ป้าเหนียงนั้นเห็นจี้ชิงหยางมาตั้งแต่เขายังเล็ก ๆ ถึงแม้จะเกร็ง กับภรรยาของจอหงวนผู้นี้บ้างแต่นางก็ยังเอื้อเอ็นดูอยู่ไม่ใช่น้อย ภรรยาของจี้ชิงหยาง ไม่ว่าจะพิศมองจากมุมไหนในสายตาของนางก็รู้สึกว่าฮูหยินผู้นี้งามไปทุกสัดส่วน ผิวพรรณงาม ใบหน้างาม ดวงตางาม ไรฟันพวกนั้นก็ยังงดงาม ซ้ำฝ่ามือทั้งสองข้างที่ทั้งบอบบางและนุ่มนิ่มเสียขนาดนั้น ดูก็รู้ว่าไม่เคยต้องงานหนักมาก่อน
คงเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงสักคนในเมืองหลวงนั่นแล
ป้าเหนียงหันไปทางเซี่ยลี่เจิน นางยกยิ้มกว้าง “ไปกันเลยไหมเจ้าคะ ฮูหยิน”
เซี่ยลี่เจินพยักหน้ารับราวกับเป็นเด็ก ๆ จนป้าเหนียงเพิ่มความเอ็นดูให้นางเสียหลายส่วน เซี่ยลี่เจินหันไปทางจี้ชิงหยาง ค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย “ข้าไปก่อนนะเจ้าคะท่านพี่”
จี้ชิงหยางยิ้มบาง “ไปเถอะ”
ป้าเหนียงพานางไปยังส่วนครัวที่ตั้งออกไปไม่ไกล เพราะจวนนี้เล็กนักเดินไม่กี่สิบก้าวก็ถึงเรือนที่ปลูกไว้ทำครัวแล้ว หากเป็นจวนชินอ๋องเกรงว่าต้องเดินไกลถึงชั่วจิบชาถึงจะพบเรือนครัว ป้าเหนียงไม่ชอบให้มีคนมาวุ่นวายเวลานางทำอาหาร สาวใช้คนอื่น ๆ ที่ท่านแม่ทัพอู๋ซานแอบซื้อไว้แล้วส่งมาที่นี่จึงถูกส่งไปทำหน้าที่อื่นเสียหมด
ป้าเหนียงทิ้งฮูหยินไว้ที่ม้านั่งตัวใหญ่ ส่วนตัวนางนั้นเดินหายลับเข้าไปภายในก่อนจะกลับออกมาพร้อมข้าวของที่เต็มไม้เต็มมือ ชุนเอ๋อร์ยืนหน้ามุ่ยอยู่ด้านข้างเซี่ยลี่เจิน นางหันไปมองป้าเหนียงก็พลันตาโต
ชุนเอ๋อร์ร้องเสียงดังอย่างตกใจ “ป้าเหนียง! ฮูหยินของข้าจะจับของสกปรกพวกนี้ได้อย่างไร!”
ป้าเหนียงเอ็นดูนายสาวก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอ็นดูบ่าวของนางไปด้วย ตั้งแต่วันแรกที่นางเข้ามาทำงานที่นี่ก็ถูกเด็กสาวผู้นี้กดหัวไม่เว้นแต่ละวันจนเคยคิดจะลาออกก็หลายหน แต่อีกใจก็เห็นแก่จี้ชิงหยางที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจึงทนมาเสมอ
เซี่ยลี่เจินกวาดมองเครื่องในไก่พวกนั้นไล่ไปยังมีดทำครัวแหลมคมและเขียงที่ดูผิดสีไปเล็กน้อย นางนึกถึงคำพูดของสามีเมื่อเช้า หากนางเรียนพวกนี้เสร็จ เขาก็จะสอนสิ่งนอกบ้านให้นาง เพราะฉะนั้นแล้วต่อให้สกปรกมากกว่านี้ นางก็ทนได้
เซี่ยลี่เจินดึงชุนเอ๋อร์ให้หยุดอยู่กับที่ นางใช้เสียงเรียบนิ่ง “ชุนเอ๋อร์ ข้าบอกแล้วว่าข้าทำได้” นางหันไปหาป้าเหนียง ริมฝีปากบางสวยแย้มยิ้มเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน “ป้าเหนียง รบกวนท่านแล้ว”
ความรู้สึกไม่พอใจที่อัดแน่นอยู่ในอกของป้าเหนียงนั้นหายวับไปในทันที นางเลิกสนใจสาวใช้ผู้นั้นและรีบสาวเท้าเข้าไปหาเซี่ยลี่เจิน
“ฮูหยิน รบกวนอะไรกัน ข้าเต็มใจสอนท่านอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยลี่เจินเลียนแบบสามี “เรียกข้าว่าลี่เจินเถอะเจ้าค่ะ” นางยื่นนิ้วแตะๆ ลงบนเครื่องในนุ่มหยุ่นพวกนั้น เห็นปลายนิ้วตนเองมีเลือดติดมาด้วยก็ยกขึ้นใกล้จมูกดมอย่างไม่แน่ใจนัก เซี่ยลี่เจินดันปลายนิ้วออกห่าง คิ้วขมวดแน่น
