ตอนที่ 6 แผลของเฮียว

คืนนั้นเฮียวนอนไม่ค่อยหลับ เสียงฝนกระหน่ำหลังคาและเสียงฟ้าร้องทำให้เขาผวาตื่นเป็นระยะ แต่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นในคืนนี้

เสียงเกือกม้าและเสียงตะโกนปลุกเฮียวให้ตื่นจากการหลับใหล ฝนยังคงตกหนัก ผสมกับเสียงฟ้าร้องที่ดังครืนเป็นระยะ แต่เสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากและเสียงตะโกนของผู้มาเยือนแทรกผ่านเข้ามา

“ล้อมบ้านไว้! อย่าให้ใครหนีรอด!” เสียงตะโกนของชายคนหนึ่งดังลั่น

“นายมิ่ง อินทวงศ์ ออกมาเดี๋ยวนี้! ท่านถูกกล่าวหาว่ากบฏต่อราชสำนัก !” เสียงอีกคนตะโกน

เฮียวลุกพรวดขึ้นจากที่นอน วิ่งไปที่หน้าต่าง มองผ่านช่องไม้เห็นคบไฟจำนวนมากส่องสว่างท่ามกลางสายฝน บางคนถืออาวุธครบมือราวกับกำลังจะทำสงคราม บางคนสวมเครื่องแบบตำรวจ บางคนสวมชุดทหาร

“เฮียว !” เสียงของแม่ดังมาพร้อมกับร่างที่วิ่งเข้ามาในห้อง ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ “ลูกต้องหนีไป ! ตามแม่มาเร็ว !”

“เกิดอะไรขึ้นครับแม่ ?” เฮียวถามด้วยความสับสน พยายามสะกดความหวาดกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้น

“ตามมาก่อน” แม่คว้าแขนเขา ลากไปยังห้องโถงใหญ่ ที่นั่นพ่อกำลังยืนคุยกับพี่ชายและพี่สาวอย่างเร่งรีบ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด

“ที่รักเอาลูก ๆ หนีไปทางอุโมงค์ใต้ถุนบ้าน” พ่อสั่งแม่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันจะอยู่รับสถานการณ์ที่นี่”

“ฉันจะไม่ทิ้งพี่ไป !” แม่คัดค้าน น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม “เราเป็นครอบครัว เราต้องแก้ปัญหาด้วยกัน”

เสียงทุบประตูดังสนั่น ตามด้วยเสียงตะโกนขู่ “เปิดประตู! หรือจะให้เจ้าหน้าที่พังเข้าไป !”

“ไม่มีเวลาแล้ว” พ่อหันมาที่เฮียว ย่อตัวลงจับบ่าลูกชายคนเล็ก แล้วมองตาลูกคนเล็ก “ลูก ฟังพ่อให้ดี ที่ใต้ถุนบ้านมีช่องลับใต้พื้นกระดาน ไปซ่อนที่นั่น ไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ตาม อย่าออกมาจนกว่าทุกอย่างจะเงียบ เข้าใจไหม ?”

เฮียวพยักหน้าช้า ๆ เขาทั้งสับสนและกลัว แต่ก็จะทำตามที่พ่อบอก “พ่อจะไปกับพวกเราด้วยใช่ไหม?”

พ่อไม่ตอบ เพียงกอดเขาแน่น ก่อนจะผลักให้ไปกับแม่ “รีบไปเถอะ ไม่มีเวลาแล้ว”

แม่ลากเฮียวไปที่ประตูหลัง แต่ก่อนที่พวกเขาจะถึง เสียงประตูหน้าถูกพังดังสนั่น ตามด้วยเสียงฝีเท้าหลายคู่ที่วิ่งเข้ามาในบ้าน

“หลบหลังบ้าน!” พ่อตะโกนสั่ง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมบุกเข้าบ้านฉัน?”

“นายมิ่ง อินทวงศ์” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงที่เย็นชาและเปี่ยมอำนาจ “ท่านถูกกล่าวหาว่ากบฏ ใช้อำนาจขัดคำสั่งทางการ และปลุกปั่นให้ชาวบ้านต่อต้านการเก็บภาษี”

“ฉันไม่เคยทำแบบนั้น นั่นมันเรื่องโกหก ฉันเพียงแต่ปกป้องชาวนาจากการเอารัดเอาเปรียบ!”

