ตอนที่ 5 เด็กชายเฮียว

“กูเคยบอกแล้วไง ว่าชีวิตมึงมันเทียบไม่ได้กับการสูญเสียของครอบครัวกู” 

“...” เชลยไม่กล้าพูดอะไร เขารู้ดีว่าพูดอะไรไปก็มีแต่แย่ รอให้อีกฝ่ายถามมาเองแล้วค่อยพูดดีกว่า

“แล้วมึงคิดว่าจะมีใครตามหามึงไหม ?” เสือเฮียวจ้องหน้าวศิน

“คิดว่า... ไม่มี” หมอหนุ่มหลุบตาลงเล็กน้อย

“ทำไมมึงคิดว่าไม่มี ?”

“ผมไม่ได้มีความสำคัญกับครอบครัวขนาดนั้น ตอนนี้พ่อผมยังไม่รู้เลยว่าผมเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ส่วนลุงก็ไม่ได้มาสนใจใยดีอยู่แล้ว คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากลุงก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรทั้งนั้น” วศินรู้สึกไม่มีค่าขึ้นมาเมื่ออยู่ภายในครอบครัวของเขา รู้สึกว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีค่าในฐานะเชลยคนสำคัญ

“แล้วแบบนี้กูจะเก็บมึงต่อรองอะไรกับครอบครัวมึงได้ ในเมื่อตอนนี้กลายเป็นหมาหัวเน่าแล้ว” เสียงของเสือเฮียวเบาลง แต่คำพูดยังถากถางทิ่มแทงอีกฝ่ายเหมือนเดิม 

วศินหัวเราะเบา ๆ เป็นครั้งแรกตั้งแต่โดนจับตัวมา แต่ไม่ได้หัวเราะด้วยความยินดี แต่รู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่า จบหมอมาจากต่างประเทศ แต่ต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าในตระกูลของตัวเอง

“แต่ก็ไม่เป็นไร กูจะใช้ประโยชน์จากมึงให้ได้ การจับมึงมาครั้งนี้ต้องไม่เสียเปล่า มึงต้องเป็นหนึ่งในหมากให้กูได้ล้างแค้นตระกูลเลวระยำของมึง” เสือเฮียวมองผ่านวศินไป ราวกับว่ากำลังคิดถึงวันที่ได้ล้างแค้นตระกูลอมรพิทักษ์ 

หมดธุระแล้วเขาก็ไม่มีอะไรต้องคุยกับลูกศัตรูต่อ เขาก้าวออกมาจากกระท่อมด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและความคิดสับสน 

เขายืนนิ่งอยู่หน้ากระท่อมชั่วครู่ มองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เริ่มสว่างเต็มที่แล้ว ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ รอยแผลบนมือของวศิน ท่าทีที่สงบนิ่ง และน้ำเสียงที่จริงใจ ทุกอย่างขัดแย้งกับภาพของศัตรูที่เขาวาดไว้ในใจมาตลอด

เสือเฮียวยกมือขึ้นลูบแผลเป็นบนใบหน้าตัวเองเบาๆ ความทรงจำเก่า ๆ หวนกลับมา ภาพของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ต้องเห็นครอบครัวถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา 

ความเกลียดชังนั้นหล่อเลี้ยงให้เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่การได้พบกับวศิน ทำให้เขาเริ่มสงสัย ว่าอาจจะมีความจริงบางอย่างที่เขายังไม่รู้ ความจริงที่อาจจะทำให้ภาพการแก้แค้นที่เขาวาดไว้อาจต้องเปลี่ยนแปลง และอาจจะมีคนอีกหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่านี้

เปลวไฟจากกองไฟกลางลานคุ้มโจรยังคงลุกโชนอยู่ แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะแยกย้ายกันไปนอนหรือพักผ่อนแล้วก็ตาม มีเพียงร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่โดดเดี่ยว ดวงตาจับจ้องเปลวไฟแดงส้มที่เต้นระริกตามแรงลม

เสือเฮียวนั่งนิ่ง ความคิดล่องลอยไปไกล กลับสู่อดีตอันขมขื่นที่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม 

ในมือถือขวดเหล้าพื้นบ้านที่พร่องไปเกินครึ่ง การพบเจอกับวศินทำให้ความทรงจำที่เขาพยายามฝังลึกกลับมาปรากฏชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

เขาดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ ปล่อยให้ความร้อนแผดเผาลำคอและหัวใจ ก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้ภาพในอดีตหวนกลับมา...

