได้เพราะมีผู้อาวุโสลักลอบพาหนี

เสือเฮียวสูดลมหายใจลึก พยายามระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านออกมา 

เขาค่อย ๆ เปิดกล่องไม้อย่างระมัดระวัง ทุกสัมผัสเหมือนกำลังสัมผัสศัตรูที่เกลียดชัง 

ภายในกล่องบรรจุเอกสารหลายแผ่น บางแผ่นเป็นจดหมายส่วนตัว บางแผ่นมีตราประทับของทางการ เขาหยิบขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็ว พลันสายตาสะดุดกับชื่อบนเอกสารฉบับหนึ่ง

‘หลวงอมรพิทักษ์’ ไอ้นี่แหละคนสั่งฆ่าล้างโคตร

เสียงประตูห้องเปิดออกเบา ๆ ดังมาจากด้านหลัง เสือเฮียวชะงัก มือหนึ่งวางเอกสารลง อีกมือหนึ่งคว้ามีดที่เหน็บไว้ที่เอวอย่างว่องไว

“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ !” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น มันราบเรียบเสียจนคนฟังไม่แน่ใจว่าภารกิจที่ทำวันนี้สำเร็จหรือไม่ เหตุใดคนพูดถึงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่กับการมาเยือนของเขา

เสือเฮียวพบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงประตู สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวนวลอย่างเรียบง่าย  ผิวขาวเนียนเหมือนไม่เคยต้องตรากตรำกลางแดด ใบหน้าคมเข้มได้รูป สวมแว่นหนาดูเข้ากันดี ดวงตากลมโตแฝงประกายฉลาด ผมหยักศกสีดำขลับตัดสั้นเรียบร้อย 

ไม่มีอาการหวาดกลัวใดปรากฏบนใบหน้านั้น มีเพียงความประหลาดใจและความระแวดระวังที่เก็บซ่อนไว้ไม่มิด

“มารื้ออะไรที่ห้องของพ่อ ?” ชายหนุ่มถามต่อ สายตากวาดมองไปทั่วห้อง สังเกตเห็นข้าวของที่ถูกรื้อค้น “นี่คุณกำลัง...”

“มึงเป็นใคร ?” เสือเฮียวถามกลับเสียงต่ำ ดวงตาดุดันประเมินร่างของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่พบอาวุธใดบนตัว

“วศิน อมรพิทักษ์” ชายหนุ่มตอบตรงไปตรงมา ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน แม้เมื่อเห็นมีดในมือของเสือเฮียว “และผมคิดว่าคุณคือเจ้าของชื่อเสือเฮียวที่ทุกคนพูดถึง”

เสือเฮียวชะงัก สายตาเจิดจ้าด้วยไฟแห่งความเกลียดชัง “อมรพิทักษ์ ?” เสียงทุ้มเหมือนเสือคำราม “มึงเป็นลูกใคร ?”

“ผมเป็นลูกชายคนเล็กของหลวงอมรพิทักษ์ บรรดาศักดิ์ที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้พ่อผม” วศินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แสดงความหยิ่งยโสในตระกูลของตน ไม่มีอาการอ่อนน้อมหรือหวาดกลัวเสือเฮียวแม้แต่น้อย

 “หลวงอมรพิทักษ์รึ ชื่อที่กูเก็บไว้ฆ่าให้ตายอย่างทรมานที่สุด” มุมปากของเสือเฮียวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน

“เพราะอะไร ?” วศินถามอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีท่าทีของการเตรียมหนีหรือโต้แย้ง เพียงแต่ขมวดคิ้วน้อย ๆ ด้วยความสงสัยอย่างจริงใจ

เสือเฮียวก้าวเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว มีดในมือพุ่งไปจ่อที่ลำคอเรียวระหงของวศิน กดเบา ๆ จนมีเลือดซึมออกมาเป็นหยดเล็ก ๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะดุ้งหรือถอยหนี แม้แต่ดวงตายังไม่กะพริบ จ้องตรงมาที่ตาของเสือเฮียวอย่างไม่หวั่นเกรง

“มึงไม่กลัวความตายรึไง ?” เสือเฮียวถามเสียงต่ำ รู้สึกสับสนกับปฏิกิริยาของชายหนุ่ม

“ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” วศินตอบนิ่ง ๆ “ผมเป็นหมอ เห็นมันทุกวัน ถ้าคุณจะฆ่าผม ผมก็ห้ามไม่ได้ แต่ผมอยากรู้เหตุผล”

“หมอ?” เสือเฮียวขมวดคิ้ว “ลูกหลวงอมรพิทักษ์ไม่สืบทอดตำแหน่งตำรวจรึไง ?”

