ป่าทึบและหุบเขาลึกที่คุ้มโจรตั้งอยู่เป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่เพียงจากสัตว์ร้ายหรือธรรมชาติที่โหดร้าย แต่ยังรวมถึงกลุ่มโจรอื่น ๆ และทหารของรัฐที่ล่าสังหารพวกเขา ป่าแห่งนี้มีกฎของมันเอง - กฎของผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจะอยู่รอด และเสือเฮียวก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วหลายครั้งว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุด
คุ้มโจรของเสือเฮียวตั้งอยู่ในหุบเขาลึกที่เข้าถึงได้ยาก มีทางเข้าออกเพียงไม่กี่ทาง และทุกทางถูกเฝ้าระวังตลอดเวลา หอสังเกตการณ์กลางคุ้มทำให้มองเห็นได้ไกลถึงเชิงเขา เตือนภัยได้ล่วงหน้าหากมีผู้บุกรุก
กำแพงธรรมชาติของภูเขาสูงชันและป่าทึบทำให้การโจมตีโดยตรงเป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ ยามที่ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงยังเป็นประกันว่าจะไม่มีการจู่โจมโดยไม่รู้ตัว
“เรื่องไอ้หมอนั่น...” ซ้งเอ่ยขึ้นหลังจากกลับมาจากคุมขังวศิน “นายจะเอายังไงต่อ ?”
เสือเฮียวนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องไปที่กองไฟกลางลาน เปลวไฟสีส้มแดงสะท้อนอยู่ในดวงตาคมของเขา ทุกคนเงียบกริบ รอฟังคำตอบ
“มันมีประโยชน์” เสือเฮียวตอบเสียงเรียบ “มันเป็นตัวประกัน และเป็นหนทางที่จะนำเราไปสู่ความจริงบางอย่าง”
“ความจริงอะไร ?” เสือดำถามอย่างสงสัย
“ความจริงเกี่ยวกับการล้างตระกูลของกู” เสือเฮียวตอบ น้ำเสียงเย็นยะเยือกเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “ตระกูลอมรพิทักษ์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะหลวงอมรพิทักษ์ พ่อของไอ้นั่น”
ความเงียบปกคลุมคุ้มโจรอีกครั้ง ทุกคนรู้เรื่องอดีตของเสือเฮียว รู้ว่าเขาเป็นทายาทตระกูลใหญ่ที่ถูกล้างตระกูลอย่างโหดเหี้ยม เหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้เพราะความช่วยเหลือของผู้อาวุโสคนหนึ่ง แต่ไม่มีใครรู้รายละเอียดทั้งหมด เสือเฮียวไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มีเพียงความเกลียดชังที่ฝังลึกและความต้องการแก้แค้นที่เป็นเชื้อไฟหล่อเลี้ยงชีวิตของเขามาตลอด
“เออจริงด้วย ลืมนี่ไปเลย” ซ้งเอ่ยขึ้นพลางหยิบขวดเหล้าพื้นบ้านขึ้นมาชูให้เห็น
“เหล้าดีจากเมืองปาย ได้มาจากการปล้นวันนี้”
เสือเฮียวยิ้มบาง ๆ โบกมือปฏิเสธ “มึงรู้ว่ากูไม่ค่อยดื่มเวลาคิดงาน”
“แต่วันนี้เราชนะ ได้ทรัพย์เยอะ ได้เชลยมีค่า สมควรฉลอง” ซ้งยังคงยื่นขวดเหล้าให้
ลูกน้องคนอื่น ๆ เริ่มส่งเสียงเห็นด้วย บางคนเริ่มหยิบเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาเตรียมบรรเลง บรรยากาศเริ่มคลายความตึงเครียด เปลี่ยนเป็นการเตรียมฉลอง
“เอาก็เอา” เสือเฮียวยอมรับขวดเหล้า เปิดจุกและดื่มอึกใหญ่ เหล้าแรงแสบคอลงไปถึงกระเพาะ เขาไม่แสดงอาการสะท้านใด ๆ แม้เหล้าจะแรงพอให้คนทั่วไปสำลัก หลายคนปรบมือและโห่ร้องด้วยความชื่นชม
กองไฟถูกเติมให้ลุกโชนมากขึ้น เสียงเครื่องดนตรีเริ่มบรรเลง กลอง ซอ และขลุ่ยไม้ไผ่ดังประสานกันเป็นจังหวะสนุกสนาน หลายคนเริ่มลุกขึ้นเต้นรำรอบกองไฟ บางคนส่งเสียงร้องเพลงพื้นบ้านที่เล่าถึงการต่อสู้และชัยชนะ
ในขณะที่การฉลองดำเนินไป ตาของเสือเฮียวกลับจับจ้องไปที่กระท่อมริมน้ำตกที่วศินถูกคุมขังอยู่เป็นพัก ๆ หลายครั้ง เขาครุ่นคิดอย่างหนัก สมองของเขาไม่ได้อยู่กับงานฉลองเลยแม้แต่น้อย
“เฮีย !” เสียงของหญิงสาวร่างอรชรคนหนึ่งดังขึ้นข้าง ๆ ตัวเสือเฮียว เป็นหญิงสาวที่ชื่อนิล น้องสาวของเสือดำ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านยาและอาหารในคุ้มโจร “เฮียดูไม่สนุกกับงานฉลองเลย กำลังคิดอะไรอยู่ ?”
