ตอนที่ 6. เมืองเทียนจิน

เดินทางออกมาจากปักกิ่งไม่ไกลเท่าไหร่นักก็ถึงเมืองเทียนจิน ที่ไม่เจริญเท่าปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงแต่ก็พัฒนาจนมีสิ่งอำนวยความสะดวกบ้างแล้ว รถจิ๊ปคันใหญ่แล่นออกจากตัวเมืองไปสู่ถนนลูกรังขรุขระ ฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจายชวนให้เหนียวตัวไปหมด

นั่งรถต่อไปอีกสิบสี่กิโลเมตรก็ถึงหมู่บ้านทูวาซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนจากที่โล่งกว้างและทางเปลี่ยวมาเป็นหมูบ้านขนาดกลางแห่งหนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงเวลายามเย็นแล้ว ควันไฟจากการปรุงอาหารลอยฟุ้งขึ้นเป็นจุด ๆ เพลงปลุกใจรักชาติดังมาจากวิทยุกระจายเสียงของพรรคในหมู่บ้านตามเวลาที่รัฐบาลกำหนดไว้

แสงไฟยามเย็นส่องสว่างตามบ้านและถนน ผู้คนที่เพิ่งกลับจากการทำงานในไร่เดินอยู่บนท้องถนนประปราย ยังมีจักรยานหลายคันที่เพิ่งกลับมาจากท่าเรือซึ่งอยู่ไม่ไกลอีกด้วย บ้านแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว บางหลังยังเป็นบ้านดินมุงฟางอยู่ด้วยซ้ำ อาคารพาณิชที่เป็นห้องแถวมีอยู่ไม่กี่หลัง

ชาวบ้านได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก็พากันยื่นหน้าออกมาดูด้วยความสนอกสนใจ พลันเห็นรถยนต์คนโตจากในเมืองก็ซุบซิบกันใหญ่

บ้านของซ่งหมิงอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวมีลานดินหน้าบ้าน แม้จะดูรกร้างเพราะไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแต่ก็สะอาดสะอ้าน ซ่งหมิงเล่าว่าบ้านหลังนี้มีเพียงเขา คุณยายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวเสียไปตั้งแต่หลายปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้งานที่บ้านตระกูลว่าน จึงไม่ได้กลับมาบ้านเดิมอีกเลย

คนขับรถรับจ้างบอกลาพวกเขา ก่อนจะเดินทางกลับ สองสามีภรรยาป้ายแดงพากันเดินเข้าบ้าน ข้าวของที่ส่งมาก่อนหน้านี้ถูกวางกองอยู่ในมุมหนึ่ง บางส่วนด้านในมีร่องรอยการผุพัง แต่ก็สภาพดีกว่าที่คิดสำหรับบ้านร้างไร้คนอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของห้องนอนใหญ่ที่ถูกทำความสะอาดเป็นพิเศษและเตรียมเครื่องนอนไว้เรียบร้อยแล้ว

ซ่งหมิงบอกว่าคงเป็นลุงเหอกับป้าโจวที่มาช่วยดูแลบ้านให้เดือนละครั้งเป็นคนเตรียมไว้ให้ เพราะเขาส่งจดหมายมาบอกพวกเขาแล้วว่ากำลังจะกลับมาอยู่บ้านเดิม

“อาหมิง อาหมิง !” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซ่งหมิงและว่านอันอันที่เพิ่งสำรวจบ้านเสร็จจึงเดินออกไปดู

เป็นชายอายุประมาณห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งยืนคู่กับผู้หญิงที่น่าจะเป็นภรรยาสวมเสื้อกั๊กสำลีบุนวมบาง ๆ เพราะแถบนี้มักมีลมหนาวหลงฤดูพัดมาบ่อย ๆ อากาศตอนใกล้ค่ำของช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้จึงค่อนข้างเย็น

“ลุงเหอ ป้าโจว” ซ่งหมิงกล่าวทักทายด้วยความสุภาพยิ้มแย้ม ว่านอันอันเองก็ทักทายตามสามี