“ผมเลือกเส้นทางของตัวเอง ไม่ใช่ของตระกูล” วศินตอบเรียบ ๆ สายตาไม่หลบเลี่ยง “พี่ชายผมต่างหากที่สืบทอดตำแหน่ง”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากัน เสียงไฟลุกโชนและเสียงตะโกนของคนดังมาจากอีกฟากของคฤหาสน์ พร้อมกับแสงสีส้มของเปลวเพลิงที่ปรากฏให้เห็นผ่านหน้าต่าง

“นายเฮียว !” เสียงเคว ลูกน้องหนุ่มดังมาจากเบื้องล่าง “เราต้องไปแล้ว ! ชาวบ้านเริ่มแตกตื่น อีกไม่นานตำรวจต้องมาแน่ !”

เสือเฮียวยังคงจ้องมองใบหน้าของวศินอย่างครุ่นคิด เขายังคงกดมีดไว้ที่ลำคอของชายหนุ่ม และในชั่วขณะนั้น ทุกคนรวมทั้งวศินคงคิดว่าเสือเฮียวจะกรีดคอสังหารเขาทิ้งเหมือนที่ทำกับคนอื่น ๆ

แต่เสือเฮียวกลับดึงมีดออก แล้วยันโครมเข้าที่ท้องของหมอหนุ่มอย่างจัง ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งโอนเอนจนเกือบล้ม แต่เสือเฮียวรวบแขนของวศินไว้แน่น ก่อนจะหันไปตะโกน

“ซ้ง ! มาที่ห้องใหญ่ชั้นสอง เดี๋ยวนี้ !”

ไม่นานนัก ซ้งก็ปรากฏตัวที่ประตู สังเกตเห็นวศินที่กำลังพยายามยืนตรงแม้จะมีอาการเจ็บปวดที่ท้อง

“จับตัวไอ้นี่ไปด้วย” เสือเฮียวออกคำสั่ง “มันคือลูกชายคนเล็กของหลวงอมรพิทักษ์”

ซ้งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจก่อนจะยิ้มร้าย “โชคดีจริง ๆ วันนี้” เขาพึมพำพลางเดินเข้ามามัดมือวศินด้วยเชือกที่เตรียมไว้เมื่อไหร่ไม่รู้

“จะเอาตัวผมไปทำไม ?” วศินถามเสียงแข็ง ดูเหมือนแทบไม่มีความหวาดกลัวแม้จะถูกมัดมือจนแน่น เลือดจากรอยแผลเล็ก ๆ ที่คอยังคงซึมออกมาบาง ๆ หยดลงบนปกเสื้อขาวสะอาด เปรอะเป็นดวงแดง 

“คุณต้องการค่าไถ่ ? หรือแค่ต้องการแก้แค้น ?”

“...”

เสือเฮียวไม่ตอบ ดวงตาดุดันมองตรงไปที่สัญลักษณ์ตระกูลอมรพิทักษ์บนกล่องไม้อีกครั้ง ก่อนจะหยิบเอกสารที่อยู่ในกล่องยัดใส่อกเสื้อ หากแต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้า บางสิ่งที่แปลกประหลาด  การที่อีกฝ่ายไม่หวาดกลัวที่ดูเหมือนไม่ใช่ความกล้าเท่านั้น แต่เป็นการยอมรับโชคชะตาแต่โดยดี

“มึงไม่จำเป็นต้องรู้” เสือเฮียวคำรามในลำคอ “แต่ถือว่ามึงโชคดีที่ยังไม่ตาย”

“ผมไม่แน่ใจว่าเป็นโชคดีหรือเปล่า” วศินตอบเรียบ ๆ ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อเชือกบาดเข้าที่ข้อมือ “แต่ผมเชื่อว่าพวกคุณต้องมีเหตุผลอื่นอีก นอกจากแค่ความแค้น”

