ตอนที่ 10 ไอ้เหล้าบ้า

แสงอาทิตย์เจิดจ้าเหนือคุ้มโจร ส่องสว่างทั่วลานกลางที่ยังมีร่องรอยของการฉลองเมื่อคืน ขวดเหล้าเปล่าวางเกลื่อนกลาด กระดูกสัตว์จากอาหารมื้อใหญ่กระจัดกระจาย และลูกน้องบางคนยังคงนอนหลับกรนอยู่ไม่ไกลจากกองไฟที่มอดดับไปแล้ว

เสือเฮียวเดินกลับมาถึงกระท่อมของตัวเอง ปิดประตูลงอย่างแรง พื้นไม้สั่นสะเทือนจนนกที่เกาะอยู่บนหลังคาบินหนีไปด้วยความตกใจ เขาทิ้งตัวลงบนเตียงที่ทำจากไม้แข็ง ใช้มือทั้งสองข้างกุมศีรษะที่ยังคงมึนงง

“ไอ้บ้าเอ๊ย !” เขาสบถอีกครั้ง ทุบกำปั้นลงบนเตียงจนไม้แตกร้าว “มึงทำอะไรลงไป !?”

เสือเฮียวไม่เคยเสียการควบคุมตัวเองมาก่อน เขาเป็นผู้นำที่เฉียบขาด ทุกการกระทำล้วนคิดมาอย่างรอบคอบ แม้แต่การปล้นที่ดูเหมือนบ้าบิ่นในสายตาคนอื่น ก็มีการวางแผนมาอย่างดีเสมอ แต่เมื่อคืนนี้... เขาปล่อยให้สัญชาตญาณส่วนลึกเข้าครอบงำ ปล่อยให้ความอ่อนแอในใจโผล่ออกมา

ที่แย่ไปกว่านั้น เขากลับยอมจำนนให้วศิน ยอมให้ศัตรูครอบงำและควบคุม ยอมเปิดเผยด้านอ่อนแอที่สุดของตัวเอง

“ไอ้เหล้าบ้า!” เสือเฮียวสบถ พยายามโทษสิ่งอื่นแทนที่จะยอมรับความจริง “ไอ้หมอเวรนั่นคงใส่ยาอะไรในอาหาร”

แต่ลึก ๆ เขารู้ดีว่าไม่ใช่ ไม่มียาใด ๆ ไม่มีเวทมนตร์คาถา มีเพียงความโหยหาในส่วนลึกของหัวใจที่ถูกเก็บกดมานาน ความเดียวดายที่ถูกซ่อนไว้ใต้ความเกลียดชัง

เสือเฮียวลุกขึ้นเดินวนไปมาในกระท่อม ดวงตาคมกริบมองหาทางออกจากความสับสนในใจ เขาไม่อาจจะยอมรับได้ว่าตัวเองมีความรู้สึกอ่อนไหวต่อวศิน ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เขาไม่อาจยอมรับได้ว่าตนเองยอมจำนนต่อคนคนนั้น

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ขัดจังหวะความคิดของเสือเฮียว

“ใคร!?” เขาตวาดลั่น

“ข้าเอง ซ้ง” เสียงตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง

“เข้ามา” เสือเฮียวตอบห้วน ๆ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ให้ใครสังเกตเห็นความสับสนในใจ

ซ้งผลักประตูเข้ามาอย่างเงียบ ๆ สีหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ดวงตาฉายแววสงสัยเล็กน้อย

“นายเสือ...” ซ้งเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เมื่อคืนนายไม่ได้กลับมาที่กระท่อม...”

“มึงมาตามหากูหรือไง ?” เสือเฮียวถามเสียงห้วน “กูเป็นหัวหน้าคุ้ม กูจะไปไหนก็ได้!”

ซ้งก้มหน้าลงทันที “ข้าไม่ได้มีเจตนาจะสงสัย แต่มีคนเห็นนายเดินไปทางกระท่อมของเชลย...”