“เฮียว ! เฮียว ! ตื่นได้แล้ว ไปช่วยพ่อที่นาเร็ว !”

เสียงปลุกของพี่ชายคนโต ดังมาพร้อมกับการเขย่าตัวอย่างแรง ทำให้เด็กชายวัยสิบขวบสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขาขยี้ตาอย่างงัวเงีย ก่อนจะมองไปที่ช่องหน้าต่างไม้ที่แสงอรุณสาดส่องเข้ามาเป็นลำแสงสีทอง

“พี่เอก ยังเช้าอยู่เลย” เด็กชายบ่นงึมงำ พยายามดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมตัวอีกครั้ง

“เช้าแล้วต่างหาก! พ่อออกไปตั้งแต่ไก่โห่ นาข้าวกล้าที่ปลูกเมื่อวานต้องให้น้ำ เอ็งเคยตื่นเช้าบ้างไหม?” พี่ชายหัวเราะพลางดึงผ้าห่มออก “รีบลุก ล้างหน้าล้างตา แม่ทำข้าวเหนียวกับย่างไก่รอแล้ว”

เด็กชายที่ชื่อเฮียวลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยอมทำตาม พี่ชายของเขาที่อายุมากกว่าถึงแปดปี ทำให้พี่ชายที่ชื่อเอกเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของพ่อในการดูแลทั้งไร่นาและธุรกิจของครอบครัว ส่วนเฮียวในวัยสิบขวบยังเป็นเด็กซุกซนที่ชอบเล่นซนมากกว่าทำงาน

บ้านของตระกูลอินทวงศ์เป็นเรือนไม้สักหลังใหญ่ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว้างขวาง มีรั้วรอบขอบชิด และชานบ้านกว้างที่เชื่อมต่อกับใต้ถุนบ้าน ซึ่งใช้เป็นที่เก็บของและพื้นที่ทำงาน 

พ่อของเฮียวเป็นนายอากรผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดูแลที่นาหลายร้อยไร่ และเก็บภาษีส่งให้หลวงตามหน้าที่ ถึงจะถือว่าเป็นคนของหลวง แต่ก็เป็นที่รักของชาวบ้านเพราะความเมตตาและยุติธรรมของเขา

เฮียววิ่งออกจากห้องนอนไปล้างหน้าที่อ่างน้ำใกล้บันได เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาจากห้องครัวที่ตั้งแยกออกไปจากตัวบ้าน ที่นั่นมีแม่ของเขากำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า พร้อมกับพี่สาวคนรองและเด็กรับใช้อีกสองคน 

กลิ่นหอมของข้าวเหนียวที่นึ่งจากหม้อใหญ่และกลิ่นไก่ย่างที่ถูกย่างกับใบตองลอยมาเตะจมูก ทำให้ท้องของเฮียวร้องจ๊อก ๆ

“ตื่นแล้วหรือลูก ?” เสียงของแม่ดังมาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด แล้วมากินข้าว เดี๋ยวไปช่วยพ่อที่นา”

“ครับแม่” เฮียวตอบรับ ก่อนจะวิ่งไปที่โอ่งน้ำริมชานบ้าน ตักน้ำล้างหน้าล้างตาจนสะอาด ชำระร่างกายตามประสาเด็กชายที่รีบร้อน

อาหารเช้ามื้อนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการพูดคุย พี่สาวคนรองเล่าเรื่องงานปักผ้าที่กำลังทำให้ลูกสาวผู้ว่าราชการเมือง พี่ชายคนโตเล่าถึงแผนการปลูกข้าวในฤดูกาลนี้ ส่วนแม่คอยถามไถ่ความเป็นอยู่ของลูก ๆ ทุกคน จนเป็นกิจวัตรประจำวัน ครอบครัวอินทวงศ์เป็นครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะมีฐานะและอำนาจ แต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งความเป็นกันเองและความรักที่มีให้กัน