“หลักการเยอะเหลือเกินนะมึง !” ซ้งสบถพลางกระชากเชือกแรงขึ้น ทำให้วศินเซไปข้างหน้าเล็กน้อยแต่ยังทรงตัวได้ “เดี๋ยวมึงจะรู้ว่านายกูโหดยังไง”

แสงสีส้มจากเปลวเพลิงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างมากขึ้น ความร้อนจากไฟที่ลุกลามเริ่มแผ่มาถึงห้องนี้ เสียงตะโกนโหวกเหวกและเสียงฉีดน้ำดับไฟดังมาจากด้านนอก นั่นแปลว่ามีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาแล้ว แต่ตำรวจอาจจะยังมาไม่ถึง

“ต้องรีบแล้ว !” เคววิ่งขึ้นมาบนห้อง หอบหายใจเฮือกใหญ่ เหงื่อไหลโซมใบหน้า “ตำรวจกำลังมา ทางตะวันตกไฟลุกหนักมาก ทางออกเหลือแค่ทางเดียว !”

เสือเฮียวพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินนำออกจากห้อง ดวงตายังคงจับจ้องวศินเป็นพัก ๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าเหยื่อที่จับได้คราวนี้ จะมีค่ามากกว่าความตายหรือไม่

“รีบเอาตัวมันไป และจำไว้นะ ถ้าใครทำให้มันหนีไปได้ กูคงต้องให้ตายแทนมัน”

ซ้งและเควรับคำสั่ง ลากวศินลงบันไดอย่างรุนแรง ร่างของวศินถูกกระแทกกับราวบันไดไม้เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีเสียงร้องหรือคำขอร้องใด ๆ ดังออกมาจากปากของเขา มีเพียงดวงตาที่กวาดมองไปรอบคฤหาสน์ราวกับต้องการจดจำทุกรายละเอียดของสถานที่ที่เขาเคยอยู่ ซึ่งต่อไปนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปอยู่ที่ไหน เป็นหรือตาย

ด้านล่าง ลูกน้องคนอื่น ๆ ของเสือเฮียวกำลังขนสมบัติที่ปล้นได้ใส่ถุงผ้าและกระสอบ ทั้งเครื่องเงิน เครื่องทอง อัญมณี และเงินตรา บางส่วนแบกไปไว้บนหลังม้าที่เตรียมไว้ด้านนอก

“ทางนี้!” ลูกน้องอีกคนชี้ไปยังประตูหลัง ซึ่งยังปลอดจากเปลวไฟและควัน “ไฟกำลังลุกลามมาจากฝั่งตะวันตก อีกไม่นานทั้งคฤหาสน์นี้คงจะเป็นเถ้าถ่าน!”

กลุ่มโจรทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เสือเฮียวนำขบวน สายตาของเขาคมกริบระแวดระวัง สอดส่องทุกจุดที่อาจมีศัตรูซ่อนอยู่ ทุกคนเร่งฝีเท้าตรงไปยังทางออกหลัง แต่ทันใดนั้น

“ระวัง!” เสียงตะโกนดังขึ้นจากซ้ง ก่อนที่แรงระเบิดจะดังสนั่นจากส่วนหนึ่งของคฤหาสน์ที่ไฟกำลังลุกท่วม โคมระย้าใหญ่หล่นลงมาจากเพดาน แตกกระทบกับพื้นกระจายเป็นเสี่ยง ๆ

วศินถูกผลักให้หลบเข้ามุมห้องโดยเคว เศษกระจกบาดแขนของเขาเป็นแผลยาว เลือดไหลซิบ ๆ ผสมกับเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วทั้งตัว ควันไฟเริ่มลอยเข้ามาในห้องโถง ทำให้หายใจลำบาก

“เร็วเข้า !” เสือเฮียวคำรามสั่ง เดินผ่านกองเพลิงที่กำลังลุกลามมาจากปีกตะวันตกราวกับมันเป็นเพียงลมเย็น ๆ “ไฟกำลังลามมา ถ้าอยากตายก็อยู่ต่อ!”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