เสือเฮียวแข็งค้างไปชั่วขณะ ความโกรธเดือดพล่านขึ้นมาแทนที่ความสับสน

“ใครพูด !?” เขาคำรามลั่น “ใครกล้าจับตาดูกู !?”

ซ้งถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความหวาดกลัว “ไม่มีใครตั้งใจจับตาดูหรอก แต่พวกเราต้องเฝ้ายามรอบคุ้ม ไอ้กล้ามันเห็นนายเดินผ่าน...”

เสือเฮียวกำหมัดแน่น พยายามข่มความโกรธเอาไว้ เขารู้ดีว่าการแสดงความโกรธมากเกินไปจะยิ่งทำให้คนสงสัย

“กูไปไหนมาไม่ใช่เรื่องของพวกมึง” เขาตอบเสียงเรียบลง “กูแค่ไปตรวจดูว่าเชลยหนีรึเปล่า พวกมึงคุมตัวแบบหละหลวมนัก!”

ซ้งพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “เชลยนั่นยังอยู่ในห้องขัง ไม่มีทางหนีได้แน่นอน”

“ดี” เสือเฮียวพยักหน้า “แล้วมึงมีอะไรอีก ?”

“พวกเรากำลังเตรียมออกไปล่าสัตว์ และต้องการคำสั่งเกี่ยวกับเชลย” ซ้งรายงาน “นายต้องการให้คุมขังต่อหรือว่า...”

เสือเฮียวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนหนึ่งของเขาอยากปล่อยวศินให้เป็นอิสระ แต่อีกส่วนกลับต้องการกักขังไว้ให้ห่างไกลจากตัวเองมากที่สุด

“ปล่อยให้มันออกจากกระท่อมได้” เสือเฮียวตัดสินใจ “แต่ห้ามออกนอกคุ้ม มีคนเฝ้าตลอด รวมถึง...” เขาหยุดชั่วครู่ “ดูแลบาดแผลให้ดี ให้อาหารเต็มที่”

“หือ ? นายต้องการให้ดูแลเชลยดีขึ้น?” ซ้งเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“มันเป็นหมอ” เสือเฮียวตอบเสียงห้วน “อาจมีประโยชน์กับคุ้ม ไอ้เมฆยังต้องการการรักษาต่อ”

ซ้งพยักหน้ารับ แม้จะยังดูสงสัยอยู่บ้าง “ครับ”

“อีกอย่าง” เสือเฮียวเสริม “มอบหมายให้กล้าเป็นคนดูแลเชลย กูจะไม่เกี่ยวข้องกับมันอีก กูมีธุระสำคัญกว่าต้องจัดการ”

ซ้งโค้งตัวรับคำสั่ง ก่อนจะออกจากกระท่อมไป ทิ้งให้เสือเฮียวอยู่กับความสับสนในใจอีกครั้ง

ร่างใหญ่ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ความรู้สึกผิดและความโกรธตัวเองยังคงเดือดพล่าน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอ่อนแอเช่นนั้น ทำไมเขาถึงยอมให้วศินมีอิทธิพลเหนือตัวเขา มันต้องมีอะไรสักอย่าง มันต้องเป็นแผนร้ายที่อีกฝ่ายวางไว้

และเพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางนั้นอีก เขาจะต้องหลีกห่าง เขาจะไม่พบหน้าวศินอีก จะไม่คุยด้วย จะไม่ฟังเสียงนั้นที่ดูเหมือนจะมีมนตราบางอย่างที่ทำให้เขาอ่อนแอลง

เสือเฮียวตัดสินใจแน่วแน่  เขาจะฝังความรู้สึกทั้งหมดไว้ลึก ๆ และจะไม่มีวันปล่อยให้มันโผล่ขึ้นมาอีก