“พี่เอก วันนี้เราจะไปที่นาตรงไหน?” เฮียวถามพี่ชายขณะตักไก่ย่างเข้าปาก

“นาแปลงใหม่ทางทิศตะวันออก พ่อกำลังจัดระบบน้ำให้ทั่วถึง ปีนี้ฝนมาเร็ว เราต้องเร่งมือหน่อย” พี่ชายตอบพลางห่อข้าวเหนียวเป็นคำ ๆ “แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าเอ็งจะไปช่วย ห้ามไปวิ่งเล่นที่คันนาเหมือนครั้งก่อน พ่อโกรธมากที่ไปทำคันนาพัง”

“วันนี้สัญญาว่าจะช่วยงานจริง ๆ จ้า” เฮียวยิ้มเจื่อน นึกถึงครั้งก่อนที่เขาวิ่งไล่จับกบบนคันนาจนพังเสียหาย ทำให้น้ำไหลผิดทิศทาง

เฮียวและพี่ชายเดินเท้าไปยังผืนนาที่อยู่ห่างจากบ้านไปราวครึ่งชั่วโมง ทุ่งนาของตระกูลอินทวงศ์กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา ส่วนหนึ่งเป็นนาของตระกูลโดยตรง อีกส่วนหนึ่งให้ชาวบ้านเช่าทำกิน โดยแบ่งผลผลิตตามข้อตกลงที่เป็นธรรม ไม่เคยมีการบีบบังคับหรือเอาเปรียบชาวนา ทำให้ตระกูลอินทวงศ์เป็นที่เคารพรักของผู้คนในละแวกนั้น

ตลอดเส้นทาง ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างทักทายพี่น้องทั้งสองด้วยความนับถือ บางคนยกมือไหว้ บางคนก้มศีรษะให้ เฮียวมักจะยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร แม้จะยังไม่เข้าใจถึงสถานะและความรับผิดชอบของตระกูลตนเองอย่างถ่องแท้

“ลูกชายครอบครัวนี้เติบโตขึ้นทุกวัน อีกไม่นานก็จะแข็งแรงเหมือนพ่อแล้ว” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม 

“ผมยังเล็กอยู่เลยลุง แต่โตมาจะเป็นเหมือนพ่อให้ได้” เฮียวตอบพร้อมยิ้มกว้าง

“เจ้าเฮียวจะต้องเป็นคนดีเหมือนพ่อแน่ ๆ” ชายชราตบไหล่เด็กชายเบา ๆ “บอกพ่อของเอ็งด้วยว่าข้าขอบคุณที่ช่วยให้ข้าได้เมล็ดพันธุ์ข้าวใหม่ ปีนี้นาของข้าคงได้ผลผลิตดี”

เมื่อมาถึงผืนนาปลายสุดทางทิศตะวันออก พวกเขาเห็นพ่อกำลังยืนอยู่ท่ามกลางชาวนากลุ่มใหญ่ กำลังอธิบายวิธีการจัดการน้ำในฤดูฝนที่มาเร็วกว่ากำหนด พ่อของเฮียวเป็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวเข้มจากการทำงานกลางแดด ใบหน้าคมเข้มดูเด็ดขาดแต่แฝงไว้ซึ่งความเมตตา ในมือถือไม้ชี้แผนที่น้ำที่วาดไว้บนกระดาษ

“เอก ! เฮียว ! มาพอดี” พ่อเรียกเมื่อเห็นลูกชายทั้งสอง “มาช่วยกันทำคันดินตรงนี้ให้แข็งแรง เราต้องแบ่งน้ำให้นาทุกแปลงได้รับอย่างทั่วถึง”

เฮียวช่วยงานในนาตลอดทั้งวัน แม้จะเหนื่อยและมีช่วงเผลอไปวิ่งเล่นตามประสาเด็ก แต่ก็กลับมาช่วยงานเมื่อถูกเรียก เขาได้เรียนรู้วิธีการทำนา การจัดการน้ำ และความสำคัญของการเป็นผู้นำที่ดีจากพ่อ 

ภาพของพ่อที่คอยช่วยเหลือชาวนา แนะนำวิธีการทำนาที่ดีขึ้น และแบ่งปันความรู้โดยไม่หวงแหน ทำให้เฮียวรู้สึกภูมิใจในตัวพ่อของเขามาก