“ไม่มีอะไร” เสือเฮียวตอบสั้น ๆ ส่งยิ้มให้นิลพอเป็นมารยาท เขารู้ดีว่านิลชอบเขา และหลายคนก็อยากให้เขาตอบรับความรู้สึกของหญิงสาว แต่ใจของเสือเฮียวมีที่ให้เพียงความแค้นเท่านั้น ไม่เคยมีพื้นที่ให้ความรัก
“เฮียจะเอาเชลยคนนั้นไปทำอะไร ?” นิลถามต่อ มือเรียวส่งถ้วยน้ำผึ้งป่าให้เสือเฮียว “พี่บอกว่าเฮียจะเอาไว้เป็นตัวต่อรอง แต่ฉันว่า...”
“ว่าอะไร ?” เสือเฮียวหันมาสบตานิล
“ว่ามันอาจเป็นอันตราย” นิลตอบเสียงเบา “เขาเป็นลูกหลวงอมรพิทักษ์ อาจมีคนตามมา มันดูเสี่ยงมากเลยนะ”
เสือเฮียวยิ้มบาง ๆ “มึงกลัวเรื่องนั้นเหรอ ? คุ้มเราไม่เคยถูกตามพบมาหลายปี ทางเข้าออกถูกเฝ้าตลอด และมึงก็รู้ว่ากูไม่กลัวใคร”
“แต่ถ้าเขาตามมาเยอะ ๆ ล่ะ ?” นิลถามต่อ ความกังวลปรากฏชัดในน้ำเสียง “ตระกูลอมรพิทักษ์มีอำนาจมาก มีพวกมาก”
“แล้วไอ้นั่นจะรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่ไหน ?” เสียงจากอีกฟากหนึ่งของกองไฟดังขึ้น เป็นเสียงของ เทพ ชายวัยใกล้ชราที่เป็นหมอดูประจำคุ้ม “พวกเรานำตัวมันมาด้วยความระมัดระวัง ปิดตาตลอดทาง ไม่มีทางรู้”
“แต่เขาเป็นหมอ” เสียงแผ่วเบาของคนหนึ่งแทรกขึ้น เป็นชายร่างผอม ผู้ทำหน้าที่ลาดตระเวนเป็นหลัก “ผมได้ยินเขาบอกนายว่าเขาเป็นหมอ ถ้าเกิดใครในคุ้มเจ็บป่วย...”
