ในจังหวะนั้น วศินยกตัวขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากสัมผัสกับริมฝีปากของเสือเฮียวอย่างแผ่วเบา จูบนั้นไม่มีความต้องการ ไม่มีความปรารถนา มีเพียงความเข้าใจและการปลอบประโลม
สัมผัสนั้นนุ่มนวลเกินกว่าที่เสือเฮียวเคยได้รับมานานหลายปี เขาแทบไม่จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มีใครสัมผัสเขาด้วยความอ่อนโยนคือเมื่อไร สัมผัสที่ไม่ใช่เพื่อการต่อสู้ ไม่ใช่เพื่อความปรารถนาแบบชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจ
เสือเฮียวแข็งค้างไปชั่วขณะ จูบแผ่วเบาทำให้เขาลืมความโกรธเกรี้ยว ลืมความเจ็บปวด ลืมแม้กระทั่งว่าคนตรงหน้าเป็นศัตรู
“มึงทำอะไรของมึง...” เสือเฮียวพึมพำ แต่ไม่ได้ถอยห่าง ไม่ได้ผลักไส
“กำลังแสดงให้คุณเห็นว่า ความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ” วศินตอบเบา ๆ “และทางเลือกมีมากกว่าแค่ความเกลียดชัง”
เสือเฮียวมองตาวศินในความมืดสลัว สายตาของวศินฉายแววมั่นใจและจริงใจ เป็นครั้งแรกที่มีคนมองเขาแบบนั้น ไม่ใช่มองด้วยความเกรงกลัว ไม่ใช่มองด้วยความหลงใหล แต่มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
มือหนาของเสือเฮียวเคลื่อนมาที่แก้มของวศิน ผิวสัมผัสเนียนนุ่มภายใต้ฝ่ามือหยาบกร้าน เขาโน้มใบหน้าลงอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือความเกลียดชัง แต่เป็นความอ่อนโยนที่แม้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ายังมีอยู่
ริมฝีปากแนบชิดอีกครั้ง ครั้งนี้แนบแน่นกว่าเดิม เสือเฮียวสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของวศิน ลิ้มรสความหวานที่ผสานกับความขมของยาสมุนไพร ทุกสัมผัสเร่าร้อนราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นในใจ
วศินตอบสนองอย่างช้า ๆ แต่แน่วแน่ มือเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของเสือเฮียว รูปจูบที่เริ่มต้นอย่างอ่อนโยนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในห้วงลึกของจิตใจทั้งสอง
“อื้อ...” เสียงครางแผ่วหลุดจากลำคอของเสือเฮียว เสียงที่แม้แต่เขาเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นเสียงที่ไม่ใช่เสียงของเสือร้าย แต่เป็นเสียงของคนที่โหยหาความอบอุ่น
มือของวศินไล้ลงตามแผงอกแข็งแกร่งที่มีรอยสักรูปเสือคำรามปกคลุม เขารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงในอกนั้น ความร้อนจากร่างกายของเสือเฮียวแผ่ซ่านราวกับเปลวไฟ
“มึงรู้ไหมว่ากำลังทำอะไร ?” เสือเฮียวกระซิบถาม ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของวศิน “มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?”
“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่มีบาดแผลลึก” วศินตอบอย่างนุ่มนวล มือลูบไล้ไปตามแผลเป็นบนใบหน้าของเสือเฮียว “และบางครั้ง สิ่งที่คนต้องการไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการเยียวยา”
คำพูดนั้นทำให้บางส่วนในใจเสือเฮียวสั่นไหว เขาไม่เคยเปิดใจให้ใคร ไม่เคยยอมอ่อนแอให้ใครเห็น แต่คืนนี้ ภายใต้แสงจันทร์เสี้ยวและอิทธิพลของเหล้าพื้นบ้าน ความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจกลับทวงสิทธิ์
เสือเฮียวกดจูบลงบนลำคอของวศินอย่างหนักหน่วง ปลดปล่อยความเร่าร้อนที่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง เสียงหอบหายใจของวศินกระตุ้นความต้องการ
มือหยาบกร้านไล้ลงตามผิวเนียนที่ถูกเปลือยเปล่าจากการกระชากเสื้อก่อนหน้านี้
วศินโอบร่างใหญ่โตไว้ด้วยแขนเรียวแต่แฝงด้วยพลังที่ไม่คาดคิด ร่างของเขาแนบชิดกับร่างของเสือเฮียว กลิ่นกายของคนทั้งสองผสานเป็นหนึ่ง
“คืนนี้... ปล่อยให้ผมเป็นคนดูแลคุณบ้าง” วศินกระซิบข้างใบหูของเสือเฮียว
คำพูดและน้ำเสียงนั้นสั่นสะเทือนบางสิ่งในตัวเสือเฮียว เขาที่เคยเป็นผู้นำ เคยเป็นผู้ควบคุมเสมอมา กลับรู้สึกอยากปล่อยวางทุกอย่างคืนนี้ อยากให้มีใครสักคนเข้าใจ มีใครสักคนดูแล
