จี้ชิงหยางรอกระทั่งภรรยาคนงามเก็บสำรับพวกนั้นกลับไปที่ห้องครัวแล้วล้างจนสะอาด เขาถึงเดินไปห้องหนังสือกับนางด้วยกัน ระหว่างทางนั้นไม่มีใครพูดสิ่งใดขึ้นมาราวกับยังตกอยู่ในความคิดของตนเอง มีเพียงสายลมแผ่วเบายามค่ำคืนที่พัดพาผ่านร่างทั้งสองให้แนบชิดกันผ่านเส้นผมที่ปลิวสยาย
เซี่ยลี่เจินนั้นกำลังคิดวนเวียนในหัวว่ามีสิ่งใดที่ช่วงนี้นางทำให้เขาไม่พอใจหรือไม่ ฟากจี้ชิงหยางนั้นก็เอาแต่คิดเรื่องยาสมานแผลไม่ห่าง แม้มือของนางจะมีร่องรอยจากการทำงานหนักอยู่บ้างแต่ก็ไม่ควรจะมีแผลเป็นเลยสักเสี้ยวเดียว
จี้ชิงหยางเปิดประตูเรือนออกกว้าง รอจนภรรยาเดินเข้าไปด้านในเขาถึงได้เดินตามเข้าไป มือใหญ่กวักเรียกภรรยาตัวน้อยให้เข้าไปใกล้ เขามองท่าทางระแวดระวังนั้นอย่างเอื้อเอ็นดู ดวงตาอ่อนแสงลง
“มาเถอะ ข้าไม่ได้จะดุเจ้าเสียหน่อย”
เซี่ยลี่เจินได้ยินดังนั้นก็ใจชื้นขึ้น รีบเดินเข้าไปหาเขา “ท่านพี่พาข้ามาที่นี่มีสิ่งใดจะกล่าวหรือเจ้าคะ”
ทว่าจี้ชิงหยางกลับก้มหยิบตลับยาเก่า ๆ ในหีบเล็กข้างโต๊ะอ่านหนังสือขึ้นมาแทน เขายื่นมือใหญ่มาตรงหน้านาง รออยู่นานสองนานนางก็ไม่ยอมยื่นมือมาให้เขาเสียที
จี้ชิงหยางพูดขำ ๆ “มือเจ้า”
เซี่ยลี่เจินสะดุ้งตัวโยน รีบยื่นมือทั้งสองให้เขาทันที จี้ชิงหยางจับมือที่มีรอยแผลนั้นขึ้นมา เขาเปิดตลับยาออกนิ้วป้ายเอาตัวยาเย็นสบายทาลงบนรอยแผลมีดบาดของนางก่อนจะหยิบผ้าสีขาวสะอาดที่เก็บไว้ในหีบเดียวกันพันแผลให้นางอย่างเบามือ
เซี่ยลี่เจินนั้นนิ่งค้างไปแล้ว นางไม่คิดไม่ฝันว่าการแตะตัวครั้งแรกระหว่างนางกับบุรุษจะเป็นสถานการณ์ที่สามีกำลังพันแผลมีดบาดจากการทำครัวให้นาง มือใหญ่คู่นั้นที่กอบกุมมือนางไว้ช่างอบอุ่นเสียจนร้อนลวกไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เซี่ยลี่เจินหัวใจเต้นแรงเสียจนใบหน้านางร้อนผ่าวเป็นสีแดงจัด นางหลุบสายตาลงอย่างขวยเขิน