“ไม่เจอกันนานโตขึ้นเยอะจริง ๆ เลยนะ ยังรู้จักพาเมียสวย ๆ กลับบ้านเราแล้ว ฮ่า ๆ”

“แล้วนี่ดูบ้านแล้วเป็นยังไงบ้างจ้ะ พอจะนอนได้ไหม ถ้าอยู่ไม่ไหวมาพักที่บ้านพวกเราก่อนได้นะ” ป้าโจวเสนออย่างใจดี

ซ่งหมิงหันมองบ้านผุ ๆ ของตนเองแล้วตัดสินใจ

“สำหรับผมสบายมากครับ แต่ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากผมก็ขอฝากภรรยาไว้ที่บ้านป้าโจวสักคืนหนึ่งได้ไหมครับ”

ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบตกลง ว่านอันอันก็จับมือเขาบีบแน่นส่งยิ้มไม่ถึงดวงตาให้เสียก่อน

“หมายความว่าไงคะสามี เข้าหอคืนแรกก็จะโยนฉันไปนอกห้องแล้วเหรอ ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่รอยรั่วในบ้านมีมาก ผมกลัวว่าคุณจะหนาว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะซ่อมบ้านให้เรียบร้อยแล้วรีบไปรับคุณกลับมานะครับ”

“ไม่เอา ฉันจะอยู่ที่นี่ด้วย”

“แต่ว่า...”

“เอ๊ะ !” ว่านอันอันส่งเสียงขัดถลึงตาใส่จนซ่งหมิงไม่กล้าเถียงต่อ ในใจแอบสงบลงเล็กน้อย

นี่สิถึงจะคล้ายคุณหนูอันอันที่เขารู้จัก อาการสงบเสงี่ยมนิ่งเฉยราวคนผ่านเรื่องราวมามากมายตลอดเวลาที่เดินทางมาทำเขาไม่ชินเอาเสียเลย

“เอาหน่า ๆ เมียแกก็แค่อยากนอนกับแก จะเป็นอะไรไปเล่าอาหมิง เป็นคนหนุ่มสาวกอดกันไปกอดกันมาเดี๋ยวก็ไม่หนาวแล้วล่ะ” ป้าโจวพูดล้อเลียนจนสองหนุ่มสาวหน้าร้อนผ่าว ลุงเหอหัวเราะตามก่อนจะเอ่ยจุดประสงค์ของตน

“ที่มานี่ก็จะชวนไปกินข้าว เย็นย่ำขนาดนี้แล้วไปหาของกินที่ไหนไม่ได้แล้วล่ะ วันนี้ก็ไปกินข้าวเย็นกับพวกลุงก่อนเถอะ”

“แล้วไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันนะ ยายซ่งน่ะเป็นผู้มีพระคุณของพวกฉัน ก่อนจะเสียฝากฝังอาหมิงไว้มากมาย รีบเก็บของแล้วตามไปที่บ้านเร็ว ๆ ล่ะ”

ไม่รอฟังคำตอบสองสามีภรรยาเพื่อนบ้านก็เดินจากไปแล้ว ซ่งหมิงและว่านอันอันจึงกลับไปสวมเสื้อคลุมกันลมเพิ่มอีกชั้นก่อนจะไปที่บ้านเหอ อาหารสี่อย่างถูกเตรียมไว้ต้อนรับ มีทั้งหมูผัดพริก น้ำแกงหัวไชเท้า ผักดองและหมันโถวขาว

ตั้งแต่ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง นี่เป็นมื้ออาหารที่ทำให้ว่านอันอันรู้สึกอิ่มเอมที่สุด น้ำแกงจืด ๆ รสชาติธรรมดากลับอุ่นวาบไปยังกระเพาะและหัวใจของเธอ เป็นมื้อแรกที่ไม่สะดวกสบายแต่กลับโอบล้อมไปด้วยความสบายใจ

และเป็นมื้อแรกที่เธอและซ่งหมิงได้ทานอาหารด้วยกัน

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