ความเงียบปกคลุมไปทั่วคุ้มในยามบ่าย เหล่าลูกน้องส่วนใหญ่ออกไปล่าสัตว์ตามคำสั่งซ้ง บางคนพักผ่อนหลับนอนหลังจากเมามายเมื่อคืน หลายคนนั่งซ่อมแซมอาวุธและเสบียง

วศินนั่งอยู่หน้ากระท่อมเล็กที่เคยถูกขัง แต่วันนี้ประตูเปิดกว้าง ไม่มีกลอนล็อคอีกต่อไป เขามองออกไปยังป่าเขาเบื้องหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย ความคิดวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์เมื่อคืน

เมื่อตื่นขึ้นมาและพบว่าเสือเฮียวหายไปแล้ว วศินไม่รู้สึกประหลาดใจนัก เขาเข้าใจดีถึงความสับสนที่คนอย่างเสือเฮียวต้องเผชิญ การต่อสู้ระหว่างความเกลียดชังและความปรารถนา การต่อสู้ระหว่างอัตตาและความต้องการลึก ๆ ในใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง วศินรู้ดีว่าเขาเองก็เปลี่ยนไป เขาไม่ใช่แค่เชลยอีกต่อไป เขากลายเป็นคนที่เข้าถึงจิตใจอันแข็งกร้านของเสือเฮียว คนที่เห็นความอ่อนแอและความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกนอกที่แข็งแกร่ง

“อาหารของมึง” เสียงของกล้าดังขึ้นข้างหลัง ขัดความคิดของวศิน

วศินหันไปมอง เห็นกล้ายืนถือถาดไม้ที่มีอาหารวางอยู่ มีทั้งข้าวสวย แกงเนื้อ และผลไม้ มากกว่าที่เขาเคยได้รับมาก่อนหน้านี้เยอะ

“ขอบคุณครับ” วศินตอบรับเอื้อมมือไปรับถาดอาหารอย่างสุภาพ

กล้ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินจากไปเหมือนทุกครั้ง สายตาจับจ้องวศินด้วยความสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่า ?” วศินถาม ดวงตาสบตากับกล้าอย่างตรงไปตรงมา

“มึงทำอะไรกับนายเสือ ?” กล้าถามตรง ๆ น้ำเสียงเรียบแต่เข้มข้น

วศินชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะวางถาดอาหารลงข้าง ๆ ตัว “คุณหมายถึงอะไร?”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้” กล้าย่ำเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น “นายเสือไปหามึงเมื่อคืน แล้ววันนี้เขาสั่งให้ปฏิบัติกับมึงดีขึ้น ให้อาหารเต็มที่ แถมยังให้มึงเดินไปไหนมาไหนในคุ้มได้อีก”

วศินไม่ตอบโต้ เขาเพียงมองกล้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“กูไม่รู้ว่ามึงใช้เล่ห์กลอะไร” กล้าพูดต่อ “แต่ถ้ามึงคิดจะทำร้ายนายเสือ กูจะฆ่ามึงด้วยมือกูเอง”

“ผมไม่มีเจตนาร้ายต่อเสือเฮียว” วศินตอบอย่างจริงใจ “และจะไม่มีวันทำร้ายเขา”

กล้าหรี่ตาลงมองวศินอย่างพินิจ “มึงมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้นายเสือเปลี่ยนไป กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่กูจะคอยจับตาดูมึงไว้”

“คุณห่วงเขาเหมือนกัน” วศินพูดเบา ๆ “ผมเข้าใจ”

คำพูดนั้นทำให้กล้าเงียบลงชั่วขณะ เขาจ้องมองวศินนิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง

“นายเสือช่วยชีวิตพวกเราทุกคนในคุ้มนี้” กล้าเอ่ย “พวกเราทุกคนล้วนมีอดีตที่เจ็บปวด ถูกข่มเหง ถูกเอารัดเอาเปรียบ จนกระทั่งนายเสือมาพบและชักชวนมาอยู่ที่นี่... ที่นี่คือบ้านของพวกเรา”

วศินฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่เคยได้ยินกล้าพูดยาวขนาดนี้มาก่อน