“มึงคิดว่าเราต้องอาศัยลูกศัตรูช่วยรักษาเหรอ ?” ซ้งสวนทันควัน “ทุกคนในคุ้มนี้รู้วิธีรักษาบาดแผลกันทั้งนั้น นิลก็เก่งเรื่องสมุนไพร เทพก็รู้เรื่องกระดูกหัก เราไม่จำเป็นต้องใช้มัน”
การถกเถียงเรื่องเชลยคนใหม่ยังคงดำเนินต่อไปรอบกองไฟ ความคิดเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย บางคนอยากให้รีบกำจัดศัตรูเพื่อความปลอดภัย แต่บางคนเห็นประโยชน์ในการมีตัวประกันไว้ต่อรอง
เสือเฮียวนั่งฟังทุกคนอย่างเงียบ ๆ ดวงตาคมกริบสังเกตความคิดเห็นของลูกน้องแต่ละคน ใบหน้าไร้อารมณ์ไม่บ่งบอกว่าเขาคิดอย่างไร แต่ทุกคนรู้ดีว่าไม่ว่าจะเกิดความคิดเห็นอย่างไร การตัดสินใจสุดท้ายเป็นของเสือเฮียวเสมอ
“พอ!” ในที่สุดเสือเฮียวก็เอ่ยขึ้น เมื่อการถกเถียงเริ่มรุนแรงขึ้น “กูตัดสินใจแล้ว เราจะไม่ฆ่ามันในตอนนี้ แต่จะใช้มันเป็นแหล่งข้อมูล”
ทุกคนเงียบลงทันที ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง แม้ว่าบางคนอาจไม่เห็นด้วย
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น” เสือเฮียวพูดต่อเสียงเย็น “กูจะเป็นคนจัดการเอง และกูอาจต้องจัดการกับบางคนที่ทำตัวเป็นภัยต่อคุ้มด้วย”
ทุกคนพยักหน้าด้วยความเคารพและเกรงกลัว รู้ดีว่าเสือเฮียวไม่เคยขู่เปล่า เขาเคยประหารลูกน้องคนสนิทด้วยมือตัวเองมาแล้ว เมื่อพบว่าคนผู้นั้นทรยศคุ้ม
บรรยากาศงานฉลองเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากนั้น แต่เมื่อเหล้าเริ่มออกฤทธิ์มากขึ้น ทุกคนก็กลับมาร่าเริงและเฮฮาอีกครั้ง ลูกน้องหลายคนเต้นรำรอบกองไฟอย่างดีใจในความสำเร็จของการปล้น หนึ่งในนั้นเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับเศรษฐีที่พวกเขาเพิ่งปล้น ถึงอาการตกใจและตัวสั่นงันงกเมื่อเผชิญหน้ากับลูกน้องของเสือเฮียว เสียงหัวเราะดังระงมทั่วลาน
ขณะที่ทุกคนมัวสนุกกับงานฉลอง นิลแอบย่องออกจากวงและเดินไปยังกระท่อมที่วศินถูกขัง เธอถือถาดไม้ที่มีถ้วยน้ำและข้าวเหนียวห่อใบตองเล็ก ๆ เดินไปอย่างเงียบ ๆ ไม่อยากให้ใครสังเกตเห็น
“นิล !” เสียงของซ้งดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง “มึงจะไปไหน?”
“พี่ซ้ง” นิลหันไปตอบ พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ “เอาน้ำกับข้าวไปให้เชลย แค่นั้นเอง เขาไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน คงหิวมาก”
“มึงเป็นห่วงไอ้ลูกศัตรูนั่นเหรอ ?” ซ้งถามเสียงเขียว ดวงตาวาววับด้วยความระแวง
“ไม่ใช่อย่างนั้น” นิลแย้งเสียงแผ่ว “แต่ถ้าเฮียเฮียวต้องการให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นตัวต่อรอง เขาก็ต้องกินอาหารบ้าง ไม่งั้นอีกไม่กี่วันอาจตายเพราะขาดน้ำ”
ซ้งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “เออ มึงพูดมีเหตุผล แต่กูจะไปด้วย กูไม่ไว้ใจไอ้นั่น”
นิลพยักหน้ารับ ทั้งสองเดินไปที่กระท่อมริมน้ำตกด้วยกัน ซ้งเลื่อนกลอนไม้หนาออก และเปิดประตูกระท่อมอย่างแรง แสงจากตะเกียงที่นิลถือส่องเข้าไปในความมืด เผยให้เห็นร่างของวศินที่นั่งอยู่บนเสื่อเก่าขาดในมุมกระท่อม
วศินเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาแดงก่ำจากความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังคงไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นมาก เหมือนพยายามข่มมันเอาไว้อยู่ ใบหน้าและแขนมีรอยแผลจากการถูกลากและกระแทกระหว่างเดินทาง เสื้อขาวเปรอะเปื้อนด้วยเลือดและโคลน
“เอาข้าวกับน้ำมาให้” นิลบอกเสียงเรียบ วางถาดลงบนพื้นไม้ผุใกล้ ๆ “กินซะ แล้วพรุ่งนี้เราจะเอามาให้อีก”
“ขอบคุณครับ” วศินตอบเสียงแหบแห้งแต่ชัดเจน ไม่มีความหวาดกลัวหรือความขุ่นเคืองในน้ำเสียง
“มึงอย่าคิดว่าพวกกูใจดีนะ แค่ไม่อยากให้มึงตายก่อนที่นายกูจะได้ใช้ประโยชน์” ซ้งจ้องมองชายหนุ่มอย่างเกลียดชัง
“ผมเข้าใจครับ” วศินตอบ ดวงตาจับจ้องซ้งอย่างตรงไปตรงมา “ที่นี่มีกฎของที่นี่ ผมเข้าใจ”
“แล้วไงต่อ?” ซ้งถามอย่างขุ่นเคือง รู้สึกไม่พอใจที่เชลยไม่แสดงอาการหวาดกลัวหรือขอร้องอ้อนวอน “มึงไม่กลัวที่นี่เหรอ ?”