วศินพลิกร่างใหญ่โตนั้นลงบนเสื่อเก่าขาด เปลี่ยนตำแหน่งให้ตัวเองอยู่เหนือกว่า เส้นผมดำสนิทปรกลงมาบดบังใบหน้า แต่ไม่อาจซ่อนแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความเข้าใจ
เสือเฮียวไม่เคยอยู่ในตำแหน่งนี้มาก่อน ไม่เคยยอมให้ใครอยู่เหนือเขา แต่ด้วยแรงดึงดูดบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ทำให้เขายอมปล่อยให้วศินนำพาความสัมพันธ์ครั้งนี้
วศินโน้มตัวลงจูบที่แผงอกแข็งแกร่ง ไล้ไปตามรอยสักและรอยแผลเป็นเก่า เหมือนกำลังเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชีวิตอีกฝ่ายผ่านผิวสัมผัส ทุกรอยสักล้วนมีเรื่องราว ทุกแผลเป็นล้วนมีความเจ็บปวด
เปลือกนอกที่แข็งกร้านของเสือเฮียวค่อย ๆ ถูกปอกออกทีละชั้น จากสัตว์ร้ายกลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่โหยหาความเข้าใจ จากศัตรูกลายเป็นคนที่มีบาดแผลเหมือนกัน
เสือเฮียวหลับตาลง ปล่อยให้ความรู้สึกพาเขาล่องลอยไปในห้วงแห่งความสุข เสียงครางต่ำในลำคอหลุดออกมาเป็นระยะ สะท้อนความพึงพอใจที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูด
“อ๊ะ...” เสียงครางเบา ๆ ของเสือเฮียวดังขึ้นเมื่อวศินค่อย ๆ ปลดเปลื้องกางเกงหนังที่รัดรูป มือเรียวสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของร่างกาย “มึง... มึงทำบ้าอะไร?”
“ทำในสิ่งที่เราทั้งคู่ต้องการ” วศินตอบเสียงแผ่ว ดวงตาเป็นประกายในความมืด “คุณอาจเป็นเสือฮือในป่า แต่คืนนี้ ในกระท่อมนี้ คุณเป็นของผม”
คำพูดนั้นเหมือนคาถาที่ปลดปล่อยสัตว์ร้ายในตัวเสือเฮียว ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่หิวกระหายการฆ่า แต่หิวกระหายความอบอุ่น ความผูกพัน สิ่งที่เขาไม่เคยได้รับมานาน
ท่อนแข็งขืนตอนนี้ถูกมือนุ่มของวศินกำลังรูดขึ้นลงเป็นจังหวะ ไม่ได้เร็ว แต่ขึ้นสุดลงสุด ทำให้เจ้าของท่อนแข็งนั้นหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่าน
ร่างทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ผิวเนื้อแนบชิด เสียงครางประสานกับเสียงลมพัดผ่านใบไม้นอกกระท่อม วศินนำพาจังหวะความสัมพันธ์อย่างนุ่มนวลแต่แน่วแน่ ควบคุมทุกการเคลื่อนไหวด้วยความต้องการที่จะเยียวยาบาดแผลในใจของอีกฝ่าย
“อ๊า...” เสือเฮียวครางเสียงสั่น มือจิกเข้าที่เสื่อจนเส้นใยขาดกระจาย “วศิน... ไอ้วศิน...”
เป็นครั้งแรกที่เสือเฮียวเรียกชื่อของวศิน ไม่ใช่ ‘มึง’ ไม่ใช่ ‘ไอ้หมอ’ ไม่ใช่ ‘ไอ้เชลย’ แต่เป็นชื่อที่แท้จริง เสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ายังมีอยู่
“ซี้ด...” วศินสูดลมหายใจเฮือกเมื่อความรู้สึกพุ่งขึ้นสูง เขาโน้มตัวลงจูบที่ริมฝีปากของเสือเฮียว จูบที่เต็มไปด้วยความหมาย ไม่ใช่แค่ความปรารถนาทางกาย แต่เป็นการเชื่อมโยงของจิตวิญญาณที่ต่างมีบาดแผล
มือของคนคุมเกมยังคงขยับต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่มืออีกข้างก็ขยับของตนเองที่ตอนนี้อารมณ์ก็พุ่งสูงขึ้นเกินควบคุมเช่นกัน
ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างเร่าร้อน แต่แฝงด้วยความอ่อนโยนที่ไม่คาดคิด ร่างกายของเสือเฮียวแข็งแรงและทรงพลัง แต่คืนนี้กลับอ่อนระโหยโรยแรงภายใต้สัมผัสของวศิน ยอมจำนนกับความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“วศิน... อ่า... วศิน!” เสือเฮียวครางเรียกชื่อนั้นซ้ำๆ เสียงหอบหายใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ มือหนาจับเอื้อมไปจับท่อนแข็งของวศินบ้างและทำให้คนที่อยู่ข้างบนเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำให้เขา
ความร้อนภายในร่างกายพุ่งขึ้นสูงจนรู้สึกว่าอาจระเบิดออกมา
วศินโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหูของเสือเฮียว “ปล่อยมันออกมา... ปล่อยความเจ็บปวดทั้งหมดออกมา...”