“ก่อนที่จะมีนายเสือ พวกเราเป็นแค่ขอทานไร้ค่า เป็นโจรกระจอก หรือไม่ก็เป็นคนตายที่ยังหายใจ” กล้าเล่าต่อ “แต่นายเสือให้ชีวิตใหม่กับพวกเรา ให้ศักดิ์ศรี ให้ความภาคภูมิใจ พวกเราทุกคนพร้อมตายเพื่อเขา”

วศินพยักหน้าเบา ๆ “ผมเข้าใจ และผมเชื่อว่าเสือเฮียวเป็นคนดีในแบบของเขา”

กล้าเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “มึงพูดจริงหรือว่าเล่น? นายเสือจับมึงมา ทำร้ายมึง ขังมึง ให้มึงอดข้าวอดปลาขนาดนี้”

“ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง” วศินตอบ “เสือเฮียวมีความแค้นต่อตระกูลของผม เขามีสิทธิ์ที่จะเกลียดชัง แต่ผมก็มองเห็นด้านอื่นของเขาเช่นกัน”

กล้ามองวศินอย่างประเมิน ไม่แน่ใจว่าควรเชื่อหรือไม่

“พูดให้ฟัง” กล้าเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างมึงกับนายเสือกันแน่”

วศินยิ้มบาง “บางครั้งคนเราแค่ต้องการคนฟัง”

กล้าส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ แต่ไม่ได้ซักไซ้ต่อ “จำไว้ กูจะคอยจับตาดูมึง และถ้ามึงทำอะไรให้นายเสือเสียใจแม้แต่นิดเดียว กูจะ...”

“ทุกคนในคุ้มนี้รักเสือเฮียว” วศินพูดตัดบท “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี”

กล้าชะงักไป สังเกตดูใบหน้าของวศินอย่างละเอียด ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

วศินถอนหายใจเบา ๆ หยิบถาดอาหารขึ้นมากิน ความคิดของเขายังคงวนเวียนอยู่กับเสือเฮียว เขารู้ดีว่าชายคนนั้นกำลังหลีกหนีความรู้สึกของตัวเอง และอาจไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริงอีกนาน

วันเวลาผ่านไป หนึ่งวัน สองวัน สามวัน... เสือเฮียวไม่เคยมาหาวศินอีกเลย ไม่แม้แต่จะมองมาทางกระท่อมที่เขาพักอยู่ ทุกครั้งที่เสือเฮียวจำเป็นต้องเดินผ่าน เขาจะเบือนหน้าไปทางอื่น ทำราวกับว่าหมอหนุ่มคนนี้ไม่มีตัวตนอยู่

แต่ความเย็นชาภายนอกไม่อาจซ่อนความวุ่นวายภายใน ทุกคืนเสือเฮียวนอนไม่หลับ ภาพของวศินปรากฏในความฝัน  เสียงกระซิบขออีกฝ่ายยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท ความรู้สึกของการสัมผัสยังคงติดอยู่บนผิวกาย

เสือเฮียวพยายามกลบความคิดถึงวศินด้วยการดื่มเหล้ามากขึ้น ออกล่าสัตว์บ่อยขึ้น วางแผนปล้นบ้านขุนนางอีกหลายหลัง เพื่อให้สมองยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น แต่ทุกอย่างก็ไม่อาจเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้นในใจได้

ในขณะเดียวกัน วศินเริ่มได้รับการยอมรับจากลูกน้องบางคนในคุ้มมากขึ้น หลังจากที่เขาช่วยรักษาอาการป่วยของเด็กในคุ้ม และช่วยเมฆเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวัน ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของเขาเริ่มเป็นที่ประจักษ์

มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่วศินกำลังช่วยเมฆทำแผล พวกเขาเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรมากขึ้น