“กลัวสิครับ” วศินตอบตรงไปตรงมา “แต่ความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร ผมเลือกที่จะเข้าใจสถานการณ์มากกว่า”
นิลมองวศินด้วยความประหลาดใจ ไม่เคยเห็นเชลยคนไหนมีท่าทีเช่นนี้ ปกติแล้วคนที่ถูกจับมามักจะร้องไห้ขอความเมตตา หรือไม่ก็แสดงความเกลียดชัง ด่าทออย่างรุนแรง
“เข้าใจอะไร ?” ซ้งแค่นเสียง “มึงจะได้เข้าใจว่ามึงกำลังจะตาย เมื่อนายกูเบื่อไอ้หน้าคม ๆ ของมึงน่ะเหรอ ?”
“คุณเองก็มีเรื่องราวของคุณเหมือนกัน” วศินพูด ดวงตามองทะลุไปที่ใบหน้าอัปลักษณ์ของซ้ง “รอยแผลนั่นน้ำร้อนลวกใช่ไหม ?”
ซ้งชะงัก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธจัด “มึงรู้ได้ยังไง !?”
“ผมเป็นหมอ เห็นลักษณะรอยแผลแบบนี้มาหลายครั้งในคนไข้” วศินพยายามอธิบาย “รอยแผลจากน้ำร้อนมีลักษณะเฉพาะ ที่ซอกคอของคุณมีร่องรอยที่บอกว่าน่าจะเกิดตั้งแต่อายุยังน้อย รอยแผลเป็นรอบดวงตาก็บอกว่าคงเจ็บปวดมาก”
ซ้งเดือดดาลจนตัวสั่น เขาก้าวเข้าไปหาวศินราวกับจะทำร้าย “มึงคิดว่ามึงฉลาดนักเหรอ”
“พี่ซ้ง!” นิลรั้งแขนไว้ “เฮียเฮียวสั่งห้ามแตะต้องตัวเขา!”
ซ้งชะงัก ใบหน้าหงิกงอด้วยความโกรธ รู้สึกเหมือนโดนดูถูก แต่ก็ยังเคารพคำสั่งของเสือเฮียว เขาสะบัดมือนิลออก ก่อนจะเดินออกจากกระท่อมด้วยความโกรธจัด
นิลมองตามซ้งไปก่อนจะหันกลับมาที่วศิน “คุณไม่ควรยั่วโมโหเขาแบบนี้นะ เขาโหดมาก ฆ่าคนมามากกว่าเสือเฮียวอีกมั้ง”
“ผมไม่ได้ตั้งใจยั่ว แค่พูดความจริง แต่ก็นั่นแหละ... บางทีความจริงก็เจ็บปวด”
นิลมองวศินอย่างพิจารณา ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “คุณรู้ไหมว่ากำลังอยู่ในอันตรายแค่ไหน? คุ้มนี้เต็มไปด้วยคนที่เกลียดตระกูลคุณ”
“ผมพอจะเดาได้” วศินตอบ สายตามองไปที่ถ้วยน้ำและใบตองอาหาร “คุณใจดีที่นำอาหารมาให้ ขอบคุณมาก”
นิลพยักหน้า เก็บคำถามมากมายที่อยากถามไว้ในใจ เธอเดินไปที่ประตู หยุดมองวศินเป็นครั้งสุดท้าย
“ระวังตัวด้วย” เธอเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูและใส่กลอนตามเดิม
วศินถอนหายใจยาว เมื่อถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เขาคลานไปหยิบถ้วยน้ำ ดื่มอย่างช้าๆ ราวกับต้องการประหยัดทุกหยดเพื่อดำรงชีวิตในขุมนรกนี้ แล้วจึงค่อย ๆ แกะห่อข้าวเหนียวด้วยมือที่ยังคงถูกเชือกมัดหลวม ๆ กินอย่างเชื่องช้า เขาดูเหมือนกำลังใช้เวลาครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญอยู่
