หลังจากแต่งงานครบเจ็ดวัน หนังสือแต่งตั้งตำแหน่งก็มาถึง จี้ชิงหยางมองตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดในหนังสือแต่งตั้งด้วยสายตานิ่งเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึกจนขุนนางที่ทำหน้าที่ส่งมอบหนังสือตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ จี้ชิงหยางยกยิ้มบาง ประสานมือคารวะขุนนางผู้นั้นก่อนจะหันกายเดินเข้าจวนพระราชทาน ออกปากบอกภรรยาให้เตรียมตัวกลับบ้านเกิดเขาในวันรุ่งขึ้นทันที
ฟากท่านแม่ทัพอู๋ซานนั้นรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่มีคำสั่งแต่งตั้งลงไปเขาก็จัดการส่งสาวใช้ฝีมือดีไปให้บุตรสาวเกือบสิบคนซ้ำยังมีพ่อบ้านที่เคยผ่านการทำงานในจวนขุนนางมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบปีให้นางอีกคนหนึ่ง ไหนจะคนงานยกของ คนสวน คนผ่าฟืนที่เขาคิดว่าจำเป็นและเครื่องเรือนราคาแพงทั้งหลายที่เขาเตรียมไว้ให้
จี้ชิงหยางมองใบหน้าดีอกดีใจของภรรยาก่อนจะหันไปทางพ่อบ้านอู่ที่เป็นคนนำสิ่งของจากจวนเว่ยชินอ๋องมามอบให้ เขาค้อมศีรษะลง “ฝากพ่อบ้านอู่เรียนท่านแม่ทัพว่าของพวกนี้ข้าซึ้งในน้ำใจยิ่ง แต่คงจะรับไว้ทั้งหมดไม่ได้ บ้านเกิดข้าเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ คงไม่มีที่ทางให้คนทั้งหมดอยู่ได้หรอกขอรับ”
ทว่าคนฟังกลับตีความไปอีกอย่างหนึ่ง พ่อบ้านอู่รอยยิ้มจืดจางลง เขายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อบนหน้าผาก พยายามกล่าวประนีประนอม “ท่านเขย สิ่งของพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ท่านแม่ทัพและฮูหยินเตรียมไว้ให้คุณหนูตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก ๆ ครั้นตัดใจส่งนางออกเรือนได้ก็รีบส่งตามมาให้ ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกท่านเลยแม้แต่น้อย”
จี้ชิงหยางส่ายศีรษะแผ่วเบา “พ่อบ้านอู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าโดนเหยียดหยามเลยแม้แต่น้อย กลับกันข้ารู้สึกดียิ่งที่ครอบครัวภรรยารักใคร่หวงแหนนางเป็นอย่างมาก เพียงแต่พื้นที่บ้านเกิดข้านั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากจะพาคนไปทั้งหมดก็มีแต่ต้องนอนเบียดเสียดกันแล้ว”
เซี่ยลี่เจินที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดก็พลันคิดตาม หลายวันมานี้แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมากนักด้วยเขามีงานวุ่นวายเสียเหลือเกิน แต่จี้ชิงหยางก็ยังเจียดเวลาส่วนหนึ่งเพื่ออธิบายเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขาให้นางฟัง เซี่ยลี่เจินเอียงคอ ลุกจากเก้าอี้เดินไปหาพ่อบ้านอู่
“พ่อบ้านอู่ ทำตามที่สามีข้าว่าเถอะ” นางยกยิ้ม “ที่ทางพร้อมเมื่อไหร่ไว้ข้าจะส่งจดหมายให้ท่านแม่อีกทีแล้วกัน”
พ่อบ้านอู่มองทั้งสองคนสลับกัน เขาพลันถอนหายใจเฮือก “ขอรับคุณหนู” พ่อบ้านอู่ชะงัก “ขออภัยขอรับ ข้าเสียมารยาทแล้วฮูหยิน”
หลังจากแต่งงาน นางก็ถูกเรียกขานว่าคุณหนูไม่ได้อีก ทว่าเซี่ยลี่เจินไม่ใส่ใจนางโบกมือให้พ่อบ้านอู่ “ช่างเถอะ เจ้าจะเรียกข้าอย่างไรก็ได้ ข้าไม่ถือหรอก”