ยามเย็นเมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ ทุกคนเริ่มเก็บอุปกรณ์เตรียมกลับบ้าน ชาวนาบางคนเดินมาขอบคุณพ่อของเฮียวสำหรับความช่วยเหลือ บางคนนำผลไม้หรือของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ด้วยความเคารพรัก

“พ่อครับ ทำไมชาวบ้านถึงรักพ่อจัง?” เฮียวถามขณะเดินกลับบ้านพร้อมกับพ่อและพี่ชาย

พ่อหัวเราะเบา ๆ ยีผมลูกชายคนเล็ก “พ่อไม่รู้ว่าพวกเขารักพ่อหรือเปล่า แต่พ่อเชื่อว่าถ้าเราดูแลพวกเขา พวกเขาก็จะดูแลเรา เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เฮียว ครอบครัวใหญ่ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน”

“แต่บางคนบอกว่าพ่อเป็นนายใหญ่” เฮียวถามต่อด้วยความสงสัย

“การเป็นนายที่ดีไม่ใช่การกดขี่คนอื่น แต่เป็นการช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น จำไว้นะ อำนาจที่แท้จริงไม่ได้มาจากความกลัว แต่มาจากความรักและความเคารพ” พ่อตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

คำสอนของพ่อในวันนั้นฝังลึกในใจของเฮียว แม้เขาจะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ภาพของพ่อที่ได้รับความเคารพรักจากผู้คนก็เป็นแบบอย่างที่เขาอยากจะเป็นเมื่อโตขึ้น

ชีวิตในบ้านอินทวงศ์ดำเนินไปอย่างสงบสุขและอบอุ่น เฮียวเติบโตท่ามกลางความรักของครอบครัว การศึกษาจากพระที่วัดในหมู่บ้าน และการเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนาและการบริหารที่ดินจากพ่อ ทุกคืนครอบครัวจะรับประทานอาหารร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวของแต่ละคนในวันนั้น หัวเราะและพูดคุยกันอย่างมีความสุข

กระทั่งคืนหนึ่งในฤดูฝน...

ฝนตกหนักตลอดทั้งวัน เสียงฟ้าร้องครวญครางเป็นระยะ สายฟ้าฟาดแสงสว่างวาบผ่านหน้าต่างบ้านเป็นครั้งคราว ครอบครัวอินทวงศ์นั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเช่นเคย แต่บรรยากาศดูตึงเครียดกว่าทุกวัน

“พวกมันจะกล้าทำอย่างนั้นจริง ๆ หรือ ?” เสียงของแม่ถามพ่อเบา ๆ คิดว่าลูก ๆ ไม่ได้ยิน

“ฉันไม่แน่ใจ แต่ข่าวที่ได้มาก็น่ากังวล หลวงอมรพิทักษ์ไม่พอใจที่ฉันปฏิเสธการเก็บภาษีเพิ่ม เขากล่าวหาว่าฉันขัดคำสั่ง” พ่อของเฮียวคิ้วขมวด น่าจะเครียดอยู่ไม่น้อย

“แต่คำสั่งนั้นมันไม่ถูกต้องนะ” พี่ชายคนโตเอ่ยขึ้น “ชาวนากำลังลำบากจากน้ำที่ท่วมนา จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายภาษีเพิ่ม”

“พ่อรู้” พ่อถอนหายใจ “แต่หลวงอมรพิทักษ์มีอำนาจมาก เขาเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากเมืองหลวง”

“แล้วเราจะทำอย่างไร ?” แม่ถามด้วยน้ำเสียงกังวล

“ฉันจะเขียนจดหมายส่งไปที่เมืองหลวง อธิบายสถานการณ์ที่แท้จริง” พ่อตอบ “ฉันสาบานว่าจะปกป้องชาวนาและครอบครัวของเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ”

เฮียวฟังการสนทนาของผู้ใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจนัก เขาเพียงรู้สึกได้ถึงความกังวลที่แผ่ซ่านในบ้าน แต่ในวัยเด็ก เขายังไม่เข้าใจถึงการเมืองและความขัดแย้งระหว่างผู้มีอำนาจ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