และเหมือนกับว่านางเพิ่งเคยเห็นมือคู่นั้นชัดถนัดตาเป็นครั้งแรก มือของสามีก็หยาบกร้านไม่ได้ต่างจากนางเลยแม้แต่น้อย ดูท่ามือเขาจะมีรอยแผลที่กดลึกพวกนั้นมากกว่านางเสียอีก เซี่ยลี่เจินเอียงคอ หรือเป็นเพราะเขามักจะออกธุดงค์กับพระอาจารย์จนต้องหุงข้าวหุงปลากินเองอย่างที่นางทำในเรือนครัวกัน
จี้ชิงหยางไม่ได้สังเกตสีหน้าท่าทางของภรรยาที่แทบจะเปลี่ยนไปในทุกเวลา เขาตรวจดูบาดแผลจนพอใจก็ส่งมือนางกลับคืน ยกยิ้มจาง “ข้าทายาบนแผลให้แล้ว ทาซ้ำทุกวันไม่เกินเจ็ดวันเดี๋ยวก็หายดี ไม่เหลือรอยแผลเป็นไว้ให้เจ้าระคายสายตาแน่นอน”
เซี่ยลี่เจินยกมือที่มีผ้าพันแผลพันอยู่สองสามจุดขึ้นลูบเบา ๆ นางช้อนสายตาขึ้นสบเขา ริมฝีปากบางสวยแย้มยิ้มกว้าง “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
จี้ชิงหยางเก็บกล่องพวกนั้นลงที่เดิม เขาคิดจะพานางมาทายาที่นี่ทุกวันจึงไม่ได้ให้หีบยานางไป หากให้นางไปทาเอง ไม่พ้นวันยาพวกนั้นคงหมดทั้งตลับส่วนผ้าพันแผลก็คงหนาเตอะจากขนาดยาที่พอกไว้มากเกินไป เขามองท้องนภากว้างด้านนอกหน้าต่าง มันมืดเสียจนเห็นพระจันทร์ลอยเด่นชัดถนัดตา
“เจ้ากลับไปนอนเถอะ ข้ายังมีงานต้องสะสางอยู่บ้าง คงจะนอนที่นี่เลย”
เซี่ยลี่เจินนั้นชินแล้ว เพราะบางวันสามีของนางก็นอนที่นี่ บางวันเขาก็กลับไปนอนที่เรือนแต่ทุกครั้งเขาจะส่งคนมาบอกหรือไม่ก็บอกนางด้วยตนเอง แม้ท่านแม่จะสอนสั่งว่านางควรนอนทีหลังและตื่นก่อน แต่ในเมื่อสามีของนางไม่เดือดร้อนแล้วนางจะเดือดร้อนทำตามไปใยกัน
นางพยักหน้ารับ ยอบกายทำความเคารพเขา “เจ้าค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะเจ้าคะ”
จี้ชิงหยางมองแผ่นหลังบอบบางที่เดินใกล้พ้นประตูห้องหนังสือ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าเขาคิดอันใดขึ้นมาถึงได้ออกปากไป “พรุ่งนี้อยากออกไปตลาดกับข้าหรือไม่”
เซี่ยลี่เจินที่กำลังจะเดินกลับเรือนนั้นรีบหันกายกลับมา นางเดินเข้ามาใกล้เขา มือเผลอยกขึ้นจับแขนเสื้อกว้างนั่นอย่างลืมตัว “ข้าไปได้หรือเจ้าคะ!”