จี้ชิงหยางมองของพวกนั้นที่กองอยู่เต็มห้องโถงสลับกับมองภรรยาตนเองที่ยืนคุยเรื่องหยุมหยิมกับพ่อบ้านอย่างออกรสออกชาติ ชั่วขณะนั้นเขาก็พลันรู้สึกว่าตนเองออกจะใจร้ายกับองค์หญิงเช่นนางอยู่บ้าง เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอนุญาตแค่สาวใช้หนึ่งคนกับคนงานอีกสามคน รถม้าสองหลัง เจ้าไปเลือกเอาเองเถอะ”
เซี่ยลี่เจินหันมองสามี ดวงตากลมโตของนางเป็นประกาย “ขอบคุณเจ้าค่ะ” กล่าวจบก็เดินเข้าไปวุ่นวายกับสาวใช้ยกใหญ่
พ่อบ้านอู่มองภาพนั้นยิ้ม ๆ เขาค้อมศีรษะให้จี้ชิงหยางมือประสานขึ้นคำนับ “ขอบคุณขอรับท่านเขย ข้าคงต้องขอตัวไปรายงานท่านแม่ทัพก่อน”
“พ่อบ้านอู่รักษาตัวด้วย”
วันรุ่งขึ้นดวงตะวันยังไม่ทันขึ้น ขบวนเดินทางของท่านจอหงวนและองค์หญิงก็เดินทางออกจากจวนพระราชทานแล้ว จะกล่าวว่าขบวนเดินทางก็กล่าวได้ไม่เต็มปากนักในเมื่อทั้งคณะมีเพียงรถม้าแค่สองคัน ถึงมันจะเป็นรถม้าที่ทำมาจากไม้ราคาแพงและม้าที่เทียมไว้ก็เป็นม้าที่มีลักษณะดีตรงตามตำราอย่างหาได้ยาก แต่รถม้าแค่สองคันก็ออกจะไม่สมฐานะองค์หญิงสักเท่าไหร่ไม่ใช่หรือ
เซี่ยลี่เจินนั่งอยู่ในรถม้าคันหน้า ส่วนอีกคันนั้นนางขนสินเดิมของตนเองพ่วงด้วยของกำนัลงานแต่งที่ได้รับจากครอบครัวบรรจุไว้เต็มจนแทบจะล้นออกมา ใช่ว่านางอยากจะขนของไปมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่สามีก็กล่าวไว้แล้วว่าที่ทางคับแคบ แต่ของพวกนั้นล้วนเป็นของที่มีคุณค่าทางใจ นางไม่สามารถตัดใจทิ้งไว้เมืองหลวงแม้แต่ชิ้นเดียว
จี้ชิงหยางที่นั่งอยู่บนหลังม้านั่นกำลังไพล่นึกไปถึงบทสนทนาที่แม่ทัพอู๋ซานเรียกเขาไปคุยเมื่อวานเย็น ดูท่าพ่อตาคงจะทำการสืบประวัติเขาย้อนไปถึงตอนที่ยังเป็นทารก อ่านรายงานพวกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงได้เลือกเขาเป็นบุตรเขย
ท่านแม่ทัพอู๋ซานเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านคงไม่มีจวนที่บ้านเกิดเป็นของตนเองใช่หรือไม่”
จี้ชิงหยางที่เร่งรีบมาถึงจวนเว่ยชินอ๋องพลันชะงัก เขานั่งลงช้าๆ พยักหน้ารับ “ขอรับ ข้าอาศัยอยู่ที่วัดมาโดยตลอดจึงไม่เคยมีจวนเป็นของตนเองขอรับ”
เซี่ยเว่ยพยักหน้ารับ เขารู้เรื่องนี้ดีและรู้ด้วยว่าจี้ชิงหยางบุตรเขยของเขานั้นปฏิเสธความเมตตาจากฮ่องเต้และองค์รัชทายาทที่เป็นฝ่ายออกหน้าจะสร้างจวนที่บ้านเกิดให้อย่างไม่ไยดี อ้างว่าต้องรอให้พระอาจารย์กลับจากธุดงค์และเป็นคนวางฮวงจุ้ยให้เขาถึงจะสบายใจ จนทำให้องค์รัชทายาทมีโทสะขึ้นมาอีกรอบ
แท้จริงแล้ว จี้ชิงหยางไม่สนใจเรื่องฮวงจุ้ยเลยสักนิด แต่เขาไม่รู้ว่าหากตกปากรับความเมตตาจากผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองแล้วจะมีใครเล่นสกปรกกับจวนของเขาหรือไม่ เขาตกปากรับการแต่งงานกับเซี่ยลี่เจินก็เท่ากับอ้าปากตะโกนประกาศว่าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับองค์รัชทายาท เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่รับถึงจะดีที่สุด
“ข้าส่งคนล่วงหน้าไปแล้ว เขาจะไปหาจวนเช่าไว้ให้ท่านก่อน หากสร้างบ้านเสร็จเมื่อไหร่ค่อยคืนจวนก็ได้”
