ท่านแม่ทัพอู๋ซานยังคงนั่งอยู่ในศาลากลางสระน้ำนั่น จี้ชิงหยางกลับไปนานแล้วแต่กลับทิ้งตะกอนอารมณ์ก้อนหนึ่งไว้ในศีรษะว่าที่พ่อตาของตนเอง เซี่ยเว่ยยอมรับ แรกเริ่มเขาถูกใจท่าทีไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของอีกฝ่ายและยิ่งชื่นชมเจตนารมณ์แรงกล้าของคนหนุ่ม เขาเชื่อมาตลอดว่าจี้ชิงหยางเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเซี่ยลี่เจิน เด็กน้อยในอุ้งมือที่เขาเลี้ยงมาด้วยความทะนุถนอมอย่างถึงที่สุด
แต่ดูจากสีหน้าและคำพูดเมื่อครู่แล้ว จี้ชิงหยางผู้นี้คงไม่ใช่บัณฑิตหนุ่มทั่วไปที่มักจะมีนิสัยรักสงบอยู่เป็นทุนเดิม เขาร้ายกาจมากกว่าที่คิดและพร้อมจะพุ่งชนอยู่เสมอหากไม่มีทางออกอื่น ท่านแม่ทัพอู๋ซานถอนหายใจ มาถึงขั้นนี้คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้อีก อย่างไรเรื่องที่จี้ชิงหยางไม่ต้องการอำนาจก็เป็นความจริง เพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
ขอแค่เพียงเท่านี้ ลี่เอ๋อร์ก็จะไม่ต้องตกไปอยู่ในกำมือของผู้ใด ไม่ถูกพ่อลูกสุนัขคู่นั้นตักตวงผลประโยชน์ใส่ตนเอง ไม่ต้องใช้ชีวิตตกระกำลำบากในชนเผ่าด้านนอกนั่น ต่อให้จี้ชิงหยางจะโหดเหี้ยมกว่านี้อีกสักหน่อย เขาก็ยังคงยินดีมอบชีวิตลูกสาวให้คนผู้นี้
รุ่งเช้าวันถัดมา ท่านแม่ทัพออกจากจวนด้วยใบหน้านิ่งสงบแต่ภายในใจนั้นราวกับพายุโหมกระหน่ำ ในมือมีกล่องไม้เนื้อดีเก็บราชโองการสีทองเก่า ๆ ผืนหนึ่งไว้ ชะตาชีวิตของบุตรสาวขึ้นอยู่กับตัวเขาในวันนี้แล้ว เซี่ยเว่ยมีตำแหน่งเป็นอ๋อง อีกทั้งตลอดมาเขาไม่เคยมีท่าทีคุกคามราชบัลลังก์ พวกทหารรักษาวังจึงปล่อยให้เขาเดินถือกล่องไม้นั่นเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เซี่ยเว่ยยืนอยู่บนแท่นยก เขานิ่งสงบฟังถ้อยคำถกเถียงพวกนั้นของเหล่าขุนนางราวกับมันไม่ใช่เรื่องบ้านเมืองของเขาเอง กระทั่งฮ่องเต้ยกมือขึ้นให้หยุดพัก นั่นเป็นสัญญาณของการประชุมเช้าที่กำลังจะจบลง
เซี่ยเฉินมีท่าทางเหนื่อยอ่อน เขาพิงแผ่นหลังกับพนักบัลลังก์ทอง ถามเสียงเนือย “มีใครจะพูดอะไรอีก ไม่มีก็เลิกประชุมเช้าได้”
เซี่ยเว่ยก้าวลงจากแท่นยก พวกขุนนางพากันแตกฮือ แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยชินอ๋องมักยืนเป็นเครื่องประดับของท้องพระโรง ไม่เคยสอดปากในเรื่องการบริหารและไม่เคยปฏิเสธงานยกทัพจับศึกจากฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย เขามักจะมาร่วมประชุมและกลับออกไปเงียบ ๆ ราวกับตนเองไม่ได้ยืนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย แล้วเหตุใดวันนี้เขาถึงได้ลุกมากัน
เซี่ยเว่ยคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง วางกล่องไม้สูงค่าไว้ตรงหน้าตนเอง เขาช้อนสายตาสบเข้ากับจี้ชิงหยางที่ยืนอยู่ข้างองค์รัชทายาทก่อนจะโขกศีรษะเอ่ยเสียงก้อง “ฝ่าบาท ได้โปรดมอบสมรสพระราชทานให้แก่เซี่ยลี่เจิน บุตรสาวของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทรีบหันมองพระพักตร์เสด็จพ่อทันที ใบหน้าหล่อเหลานั่นซีดเผือดลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ฮ่องเต้ที่พลันเหนื่อยหน่ายลุกขึ้นนั่งตัวตรง เขาโน้มกายลงมาด้านหน้าราวกับต้องการจะมองน้องชายต่างมารดาให้ชัดแจ้งแก่สายตาในรอบหลายปี
“เว่ยชินอ๋อง รู้ตัวหรือไม่ว่าเอ่ยอะไรออกมา”
เจ้าคงจะถามว่าข้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังแย่งหมากในมือเจ้าไปมากกว่ากระมัง
หมากบนกระดานเจ้า ข้าล้วนไม่ใส่ใจ แต่หากมันเป็นเซี่ยลี่เจิน ข้าเซี่ยเว่ยไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้หยิบนางไปใช้ตามอำเภอใจแน่
“กระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเว่ยก้มศีรษะลงต่ำ ปิดบังแววตาอาฆาตในดวงตาคู่คมของเขา
“ฝ่าบาท ลี่เอ๋อร์เองก็ใกล้จะสิบแปดเต็มที ตลอดมานางไม่เคยแม้แต่จะได้หมั้นหมาย กระหม่อมกับพระชายาทุกข์ใจยิ่งนักจึงมีแต่ต้องมาบากหน้าขอให้ฝ่าบาทช่วยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ใคร” ฮ่องเต้เค้นเสียงลอดไรฟัน “เจ้าอยากให้ข้าประทานนางให้ใคร”
เซี่ยเว่ยเงยหน้าขึ้นจากพื้น มองสบดวงตาที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะอัดแน่นเต็มสิบส่วนนั่นอย่างไม่กลัวเกรง “จี้ชิงหยาง จอหงวนคนใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้!” องค์รัชทายาทตะโกนก้อง “ข้าไม่อนุญาตเด็ดขาด!”