จี้ชิงหยางหลุบสายตามองมือที่จับแขนเสื้อเขาไว้แน่น หากจะปฏิเสธตอนนี้ก็คงจะดูใจร้ายเหลือทน “อืม หากจะไปก็มารอข้าหน้าจวนปลายยามเหม่า (05.00 - 06.59) ก็แล้วกัน”
เซี่ยลี่เจินรับคำเสียงใส “เจ้าค่ะท่านพี่”
เช้าวันถัดมา เซี่ยลี่เจินมารอสามีหน้าจวนตั้งแต่ต้นยามเหม่า (05.00 - 06.59) ไม่ว่าชุนเอ๋อร์จะเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไปนอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล
สาวใช้ที่ยืนถือร่มด้านข้างมีสีหน้าไม่พอใจ นางกล่าวอย่างแง่งอน “ฮูหยิน ท่านเขยบอกให้มารอปลายยามเหม่า ท่านมายืนรอตั้งแต่ต้นยามเหม่าเช่นนี้ หากท่านเขยพาท่านไปนู่นมานี่จะไม่เหนื่อยแย่เอาหรือเจ้าคะ”
เซี่ยลี่เจินยังยืนชะเง้อคออยู่หน้าประตูจวน “ไม่เหนื่อยหรอก ข้าเดินไหว”
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านเหลียนจงที่นางจะได้ออกไปด้านนอกจวนตนเอง เมื่อก่อนตอนที่นางยังอาศัยอยู่ซันไห่นั้นก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนด้วยท่านพ่อเป็นห่วง กลัวจะมีพวกสายลับของชนเผ่านอกด่านมาลักพาตัวนางไปจึงไม่เคยได้ย่างเท้าออกจากค่ายทหารแม้แต่ก้าวเดียว หรือต่อให้ได้ออก นางก็จะมีองครักษ์ตามมาเป็นพรวน พ่วงด้วยพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองที่ตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่
นึกมาถึงตรงนี้ ใบหน้างดงามก็พลันซีดเผือดลง นางอาจจะดูเป็นคนที่พูดถึงพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองได้ง่ายดายกว่าคนอื่น แต่ในใจนางนั้นเจ็บปวดมากเท่าไหร่นางย่อมรู้ตนเองดีที่สุด พี่ใหญ่ตัวโตดุจยักษ์ค้ำฟ้าแต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนและเมตตากรุณา เขามักจะพานางไปเดินเล่นและเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้นางฟังอยู่เสมอด้วยกลัวนางเบื่อที่เอาแต่อุดอู้อยู่ในค่ายทหารที่กฎระเบียบมากมายเกินกว่าเด็กเช่นนางจะรับไหว
ฟากพี่รองนั้นแม้จะตัวเล็กกว่าพี่ใหญ่แต่จิตใจห้าวหาญยิ่ง เขามักจะแอบพานางไปฝึกวรยุทธอยู่หลายครั้งหลายคราด้วยต้องการให้นางป้องกันตนเองได้ แต่หลังจากโดนท่านพ่อจับได้เป็นครั้งที่เจ็ด พี่ชายรองก็ถูกทำโทษโดยการส่งไปปราบโจรภูเขาและหลังจากนั้นนางก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลย
แม้พี่ชายคนอื่น ๆ จะดีกับนางมาก แต่นางก็คิดถึงพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองสุดหัวใจ
“ฮูหยินเจ้าคะ”
เซี่ยลี่เจินดึงตนเองออกจากความคิดพวกนั้น นางหันมองใบหน้าชุนเอ๋อร์ที่มีประกายตาแปลกประหลาด “ว่าอย่างไร”
“ท่านเขยมาแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยลี่เจินหันไปมองด้านในจวน สามีนางเดินออกมาจากห้องหนังสือในชุดเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนตัวยาวปักลายไผ่ด้วยดิ้นเงินราคาแพง เซี่ยลี่เจินมองชุดนั้นด้วยความภาคภูมิใจ มันเป็นชุดของพี่รองที่นางดึงดันจะนำกลับมาด้วย ครั้งแรกที่นางเห็นจี้ชิงหยางนางก็คิดถึงชุดนี้ขึ้นมาทันที คนที่มีรูปลักษณ์เป็นบัณฑิตคงแก่เรียนเช่นเขา อย่างไรก็คงสวมใส่เหมาะกว่าชายชาตินักรบอย่างพี่รอง
จี้ชิงหยางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงสวมใส่ชุดนี้ออกมา เพียงแต่เมื่อเขานึกถึงนางที่เมื่อคืนรีบวิ่งกลับมากลางดึกพร้อมยื่นชุดนี้ให้ด้วยใบหน้าเอียงอาย มือที่กำลังจะหยิบชุดเสื้อคลุมสีขาวตัวเก่าขึ้นมาสวมก็พลันเปลี่ยนใจ เสไปหยิบชุดราคาแพงที่ชาตินี้ทั้งชาติเขาไม่คิดจะซื้อขึ้นมาสวมใส่เงียบ ๆ
จี้ชิงหยางกระแอมไอ “เจ้าพร้อมหรือยัง”
“พร้อมเจ้าค่ะ”
จี้ชิงหยางพยักหน้า “งั้นก็ไปเถอะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?