ประโยคนั้นเหมือนเปิดประตูที่ถูกปิดล็อกมานาน เสือเฮียวรู้สึกว่าบางสิ่งในตัวเขากำลังแตกสลาย กำแพงที่เขาสร้างขึ้นมานานกว่าสิบห้าปีถูกทลายลงในชั่วพริบตา น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตา เป็นน้ำตาแรกนับตั้งแต่วันที่เขาสาบานว่าจะไม่ร้องไห้อีก
“อ๊า... วศิน !” เสือเฮียวเปล่งเสียงร้องที่ผสมผสานระหว่างความสุขสุดยอดกับความโศกเศร้าที่ถูกปลดปล่อย ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยคลื่นความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา
วศินตามมาไม่นานหลังจากนั้น ร่างของเขาโค้งงอด้วยความปีติสุข เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนจะทิ้งตัวลงข้าง ๆ ร่างของเสือเฮียว
ความเงียบปกคลุมกระท่อมอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจที่ค่อยๆ กลับเข้าสู่จังหวะปกติ แสงจันทร์ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่าง ทอดตัวเป็นแนวยาวบนร่างที่อิงแอบกัน
เสือเฮียวจ้องมองเพดานกระท่อมด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ใช่ความพึงพอใจแบบชั่วครั้งชั่วคราวที่เขาเคยได้รับจากหญิงสาวในหมู่บ้าน แต่เป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจ ความรู้สึกที่เขาเกือบลืมไปแล้วว่ามันเป็นอย่างไร
“มึงทำให้กูสับสน...” เสือเฮียวเอ่ยเสียงแผ่ว นัยน์ตายังคงจับจ้องเพดานไม่กล้าหันไปมองใบหน้าของวศิน “มึงทำลายทุกอย่างที่กูเชื่อมา”
วศินไม่ตอบ เขาเพียงเอื้อมมือมาวางบนอกของเสือเฮียว ตรงตำแหน่งที่หัวใจเต้นอยู่ ความอบอุ่นจากฝ่ามือแผ่ซ่านเข้าสู่ผิวกาย
“การเกลียดชังมันง่าย” วศินพูดในที่สุด “แต่การเข้าใจต่างหากที่ยาก ผมต้องการช่วยคุณหาความจริง ไม่ว่ามันจะทำร้ายใครก็ตาม”
เสือเฮียวหันมามองใบหน้าของวศินที่ชิดอยู่แค่คืบ เขาเห็นความจริงใจในดวงตาคู่นั้น
“มึงไม่กลัวกูหรือไง?” เสือเฮียวถาม “กูคือเสือร้ายที่ชาวบ้านพากันหวาดกลัว”
วศินยิ้มบาง “ผมเป็นหมอ ผมเห็นมาหมดแล้ว ทั้งคนดีที่กลัวตาย คนร้ายที่กล้าตาย คนที่ภายนอกแข็งแกร่งแต่ภายในกลับอ่อนแอ... แต่คุณไม่ใช่ทั้งหมดนั้น คุณเป็นคนที่ชีวิตบีบให้ต้องเป็นเสือร้าย ไม่ใช่คนที่เป็นเสือร้ายตั้งแต่เกิด”
คำพูดนั้นทำให้เสือเฮียวเงียบลง สัจธรรมง่าย ๆ ที่ไม่มีใครเคยบอกเขา หรือบางทีอาจมีคนเคยบอก แต่เขาไม่เคยยอมฟัง
“มึงอาจถูก...” เสือเฮียวยอมรับในที่สุด “แต่ตระกูลของมึงยังเป็นศัตรูของกู”
“และผมก็จะไม่ปฏิเสธว่าพ่อหรือลุงของผมอาจทำเรื่องชั่วแบบนั้น” วศินตอบ “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนในตระกูลจะต้องเป็นคนเลวร้ายเหมือนกัน เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ทุกคนในคุ้มโจรของคุณจะต้องเป็นคนดีเหมือนกัน”
เสือเฮียวจ้องมองวศินครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ไอ้เวร มึงพูดเหมือนพวกขุนนางจริง ๆ แต่กูชักชอบแล้วสิ”
“ถ้างั้นเราควรนอนพักบ้าง พรุ่งนี้เช้าคงมีคนสงสัยว่าทำไมนายเสือถึงหายไปทั้งคืน” วศินยิ้ม
“ไม่มีใครกล้าถามกู” เสือเฮียวตอบ แต่ก็พลิกตัวเข้าหาวศิน โอบร่างบางไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง “แต่กูจะอยู่แค่สักพัก ก่อนรุ่งสาง กูต้องกลับ”