“ป้าเหนียง กลิ่นแรงเช่นนี้ ทำไมตอนทานข้าถึงไม่ได้กลิ่นเลยเล่า”
ป้าเหนียงแสนเอ็นดูฮูหยินคนงามเป็นหนักหนา ออกจะเอ็นดูมากกว่าจี้ชิงหยางด้วยซ้ำไป นางนั่งลงด้านข้างเซี่ยลี่เจิน เริ่มอธิบายให้นางฟังช้า ๆ
“ที่ไม่ได้กลิ่นเพราะข้านำไปทำความสะอาดจนกลิ่นคาวพวกนั้นหายไปเจ้าค่ะ ของพวกนี้มีประโยชน์นักแต่คนบางคนก็ไม่ยอมกินเพราะได้กลิ่นคาว หารู้ไม่ว่าถ้าทำความสะอาดดี ๆ ก็สามารถกินได้เช่นกัน”
ป้าเหนียงหยิบอ่างไม้ใบเล็กขึ้นมาวางด้านหน้าและเริ่มลงมือล้างให้เซี่ยลี่เจินดูรอบหนึ่ง กระทั่งลำไส้พวกนั้นสะอาดเอี่ยมป้าเหนียงก็พยักพเยิดมาทางนายสาวด้านข้าง “ฮูหยิน ลองดูสิเจ้าคะ”
เซี่ยลี่เจินไหนเลยจะเคยจับสิ่งของพวกนี้ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังตื่นเต้นมากอยู่ดี มือเล็ก ๆ หยิบตับและม้ามจุ่มลงในน้ำสะอาดผสมสมุนไพรชำระล้างกลิ่น ล้างอยู่สองสามรอบนางก็หยิบตับในมือขึ้นใกล้จมูก ดวงตาดอกท้อเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น “ป้าเหนียง กลิ่นหายไปแล้ว!”
ป้าเหนียงยิ้มแย้มตามนางไปด้วย ราวกับว่าเซี่ยลี่เจินมีพลังวิเศษบางอย่าง ต่อให้เป็นคนที่ไม่ชอบนางแต่เมื่อมาอยู่ใกล้ชิดนางแล้วก็ยังตัดใจเกลียดนางไม่ลง ป้าเหนียงเริ่มลงมือล้างเครื่องในพวกนั้นต่อ เซี่ยลี่เจินที่เห็นดังนั้นก็รีบหยิบเครื่องในมาจัดการไปพร้อม ๆ กันด้วย มือนุ่มนิ่มพวกนั้นล้างเครื่องในไปมาจนถูกน้ำเย็นกัดผิวเสียจนแดงไปทั้งฝ่ามือ
ฟากชุนเอ๋อร์ที่ยืนมองอยู่นั้นแม้จะไม่ชอบใจนักแต่ก็ไม่สามารถขัดเซี่ยลี่เจินได้ นางฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด ตั้งใจจะเดินไปหาคนงานที่ติดตามมาจากจวนอ๋องด้วยกัน แต่เมื่อเดินไปถึงส่วนคอกม้าก็รู้ว่าท่านจอหงวนเอาคนงานพวกนั้นไปใช้ด้านนอกถึงสองคน ทิ้งไว้ที่จวนเพียงคนเดียวเพื่อคอยตัดฟืนและทำงานหนักที่บ่าวหญิงไม่สามารถทำได้
เซี่ยลี่เจินแม้จะพยายามอย่างหนักแต่ผ่านไปสามวัน นางก็ยังไม่สามารถทำให้ข้าวหุงสุกดีได้ ป้าเหนียงมองใบหน้าที่เริ่มหมดกำลังใจนั่นอย่างอาทร ถือวิสาสะวางมือลงบนลาดไหล่เล็ก
“ฮูหยิน อย่าได้เสียใจไปเลยเจ้าค่ะ หากวันนี้ท่านทำไม่ได้ พรุ่งนี้จะลองทำใหม่ก็ยังไม่สายนะเจ้าคะ”
“ป้าเหนียง ท่านว่าข้าโง่มากหรือไม่”
ป้าเหนียงตาโต รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ฮูหยิน อย่าได้คิดเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ” นางไม่เคยร่ำเรียนตัวอักษร ตำรับตำราพวกนั้นก็ไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นจึงไม่รู้วิธีพูดปลอบใจคนอย่างอ้อม ๆ “ถึงท่านจะโง่ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอแค่พยายามสักวันต้องสำเร็จแน่นอน”