แม่ลากเฮียววิ่งไปทางประตูหลัง ท่ามกลางเสียงตะโกนและเสียงปืนที่เริ่มดังขึ้น เสียงกรีดร้องของพี่สาวดังแว่วมาจากห้องโถง ทำให้เฮียวพยายามหันกลับไปมอง แต่แม่ดึงเขาไว้แน่น ไม่ให้หันไปดู

“เร็วเข้า ลูก” แม่กระซิบเสียงสั่น “เราต้องไปให้ถึงใต้ถุนบ้าน”

พวกเขาวิ่งฝ่าความมืดและสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย มุ่งไปยังใต้ถุนบ้านที่มีฟางและเครื่องมือทำนาวางเรียงรายอยู่ แม่รีบดันเฮียวเข้าไปใต้พื้นไม้กระดานที่มีช่องลับเล็กๆ แทบมองไม่เห็นในความมืด

“เข้าไปซ่อน อย่าส่งเสียง” แม่สั่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวเช่นกัน แต่พยายามสะกดเอาไว้ ไม่ให้ลูกรู้ “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ในนี้จนกว่าทุกอย่างจะสงบ เข้าใจไหม ?”

เฮียวพยักหน้า น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม “แม่จะไปไหนครับ ?”

“แม่ต้องกลับไปช่วยพ่อและพี่ ๆ ของเอ็ง เอ็งเป็นความหวังของตระกูลเรา ลูกรัก จำไว้... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เอ็งต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” แม่ตอบพร้อมรอยยิ้มที่ฝืนออกมา

ก่อนที่เฮียวจะทันได้ตอบอะไร แม่ก็ปิดฝาช่องลับลง ทิ้งให้เขาอยู่ในความมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวที่ลอดผ่านรอยแตกของพื้นไม้กระดานลงมาเป็นริ้ว ๆ เฮียวนั่งกอดเข่า พยายามไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมา ตามคำสั่งของแม่ ความกลัวและความสับสนทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก

ผ่านไปไม่นาน เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังมาจากด้านบน ตามด้วยเสียงตะโกนและเสียงของข้าวของที่ถูกโยนและทำลาย

“ค้นให้ทั่ว! หาตัวเด็กให้เจอ!” เสียงตะโกนของชายคนหนึ่งดังลั่น “จับให้ได้ทั้งครอบครัว ไม่ให้เหลือใครรอด!”

เฮียวนั่งนิ่งไม่กล้าหายใจแรง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ต้องกลั้นไว้ในลำคอ ความหวาดกลัวผสมปนเปกับความกังวลถึงพ่อแม่และพี่ ๆ 

เขาได้ยินเสียงคนเดินวนเวียนอยู่ใต้ถุนบ้าน มีคนเตะฟางและอุปกรณ์เกษตรที่กองอยู่ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สังเกตเห็นช่องลับที่เขาซ่อนตัวอยู่

“ไม่มีใครอยู่ที่นี่ !” เสียงรายงาน “เด็กคงหนีออกไปแล้ว”

“ค้นต่อไป !” อีกเสียงตะโกนสั่ง “มันไม่มีทางหนีไปได้ไกล!”

ฝนยังคงตกไม่หยุด เสียงฟ้าร้องดังสนั่น บดบังเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของเด็กชาย ความมืดในช่องซ่อนทำให้เขาแทบมองไม่เห็นอะไร มีเพียงแสงสลัวจากคบไฟด้านนอกที่ลอดผ่านรอยแตกของไม้กระดานลงมาเป็นริ้ว ๆ 

เฮียวไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง หรืออาจจะทั้งคืน เขาได้ยินเสียงตะโกน เสียงปืน และเสียงกรีดร้องดังมาเป็นระยะ แต่ไม่กล้าโผล่ออกไปดู ภาพของใบหน้าแม่ที่สั่งให้เขาซ่อนตัวยังคงชัดเจนในความทรงจำ

จู่ ๆ เสียงทั้งหมดก็เงียบลง มีเพียงเสียงฝนที่ยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย เฮียวกลั้นหายใจ ฟังอย่างตั้งใจ ได้ยินเพียงเสียงน้ำฝนที่หยดลงจากชายคาและเสียงลมที่พัดผ่าน

“เอาตัวพวกมันมารวมกันที่ลานบ้าน” เสียงคำสั่งดังขึ้นอีกครั้ง “อยากให้ทุกคนเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนที่กบฏต่อราชสำนัก”