“มึงเรียนที่ไหนมา ?” เมฆถามขณะที่วศินกำลังทาน้ำมันสมุนไพรลงบนบาดแผลที่กำลังหายดี

“ผมเรียนโรงเรียนแถวบ้านได้ไม่นาน แล้วก็ไปต่อที่ประเทศอังกฤษ เรียนหมอที่นั่นเลย” วศินตอบ มือยังคงทำงานอย่างละเอียด “กว่าจะจบหมอก็ใช้เวลาเรียนหลายปี”

“แล้วทำไมถึงอยากเป็นหมอ ?” เมฆซักต่อ “ตระกูลมึงน่าจะให้เป็นตำรวจหรือขุนนางมากกว่า”

วศินยิ้มบาง “นั่นแหละคือปัญหา พ่อผมอยากให้ผมเข้ารับราชการทหารหรือตำรวจ แต่ผมชอบการรักษาคนมากกว่า” เขาหยุดเล็กน้อย “ผมเห็นคนตายมามากพอแล้ว ผมอยากช่วยให้คนมีชีวิตต่อไป”

เมฆฟังอย่างตั้งใจ ความรังเกียจที่เคยมีต่อวศินค่อย ๆ จางลงไป แต่ก็ยังไม่หายไปหมดสิ้น แค่เข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น “แล้วพ่อมึงยอมให้เรียนหมอเหรอ ?”

“ไม่ง่ายนัก” วศินส่ายหน้า “แต่สุดท้ายท่านก็ต้องยอม เพราะผมบอกว่าถ้าไม่ได้เรียนหมอ ผมจะไม่กลับบ้านอีกเลย”

“มึงก็เถียงพ่อเหมือนกันนะ” เมฆพูดพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ “กูนึกว่าพวกลูกขุนนางจะเชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่าง”

“คนเราก็มีความฝันของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ” วศินตอบพลางพันผ้าพันแผลใหม่ให้เมฆ “ผมก็แค่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”

“แล้วเรื่องที่นายเสือบอกว่าตระกูลมึงล้างตระกูลเขา...” เมฆลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “มึงรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม?”

วศินนิ่งไปครู่หนึ่ง มือที่กำลังพันผ้าหยุดชะงัก “ผมไม่รู้รายละเอียด แต่ตั้งแต่ผมจำความได้ พ่อกับลุงของผมก็ไม่ค่อยถูกกัน พวกเขาทะเลาะกันเรื่องการใช้อำนาจอยู่บ่อย ๆ”

“ลุงของมึงน่ะหรือที่สั่งล้างตระกูลนายเสือ ?” เมฆถามด้วยความสนใจ

วศินพยักหน้า “ผมคิดว่าอย่างนั้น แต่ผมไม่มีหลักฐาน ผมยังเด็กมากตอนนั้น พอเริ่มโตขึ้นมาก็ไปเรียนที่อื่น ไม่ได้อยู่บ้าน”

เมฆมองวศินอย่างประเมิน “ถ้าอย่างนั้น ทำไมมึงไม่บอกนายเสือให้แก้แค้นที่ลุงของมึงล่ะ? ทำไมต้องยอมรับเคราะห์กรรมแทนตระกูล?”

“ไม่มีใครควรถูกแก้แค้นทั้งนั้น” วศินตอบเสียงเรียบ “ความแค้นไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้น มันแค่ทำให้ความเจ็บปวดขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ผมอยากให้มันจบ อยากรู้ความจริง”

“มึงคิดแบบหมอจริง ๆ” เมฆส่ายหน้า แต่น้ำเสียงไม่ได้เหยียดหยามเหมือนก่อน “แต่นายเสือไม่มีทางละทิ้งความแค้นหรอก มันคือสิ่งที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้”

วศินมองเมฆ ดวงตาฉายแววความเข้าใจ “บางทีเขาอาจพบเหตุผลใหม่ที่ทำให้มีชีวิตอยู่ก็ได้”

เมฆหัวเราะเบา ๆ “มึงกล้าหาญจริง ๆ นะไอ้หมอ กล้าคิดว่าจะเปลี่ยนใจนายเสือได้”