จี้ชิงหยางแม้จะไม่ชอบใจกับการกระทำมัดมือชกของเซี่ยเว่ยนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าที่อีกฝ่ายทำเพราะชีวิตของบุตรสาวอย่างเซี่ยลี่เจินผูกติดอยู่กับเขา หากเขาไม่มีที่อยู่นางก็คงไม่มีที่อยู่ด้วย และคนอย่างเว่ยชินอ๋องไม่มีวันยอมให้บุตรสาวต้องตกระกำลำบากกินนอนในวัดเป็นแน่
“ขอรับ ขอบคุณท่านพ่อตาที่มีใจห่วงใย”
จี้ชิงหยางกะพริบตา บทสนทนานั้นพลันลอยปลิวไปกับสายลม เขาเหลือบสายตาไปทางด้านหลัง เห็นภรรยาที่ไม่เคยออกนอกเส้นทางปกติมาก่อนแอบเลิกม่านรถม้าขึ้น ดวงตาดอกท้องดงามคู่นั้นกวาดมองรอบบริเวณอย่างสงสัยใคร่รู้
หากเป็นสามีบ้านอื่น เซี่ยลี่เจินคงถูกเอ็ดตะโรยกใหญ่ แต่กับจี้ชิงหยาง เขาพอมีความรู้สึกสงสารนางอยู่บ้าง เติบโตในจวนเว่ยชินอ๋องมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงกงจู่แต่บิดากลับไม่ถูกกับผู้ครองบัลลังก์จนทำให้ถูกกดหัวไว้ทุกทาง
ซ้ำร้ายยิ่งเติบโตนางยิ่งงามเพริศแพร้วจนลูกพี่ลูกน้องที่นางรักหนักหนานั่นก็คิดใช้นางเป็นหมากในมือแสวงหาอำนาจ เว่ยชินอ๋องที่ตื่นกลัวจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บบุตรสาวไว้ใกล้สายตา อนุญาตให้นางเดินทางไปมาระหว่างซันไห่และเมืองหลวงเท่านั้น เมืองอื่น ๆ ที่มักจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องความสวยงาม องค์หญิงเช่นนางยังไม่มีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา
จี้ชิงหยางเบนสายตากลับไป เขามองทางที่เต็มไปด้วยผิวดินขรุขระและก้อนหินแข็งพวกนั้นก็พลันถอนหายใจเบา ๆ มีรถม้าที่บรรจุคนและของไว้เยอะเช่นนี้ คงอีกนานกว่าจะถึงหมู่บ้าน
ชุนเอ๋อร์ที่นั่งเรียบร้อยอยู่กับพื้นรถม้าชะโงกศีรษะออกไปด้านนอก มองท่านเขยที่นำขบวนเสียห่างอย่างไม่ชอบใจนัก นางเก็บสายตากลับมา กระซิบกับเจ้านายสาว “ฮูหยิน ไม่เรียกท่านเขยเข้ามานั่งด้วยกันหรือเจ้าคะ”
เซี่ยลี่เจินหันมองบ่าวคนสนิท เรียวคิ้วสวยขมวดเป็นปม “ข้าต้องเรียกเขาเข้ามาด้วยหรือ”
อาจจะเป็นเพราะบางทีเซี่ยลี่เจินไม่เคยคิดสิ่งใดด้วยตนเองมาก่อน นางมักจะฟังคำบิดามารดาและปฏิบัติตามคำสั่งพวกนั้นอย่างเคร่งครัด หลังจากที่นางออกเรือนก็ไม่มีท่านทั้งสองมาคอยชี้นิ้วสั่งอีก จึงทำให้การวางตัวของนางยังดูแปลกประหลาดในสายตาบ่าวรับใช้อยู่บ้าง
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารัวแรง “ต้องสิเจ้าคะ ท่านเขยเป็นสามีท่านก็ต้องอยู่ในรถม้ากับท่านสิเจ้าคะ”
เซี่ยลี่เจินเอียงคอ แอบมองแผ่นหลังกว้างของสามีอีกครั้ง ในใจพลันรู้สึกชื่นชมเขาขึ้นมา จี้ชิงหยางรูปร่างบอบบางคล้ายบัณฑิต แตกต่างจากพี่สามและพี่ใหญ่อยู่บ้างแต่ผ่านมาร่วมสองชั่วยามเขาก็ยังคงหลังตั้งตรง บังคับม้าได้สง่างามท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างเย็นและแดดแรงจัดนั่นอีก
นางยกยิ้ม ปิดม่านลง “เขาคงชอบขี่ม้า ปล่อยเขาขี่ม้าไปเถอะ”
เมื่อผ่านมาได้ครึ่งทาง ในที่สุดจี้ชิงหยางก็ยอมให้ผู้คนที่เริ่มเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางได้นั่งพักและเริ่มรับประทานอาหาร ชุนเอ๋อร์เปิดประตูรถออกกว้างก่อนจะลงมายืนกับพื้นดิน ส่งมือพยุงนายสาวของนางลงจากรถม้า
บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาจากจวนพระราชทานนั้นมองฮูหยินของตนเองที่แล่นปรี่เข้าไปหาท่านจอหงวน ใบหน้างดงามอาบย้อมไปด้วยความสุขล้นจนมันฉายชัดไปทั้งแววตานาง สลับกับมองนายท่านที่มีใบหน้านิ่งเรียบซ้ำยังถามคำตอบคำ
บ่าวคนหนึ่งมองจี้ชิงหยางด้วยสายตาแปลกประหลาด หากเขามีภรรยางดงามและอ่อนหวานเช่นนั้นจะยอมทรมานตนเองด้วยการขี่ม้ากลางแดดจัดตั้งสองสามชั่วยามทำไมกัน เขาคงกกกอดนางไว้ในอ้อมแขนตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงโน่นแล้ว
เซี่ยลี่เจินไม่สนใจสายตาผู้อื่น นางสนใจเพียงเขาเท่านั้น ร่างกายบอบบางทรุดลงนั่งบนขอนไม้สกปรกด้านข้างสามีอย่างไม่รังเกียจ เอ่ยถามเสียงใส “สามี ปกติแล้วท่านเดินทางผ่านทิวทัศน์สวยงามเช่นนี้ตลอดเลยหรือ”
มือที่กำลังแกะห่ออาหารแห้งชะงักไป จี้ชิงหยางหวนนึกไปถึงเรื่องราวหนหลังที่เขาเคยได้ออกธุดงค์กับอาจารย์ มุมปากหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ “อืม เมื่อก่อนข้าเดินทางผ่านเหนือล่องใต้ พบเจอทิวทัศน์มามาก” เขายื่นห่ออาหารให้นาง “แต่ไม่มีที่ไหนจะงดงามได้เท่าภูเขาที่บ้านเกิดข้าอีกแล้ว”
เซี่ยลี่เจินยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ นางเขยิบกายเข้าหาเขาโดยไม่รู้ตัว “ท่านพาข้าไปดูได้หรือไม่ ซันไห่ของท่านพ่อเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ข้าไม่เคยเห็นภูเขามาก่อนเลยในชีวิต”
“หลังจากไปคารวะอาจารย์ ข้าจะพาเจ้าไปก็แล้วกัน” จี้ชิงหยางเว้นช่วงไป เขาเหลือบสายตามองภรรยาสาวอีกครั้ง “อีกอย่าง ซันไห่ไม่ใช่พื้นที่ราบลุ่มแต่เป็นพื้นที่ทุ่งหญ้า เจ้าจำสลับกับพื้นที่ทางตะวันออกแล้ว”
นางเอียงคอ ถามต่ออย่างสงสัย “แล้วพื้นที่ราบลุ่มแตกต่างจากพื้นที่ทุ่งหญ้าอย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อก็มีดินมีหญ้าเช่นกัน”
จี้ชิงหยางถอนหายใจ ตั้งแต่แรกพบที่ได้พูดคุยกันเขาก็รับรู้ได้ว่าสติปัญญาของนางออกจะต่ำต้อยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าแม้แต่เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ นางก็ยังเข้าใจสลับกันไปเสียได้ ถึงอย่างนั้นจิตวิญญาณบัณฑิตในตัวก็ทำให้เขากลืนความคิดอย่างส่งนางกลับจวนเว่ยชินอ๋องลงท้อง และตั้งใจอธิบายความแตกต่างระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ ให้นางฟัง
เซี่ยลี่เจินนั้นไม่ชอบอ่านตำรับตำราที่ให้ความรู้แต่ชอบฟังเป็นที่สุด นางตั้งอกตั้งใจฟังเขา ดวงตาดอกท้อจับจ้องไปที่ริมฝีปากหยักได้รูปของสามีไม่วางตา หูสดับฟังเสียงนุ่มทุ้มนั่นพูดเรื่องยาวเหยียดพวกนั้นได้อย่างลื่นไหล ใบหน้างดงามของนางประดับรอยยิ้มไว้ตลอดเวลาถึงแม้จะมีบางส่วนในประโยคพวกนั้นที่นางไม่เข้าใจแต่เซี่ยลี่เจินก็ยังคงมีความสุขที่ได้พูดคุยกับสามีตนเอง
จี้ชิงหยางจัดการห่ออาหารของตนเองจนหมดสิ้น เขาลุกขึ้นยืน “เจ้ากลับไปบนรถม้าเถอะ ออกเดินทางช้ากว่านี้ประเดี๋ยวถึงหมู่บ้านมืดค่ำแล้วจะลำบาก”
เซี่ยลี่เจินยิ้มรับ “เจ้าค่ะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?