ด้วยความอยากรู้และความเป็นห่วงครอบครัว เฮียวค่อยๆ คลานไปตามอุโมงค์แคบ ๆ ใต้พื้นบ้าน จนมาถึงจุดที่สามารถมองเห็นลานบ้านได้ผ่านช่องว่างระหว่างกระดานไม้ ภาพที่เขาเห็นทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น

พ่อ แม่ พี่ชาย และพี่สาว ถูกมัดมือไพล่หลังคุกเข่าอยู่กลางลานบ้าน ล้อมรอบด้วยคนถืออาวุธในชุดตำรวจและทหาร ทุกคนเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน ใบหน้ามีรอยฟกช้ำและเลือด โดยเฉพาะพ่อที่มีบาดแผลมากที่สุด แต่ยังคงตัวตรงอย่างสมศักดิ์ศรี

ชายร่างสูงในชุดตำรวจยศสูงเดินวนรอบครอบครัวอินท วงศ์ ในมือถือกระดาษม้วนหนึ่ง ที่เขาแกล้งทำเป็นอ่านอย่างจริงจัง

“นายมิ่ง อินทวงศ์ ท่านถูกกล่าวหาว่ากบฏต่อราชสำนัก ขัดขวางการเก็บภาษี และปลุกปั่นชาวบ้านให้ต่อต้านอำนาจรัฐ” ชายผู้นั้นประกาศ เสียงดังพอให้ทุกคนได้ยิน “โทษฐานนี้คือความตาย และการริบทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของหลวง”

“มันไม่ใช่เรื่องจริง หลวงอมรพิทักษ์ ฉันไม่เคยคิดกบฏ ฉันเพียงปกป้องชาวบ้านจากการถูกเอาเปรียบ!” พ่อของเฮียวตอบเสียงดัง แม้จะมีเลือดไหลจากมุมปาก

“นั่นแหละเรียกว่ากบฏ !” ชายที่ถูกเรียกว่าหลวงอมรพิทักษ์ตวาดกลับ “มึงคิดว่าตัวเองฉลาดนัก คิดว่าเจ้ามีอำนาจเหนือคำสั่งของกูงั้นรึ ? กูคือตัวแทนของราชสำนัก ! ทุกคำสั่งของกูก็คือคำสั่งของเหนือหัว!”

“เหนือหัวของเราเป็นผู้ทรงธรรม พระองค์ไม่เคยสั่งให้กดขี่ประชาชน ท่านแอบอ้างพระนามเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น!” พ่อของเฮียวทนไม่ไหวเมื่อได้ยินหลวงอมรพิทักษ์กล่าวอ้างเช่นนี้ 

สิ้นเสียงของนายมิ่งหลวงอมรพิทักษ์ก็ฟาดที่หน้าพ่อของเฮียวด้วยด้ามปืนอย่างแรง ทำให้พ่อล้มลงกับพื้น เลือดไหลอาบจากแผลที่จมูก เมียของเขากรีดร้องและพยายามเข้าไปช่วย แต่ถูกทหารสองคนจับยึดไว้

“ปล่อยสามีฉันนะ !” แม่ตะโกน พยายามดิ้นหลุดจากการจับกุม “พวกแกไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้!”

“พวกเรามีสิทธิ์ทุกอย่าง” หลวงอมรพิทักษ์ตอบเสียงเย็น ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้อง “จัดการมัน”

คำสั่งสั้น ๆ นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่แย่ที่สุด ทหารคนหนึ่งลากพ่อของเฮียวให้คุกเข่าตรงกลางลาน อีกคนเล็งปืนที่ศีรษะของพ่อ

“ไม่ !!” แม่กรีดร้องสุดเสียง พยายามวิ่งเข้าไปช่วย แต่แน่นอนว่าถูกจับกุมเอาไว้ และถูกพยายามให้หันมองสามีของเธอโดนลงโทษ

เฮียวเบิกตากว้าง อยากจะตะโกน อยากจะวิ่งออกไปช่วย แต่ร่างกายแข็งทื่อด้วยความกลัว ตอนนี้เขาได้แต่มองผ่านช่องพื้นไม้ น้ำตาไหลอาบใบหน้าในขณะที่ภาพตรงหน้ากำลังจะฝังลึกในความทรงจำตลอดไป