วศินเพียงยิ้มบาง ไม่ได้ตอบอะไร เขาเก็บอุปกรณ์ทำแผลอย่างเงียบ ๆ

“รู้ไหม” เมฆพูดขึ้นอีกครั้ง “มึงช่วยชีวิตกู แต่กูยังเกลียดมึงอยู่ดี... แต่ตอนนี้กูเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมนายเสือถึงไม่ฆ่ามึงตั้งแต่แรก”

วศินหันมามองเมฆด้วยความสนใจ “ทำไมล่ะ ?”

“เพราะมึงไม่เหมือนพวกขุนนางคนอื่น” เมฆตอบ “มึงไม่เคยมองพวกเราเป็นไอ้โจรต่ำตม มึงมองพวกเราเป็นคน”

วศินยิ้มอย่างจริงใจ “ทุกคนคือคน ไม่ว่าจะเกิดในตระกูลไหน ทำอาชีพอะไร”

เมฆพยักหน้า “กูเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมนายเสือถึงเปลี่ยนไปหลังจากที่มึงมาอยู่ที่นี่”

“เขาเปลี่ยนไปเหรอ ?” วศินถามเบา ๆ

“มึงไม่รู้หรอก...” เมฆเหลือบมองไปรอบ ๆ ก่อนจะลดเสียงลง “นายเสือไม่เคยลังเลในการตัดสินใจมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเหมือนคนสับสน บางครั้งกูเห็นเขานั่งเหม่อมองไปทางกระท่อมของมึง”

วศินไม่ได้แสดงความประหลาดใจ เขาเพียงรับฟังอย่างตั้งใจ

“เขาไม่เคยดื่มหนักขนาดนี้มาก่อน” เมฆเล่าต่อ “และไม่เคยหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผล... มึงทำอะไรกับเขา ?”

“ผมแค่ทำให้เขาเห็นด้านอื่น ๆ ของชีวิตบ้าง” วศินตอบอย่างระมัดระวัง “นอกเหนือจากความแค้น”

เมฆพยักหน้าช้า ๆ เหมือนเข้าใจ แม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่ “กูไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีหรอกนะ แต่ตอนนี้มึงกำลังทำลายตัวตนของนายเสือ กำลังทำให้เขาอ่อนแอลง”

“บางทีความอ่อนแอก็ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นในอีกทาง” วศินตอบ “เมื่อยอมรับความอ่อนแอ เราจะพบพลังใหม่ที่ไม่เคยรู้ว่ามี”

“ตอนแรกมึงเหมือนหมอแต่ตอนนี้มึงพูดเหมือนพระ” เมฆพูดติดตลก

วศินหัวเราะเบา ๆ “ตอนเรียนหมอ ผมก็ต้องเรียนเรื่องจิตใจควบคู่ไปกับร่างกาย บางครั้งการรักษาใจสำคัญกว่าการรักษากายเสียอีก”

เมฆทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงฝีเท้าด้านนอกทำให้เขาเงียบลง นิลเดินเข้ามาในกระท่อม

“เมฆ นายเสือเรียกพวกเราไปประชุม มีการเคลื่อนไหวของทหารในเมือง” นิลรายงาน ก่อนจะหันมามองวศิน “นายไม่ต้องไป ยังเป็นเชลยอยู่”

วศินพยักหน้ารับ เขาช่วยพยุงเมฆให้ลุกขึ้นยืน ขาของเมฆเริ่มมีน้ำหนักลงได้แล้ว แม้จะยังต้องเดินกะเผลกอยู่บ้าง

“ขอบใจ” เมฆพูดเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับนิล

วศินมองตามไป ก่อนจะกลับมาเก็บอุปกรณ์ทำแผลให้เรียบร้อย เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนในคุ้มกำลังเปลี่ยนไป และไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เขาเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับอดีตและเสือเฮียวได้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