เสียงดนตรีและเสียงเฮฮาจากลานกลางยังคงดังอยู่ไกล ๆ แสงไฟจากกองไฟใหญ่สะท้อนเป็นเงาบนฝากระท่อม ทำให้เงามืดในกระท่อมเต้นระบำไปมา
วศินมองออกไปนอกช่องว่างเล็ก ๆ บนฝากระท่อม เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นจุดเล็ก ๆ ห่างไกล เหมือนความหวังที่ริบหรี่
แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบ ไม่มีความโกรธหรือความเกลียดชัง ดวงตายังคงมีประกายของความอดทนและการรอคอย รอคอยโอกาสที่เหมาะสม หรือรอคอยความตายที่อาจมาเยือนเมื่อใดก็ได้
ในขณะเดียวกัน ที่ลานกลางคุ้มโจร เสือเฮียวแยกตัวออกมานั่งบนโขดหินสูงริมลำธาร ห่างจากวงสนุกสนาน สายตาของเขาจับจ้องไปที่กระท่อมที่วศินถูกคุมขัง ในมือถือกระดาษเก่าแผ่นหนึ่งที่เขาแอบหยิบมาจากกล่องไม้ในคฤหาสน์ กระดาษที่มีตราประทับของตระกูลอมรพิทักษ์
“มึงจะไม่ร่วมวงเหรอ ?” เสือดำเดินเข้ามาถาม มือถือขวดเหล้าขนาดใหญ่ “ไม่เคยเห็นมึงเงียบขนาดนี้มาก่อน แค่จับไอ้ลูกหลวงอมรพิทักษ์ได้เท่านั้นเอง”
“กูกำลังคิดอะไรบางอย่าง” เสือเฮียวตอบโดยไม่ละสายตาจากกระดาษในมือ
“อะไร ?” เสือดำถามต่อ นั่งลงข้าง ๆ เสือเฮียว
“ความแปลกประหลาดของไอ้หมอนั่น” เสือเฮียวตอบเสียงเรียบ “มันไม่กลัวกู ไม่ได้โกรธที่กูลากตัวมาที่นี่ และไม่มีการอ้อนวอนขอชีวิตอะไรเลย เหมือนมัน...รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“อาจเพราะมันเป็นหมอ เห็นความตายมาเยอะล่ะมั้ง” เสือดำเสนอความคิดเห็น
“หรืออาจเพราะมันรู้อะไรบางอย่างที่กูยังไม่รู้” เสือเฮียวกระซิบเบา ๆ ราวกับพูดกับตัวเอง
“มึงจะไปถามมันเหรอ ?” คนข้างเสือเฮียวถามต่อ
“เดี๋ยวกูค่อยไป” เสือเฮียวตอบ พับกระดาษเก็บใส่อกเสื้อ “ให้มันเหนื่อยและหิวก่อน คนที่ต้องการอาหารและน้ำมักจะพูดความจริงมากกว่า”
“นั่นสิ” เสือดำยิ้มกว้าง ยกขวดเหล้าขึ้นดื่ม “มึงเป็นเสือที่ฉลาดที่สุดเท่าที่กูเคยเห็นมา”
เสือเฮียวยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ตอบอะไร สายตายังคงจับจ้องไปที่กระท่อมไกล ๆ ความคิดหลายอย่างวนเวียนในหัว ความสงสัย ความสับสน และความต้องการรู้ความจริง ความจริงที่เขารอคอยมานานสิบห้าปี ความจริงที่อาจจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ลมเย็นจากป่าพัดผ่านคุ้มโจร พาเอาความหนาวเย็นของราตรีมาด้วย เสียงน้ำตกไหลดังคลอเป็นเพลงบรรเลงคู่กับเสียงดนตรีและเสียงเฮฮาจากลานกลาง ทุกอย่างดูเหมือนปกติในดงเสือ แต่ทุกคนรู้ดีว่า เชลยคนใหม่ได้นำความเปลี่ยนแปลงบางอย่างมาด้วย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?