เสียงปืนดังสนั่นท่ามกลางสายฝน ร่างของพ่อล้มลงกับพื้นทันที เลือดสีแดงสดไหลผสมกับน้ำฝนจนเจือจาง แม่กรีดร้องสุดเสียงด้วยความโศกเศร้า พี่สาวร่ำไห้จนตัวโยน พี่ชายพยายามดิ้นรนจากการควบคุม แต่ก็ถูกทุบตีจนสลบ

“คนต่อไป” หลวงอมรพิทักษ์สั่งเสียงเย็น ราวกับกำลังสั่งอาหารมื้อเย็น ไม่ใช่การประหารชีวิตมนุษย์

เหตุการณ์อันโหดร้ายดำเนินต่อไปต่อหน้าต่อตาของเด็กชายวัยสิบขวบ ที่ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นบ้าน มองผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ทีละคน ทีละคน สมาชิกในครอบครัวของเขาถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น ไร้ความปรานี เสียงปืนดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า 

เสียงกรีดร้องของแม่และพี่สาวยังก้องอยู่ในโสตประสาท กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นดินที่ชุ่มฝนลอยมาเตะจมูกอย่างรุนแรง

สุดท้าย ทุกคนในครอบครัวอินทวงศ์ก็นอนนิ่งไร้ลมหายใจ เหลือเพียงเด็กชายเฮียวที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นบ้าน น้ำตาไหลไม่หยุด แต่ไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ออกมา 

ในใจมีเพียงภาพครอบครัวที่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา และใบหน้าของคนที่สั่งให้ฆ่าพวกเขา... หลวงอมรพิทักษ์

“เผาบ้าน” หลวงอมรพิทักษ์สั่ง “เราจะทำให้ดูเหมือนกบฏเผาตัวเอง หลังจากถูกปิดล้อม กูไม่อยากเห็นแม้แต่เศษซากของตระกูลนี้เหลืออยู่”

เฮียวรู้สึกถึงความร้อนที่เริ่มแผ่ขยายในไม่ช้า เปลวไฟเริ่มลุกโชนที่ส่วนต่าง ๆ ของบ้าน แม้จะเปียกชื้นจากฝน แต่น้ำมันที่พวกทหารราดทำให้ไฟลุกอย่างรวดเร็ว

“เจ้าหนู” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังเฮียว ทำให้เขาสะดุ้งตกใจหันไปมอง

ในความมืดสลัว เขาเห็นเงาร่างของผู้ชายคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในคนรับใช้อาวุโสของบ้าน ร่างกายเปียกโชกไปด้วยน้ำและโคลน

“ลุงเฒ่า !” เฮียวกระซิบเรียก

“เงียบไว้” ลุงเฒ่าสั่ง “ตามข้ามา เราต้องหนีก่อนที่ไฟจะลุกลามมาถึงตรงนี้”

เฮียวคลานตามลุงเฒ่าไปตามอุโมงค์แคบ ๆ จนถึงอีกด้านหนึ่งของบ้าน ที่นั่นมีช่องทางออกสู่สวนหลังบ้านที่รกทึบ ท่ามกลางสายฝนและความมืด พวกเขาคลานออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

“ทางนี้” ลุงเฒ่ากระซิบ พาเฮียวมุดเข้าไปในพงหญ้าสูง “อย่าลืมว่าต้องเงียบที่สุด”

พวกเขาคลานผ่านสวนไปยังป่าละเมาะด้านหลังบ้าน ไปเรื่อย ๆ จนถึงแนวป่าลึก 

ตลอดเส้นทาง เฮียวได้แต่สะอื้นเบา ๆ หัวใจแทบสลายกับภาพที่เพิ่งเห็น ด้านหลังเขาคือบ้านที่เคยอบอุ่น ตอนนี้กำลังลุกไหม้ด้วยไฟท่ามกลางสายฝน เปลวไฟสีส้มลุกโชนขึ้นฟ้า เหมือนตัวแทนของความโกรธแค้นที่กำลังก่อตัวในใจของเด็กชาย

“ทำไม... ทำไมพวกเขาต้องฆ่าครอบครัวเรา?” เฮียวถามเสียงสั่น เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่าจนพ้นจากอันตรายแล้ว

“เพราะความโลภและอำนาจ” ลุงเฒ่าตอบ น้ำตาไหลอาบแก้มเหี่ยวย่น “หลวงอมรพิทักษ์ต้องการที่ดินและอำนาจของตระกูลเรา เขาใส่ร้ายพ่อของเอ็ง เพื่อให้มีเหตุผลในการยึดทุกอย่างไปเป็นของตนเอง”