ป้าเหนียงพลิกฝ่ามือคู่นั้น จากฝ่ามืองดงาม นุ่มนิ่มราวกับเต้าหู้อ่อนขององค์หญิงกลับกลายเป็นมือที่มีรอยบาดจากการปัดกวาด เช็ด ถูและลงแรงทำครัวทั้งวี่ทั้งวันไม่หยุดพัก เป็นรอยแผลที่หากคุณหนูชนชั้นสูงได้รับอาจจะร้องไห้จนตัวตาย แต่เซี่ยลี่เจินกลับภูมิใจในมันไม่น้อย
นางโยนความคิดบั่นทอนกำลังใจทิ้งไป ก่อนจะยื่นมือไปหยิบมีดมาถือไว้ “ป้าเหนียง สอนข้าทำน้ำแกงผักได้หรือไม่เจ้าคะ”
ป้าเหนียงพยักหน้ารับ “ได้สิเจ้าคะ”
หลังจากพยายามจุดไฟอยู่ครึ่งค่อนวันและเกือบจะเผาจวนให้วอดวาย ในที่สุดเซี่ยลี่เจินก็สามารถจุดไฟเตาถ่านได้ด้วยตนเอง นางหยิบหม้อใบใหญ่ขึ้นตั้งเตา เด็ดผักกาดทั้งหัวใส่ลงไปเพื่อต้มน้ำแกงผักให้สามีทาน
จี้ชิงหยางกว่าจะกลับถึงจวนก็มืดค่ำแล้ว ช่วงนี้เขาสังเกตพฤติกรรมของภรรยาก็พบว่านางตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ เขาจึงกลับมารับสำรับตั้งแต่เย็นเพื่อไม่ให้นางเสียกำลังใจ ติดก็แต่ว่าวันนี้งานเสร็จช้ากว่าที่คาด ป่านนี้นางคงรับสำรับเสร็จเรียบร้อย
จี้ชิงหยางเดินเข้าห้องโถงเรือนใหญ่ก็พลันนิ่งอึ้ง ภรรยาคนงามของเขายังนั่งรออยู่ที่โต๊ะกลมตัวเล็กที่พวกเขามักเอาไว้ใช้เป็นโต๊ะทานข้าว เซี่ยลี่เจินเห็นสามีเดินเข้ามาก็ผุดลุกขึ้นเดินไปต้อนรับเขา
“ท่านพี่ ยินดีต้อนรับกลับจวนเจ้าค่ะ”
“อืม” เขาเหลือบมองสำรับบนโต๊ะ “เจ้ายังไม่ได้กินข้าวหรอกหรือ”
เซี่ยลี่เจินส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ารอท่านเจ้าค่ะ”
จี้ชิงหยางบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกยังไง แต่เขาก็รีบออกแรงดันให้นางกลับไปนั่งที่เดิม “เช่นนั้นก็รีบกินเถอะ วันนี้ข้ากลับสายไปหน่อย เจ้าคงหิวแย่แล้ว”
ทว่าเซี่ยลี่เจินกลับไม่แตะต้องชามข้าวของตนเอง นางยื่นมือดันชามน้ำแกงผักไปตรงหน้าเขาอย่างเขินอาย กล่าวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ท่านพี่ น้ำแกงชามนี้ข้าทำด้วยตนเองตั้งแต่จุดฟืนจนตักใส่ชาม หวังว่าท่านจะชิมมันนะเจ้าคะ”
“เด็กดี” จี้ชิงหยางไม่ปล่อยให้นางเสียน้ำใจ เขาหยิบชามไม้ใบนั้นขึ้นจรดริมฝีปากก่อนจะดื่มลงไปอึกใหญ่ น้ำแกงผักถ้วยแรกฝีมือภรรยานอกจากจะหน้าตาดูไม่ได้แล้วรสชาติก็จืดชืดเป็นอย่างยิ่ง แต่มันกลับทำให้จี้ชิงหยางพอใจเป็นอย่างมาก เขาวางชามลงด้านข้างมือ
“อร่อยมาก”
เซี่ยลี่เจินดวงตาเป็นประกายขึ้นทันใด “จริงหรือเจ้าคะ”
“อืม” ชั่วขณะนั้นจี้ชิงหยางพลันรู้สึกว่าเขาเห็นบางสิ่งวาบผ่านสายตา มือใหญ่ยื่นไปกอบกุมมือเล็ก ออกแรงดึงเข้าใกล้ตัว
“เจ้าเป็นแผลหรือ”
เซี่ยลี่เจินมองแผลพวกนั้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “เจ้าค่ะ ข้าเผลอทำมีดบาดตนเองตอนหั่นหัวผักกาดน่ะเจ้าค่ะ”
จี้ชิงหยางพยักหน้ารับ “รีบกินเถอะ ประเดี๋ยวไปห้องหนังสือกับข้า”
เซี่ยลี่เจินแม้จะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ขัดคำ “เจ้าค่ะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?