“ผมรู้” วศินตอบ พลางซุกใบหน้าลงกับอกกว้างของเสือเฮียว
ในห้วงความเงียบนั้น เสือเฮียวรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยสัมผัสมานาน เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้จะพาเขาไปทางไหน ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับศัตรูที่กลายมาเป็นคนในอ้อมกอด แต่อย่างน้อย คืนนี้ เขาจะยอมปล่อยให้ตัวเองมีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ก่อนที่แสงอรุณจะมาพร้อมกับหน้ากากเสือร้ายที่เขาต้องสวมใส่อีกครั้ง
แสงอรุณแรกทอประกายอ่อน ๆ ลอดผ่านช่องกระท่อมเล็ก ความอบอุ่นจากแสงแดดค่อย ๆ ไล่ความเย็นยะเยือกของยามค่ำคืนออกไป เสือเฮียวลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความมึนงงยังคงค้างอยู่ในศีรษะจากฤทธิ์สุราเมื่อคืน เขาใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และอยู่กับใคร
ร่างของวศินนอนหลับสนิทอยู่ข้าง ๆ เรือนผมดำสนิทกระจายบนเสื่อเก่าขาด ใบหน้าสงบนิ่งดูละมุนละไมภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
เสือเฮียวมองใบหน้านั้นอย่างพินิจ ภาพความทรงจำเมื่อคืนทยอยหวนกลับมาในความคิด ภาพของร่างกายที่เกี่ยวพันกัน เสียงครางที่ดังก้องในกระท่อมเล็ก ความรู้สึกที่เขาไม่เคยปล่อยให้ตัวเองสัมผัสมานาน
“บ้าชิบ” เสือเฮียวสบถเบา ๆ พยายามขยับตัวออกห่างจากวศินโดยไม่ปลุกให้ตื่น เมื่อเขายกตัวขึ้น สายตาไปสะดุดเข้ากับคราบของเหลวสีขาวขุ่นที่เลอะเปื้อนตามเสื่อและหว่างขาของทั้งคู่
ใบหน้าแกร่งที่เคยดุดันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เขารู้สึกถึงความอับอายที่ไม่เคยประสบมาก่อน แม้จะผ่านโลกมามาก แต่เขาไม่เคยลืมตัวให้เสียการควบคุมขนาดนี้ ไม่เคยยอมจำนนให้ใครมาก่อน โดยเฉพาะกับศัตรูตัวฉกาจอย่างทายาทตระกูลอมรพิทักษ์
เขารีบลุกขึ้นยืน พยายามจัดแจงเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายให้เข้าที่ ความขัดแย้งในใจตีกันวุ่นวาย ส่วนหนึ่งต้องการหลบหนีออกไปจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด แต่อีกส่วนกลับอยากนอนต่อ อยากสัมผัสความอบอุ่นที่ไม่ได้รับมานานอีกสักนิด
“บ้าเอ๊ย !” เสือเฮียวสบถเสียงดังขึ้น ตบหน้าตัวเองเบาๆ ราวกับต้องการปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้าย “มึงคิดอะไรของมึงวะ ไอ้เสือเฮียว !”
เสียงนั้นทำให้วศินขยับตัว แต่ยังไม่ตื่นเต็มที่ เขาเพียงพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้แสงแดดที่ส่องเข้ามา
เสือเฮียวมองร่างสูงนั้นอีกครั้ง สังเกตเห็นรอยแดงตามลำคอและแผ่นหลัง รอยที่เขาเป็นคนทำไว้เมื่อคืน รอยนั้นเหมือนการประทับตราของสัตว์ร้าย แต่กลับทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างในอกที่เขาไม่อาจอธิบายได้
เขาสะบัดศีรษะแรง ๆ ขับไล่ความคิดนั้นออกไป สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากกระท่อมพร้อมกับปิดประตูเบา ๆ ด้วยความระมัดระวังที่เขาไม่เคยมีให้ใครมาก่อน
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?