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไป?” เฮียวถาม กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ

“ข้าจะพาเอ็งไปหาคนที่จะช่วยเราได้” ลุงเฒ่าตอบ “คนที่จะสอนให้เอ็งแข็งแกร่ง เผื่อวันหนึ่งเอ็งจะได้แก้แค้นให้ครอบครัวของเรา”

พวกเขาเดินตากฝนเข้าไปในป่าลึก ไม่มีอะไรติดตัวนอกจากชีวิตและความทรงจำอันขมขื่น เฮียวหันกลับไปมองบ้านที่ลุกไหม้เป็นครั้งสุดท้าย ภาพของครอบครัวที่ถูกสังหารยังติดตาราวกับถูกสลักไว้ด้วยมีดคม

“ผมสาบาน...” เด็กชายกระซิบกับตัวเอง น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความเจ็บปวดและความแค้นที่เริ่มก่อตัวในดวงตา “ผมจะแก้แค้นให้ได้ หลวงอมรพิทักษ์และตระกูลของมัน ทุกคนจะต้องชดใช้”

ลุงเฒ่าพาเฮียวเดินทางเข้าไปในป่าลึกหลายวัน ผ่านเทือกเขาและลำธาร ไปยังที่ซ่อนของกลุ่มโจรที่ต่อต้านอำนาจรัฐ กลุ่มคนที่หลบหนีจากความอยุติธรรมในระบบ 

บางคนเป็นอดีตทหาร บางคนเป็นชาวนาที่ถูกไล่ที่ บางคนเป็นนักโทษการเมืองที่หนีการประหาร ทุกคนมีเรื่องราวของความเจ็บปวด ทุกคนมีแผลลึกที่ไม่อาจเยียวยา

ที่นั่น เฮียวได้รับการฝึกฝนในวิธีการต่อสู้ การอยู่รอดในป่า การใช้อาวุธ และที่สำคัญที่สุด การแก้แค้น

“ความอ่อนแอไม่มีที่อยู่ในป่านี้” หัวหน้ากลุ่มโจรที่ชื่อแสง บอกเฮียว ในวันแรกที่เขามาถึง “ถ้ามึงอยากมีชีวิตรอด ถ้ามึงอยากแก้แค้น เจ้าต้องเป็นเสือ ไม่ใช่แมว”

ในช่วงแรก การฝึกฝนโหดหินเกินกว่าที่เด็กชายวัยสิบขวบจะรับไหว เฮียวร้องไห้ทุกคืน ทั้งจากความเจ็บปวดทางกายและบาดแผลในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป น้ำตาก็เหือดแห้ง ความอ่อนแอค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความแข็งแกร่ง และความเจ็บปวดกลายเป็นพลังที่ผลักดันให้เขาอยู่รอด

“ใช้ได้นี่” แสงชมเฮียว เมื่อเขาเอาชนะลูกน้องคนหนึ่งในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ทั้งที่อีกฝ่ายตัวโตกว่ามาก “กูเชื่อว่าสักวันมึงจะเป็นเสือที่น่ากลัวที่สุดในป่านี้”

เฮียวไม่ตอบ เพียงพยักหน้ารับและฝึกฝนหนักขึ้นไปอีก เขาฝึกการใช้มีด การยิงปืน การลอบเข้าไปในที่ต่าง ๆ โดยไม่ให้ใครรู้ตัว ทุกวันเขาจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและเข้านอนหลังพระอาทิตย์ตก ไม่มีวันหยุดพัก ไม่มีการผ่อนปรน

ลุงเฒ่าเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของเฮียวด้วยความห่วงใย เด็กชายที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสค่อย ๆ กลายเป็นหนุ่มน้อยที่เงียบขรึมและโหดเหี้ยม ดวงตาที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความสุขกลายเป็นดวงตาที่เย็นชาและคมกริบราวกับใบมีด

“อย่าลืมว่าเอ็งเป็นใคร” ลุงเฒ่าเตือนเฮียวคืนหนึ่ง เมื่อพบเขานั่งลับมีดอยู่ใต้แสงจันทร์ “อย่าให้ความแค้นกลืนกินตัวตนของเอ็ง”

“ตัวตนของข้าตายไปพร้อมกับครอบครัวแล้ว” เฮียวตอบเสียงเย็น “เหลือเพียงความแค้นที่ต้องแก้”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