เขาจะปล่อยหมากล้ำค่าอย่างเซี่ยลี่เจินไปได้อย่างไร อย่างน้อย ๆ นางก็ต้องไปเป็นเมียเอกของพวกชนเผ่าแล้วนำกำลังทหาร ทรัพย์สิน และอำนาจมาเสริมให้เขาจึงจะถูก ส่วนจี้ชิงหยางนั้นยิ่งต้องคอยอยู่เป็นมือเป็นเท้าให้เขา เขาสู้อุตส่าห์ดึงนางจากจวิ้นจู่มาเป็นกงจู่ ฐานะต่างกันเพียงขั้นเดียวแต่ราคาต่างกันมากมายถึงขนาดนั้น อย่างไรก็ตามหมากสองตัวนี้จะเสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด!
“เจ้าเจ็ด หุบปากเสีย”
องค์รัชทายาทยังไม่ยอม “แต่ว่าเสด็จพ่อ-”
ฮ่องเต้ตวาดกลับ “ข้าสั่งให้หุบปาก!” เซี่ยเฉินโกรธจัดเสียจนลืมรักษากิริยา ร้อนถึงมู่กงกงต้องรีบเข้ามาปลอบพระทัยให้เย็นลง
เซี่ยเว่ยไม่สนใจสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของพี่ชายต่างมารดาเลยแม้แต่น้อย เขาเปิดกล่องไม้ขึ้น หยิบราชโองการขึ้นมากางต่อหน้าสายตาขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลาย
“ฝ่าบาท ท่านเคยมอบราชโองการให้ข้าไว้ หากข้าปราบพวกกบฏให้ท่านจนหมดสิ้น ท่านจะให้ข้าขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง”
เซี่ยเว่ยส่งราชโองการนั้นให้กับเสนาบดีใหญ่ข้างกาย เขารอจนขุนนางกรมพิธีการยืนยันว่ามันเป็นของจริงครบถ้วนถึงได้เอ่ยต่อ “ข้าขอสมรสพระราชทานแก่บุตรสาวข้าและจี้ชิงหยางพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเฉินกำหมัดแน่นจนเขารู้สึกได้ถึงรอยแหวนทองที่มันกดลงบนผิวเนื้อบาดลึกจนได้เลือด เขาสูดลมหายใจเข้าปอด เรื่องมันมาถึงขั้นนี้ ต่อให้ดึงดันสิ่งใดไปก็ไร้ประโยชน์ ฮ่องเต้แห่งฉางอันค่อย ๆ เอ่ยปาก
“ได้ ข้าจะมอบสมรสพระราชทานให้เจ้า”
เซี่ยเว่ยไม่แม้แต่จะยิ้มดีใจ เขายังคงสีหน้าเรียบนิ่งไว้ได้ โขกศีรษะลงกับพื้นท้องพระโรง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
หลังจากข่าวสะเทือนฟ้าสะเทือนดินของการสมรสพระราชทานระหว่างองค์หญิงเซี่ยลี่เจินกับทูตสวรรค์จี้ชิงหยางแพร่ออกไปในหมู่ขุนนาง จวนอ๋องก็ปิดประตูไม่รับแขกทันที ค่ำนั้นท่านแม่ทัพปล่อยให้ภรรยาไปนอนค้างกับบุตรสาว ส่วนเขาแอบออกทางด้านหลังจวน ตรงไปที่เรือนเล็กเก่าเก็บแถบประตูเมือง
จี้ชิงหยางรออยู่ก่อนแล้ว เขาผายมือ “เชิญขอรับท่านแม่ทัพ”
“เจ้ารู้อยู่แล้วหรือว่าข้าจะมา”
จี้ชิงหยางพยักหน้า “ขอรับ”
ท่านแม่ทัพไม่รังเกียจรังงอนเรือนเก่า ๆ หลังนี้ที่จี้ชิงหยางเช่าไว้ เขาเป็นทหาร นอนกลางดินกินกลางทรายหาใช่เรื่องแปลกใหม่ เขานั่งลงตรงโต๊ะกลมติดหน้าต่าง มือรับจอกชาที่เจ้าบ้านเป็นผู้รินให้ด้วยตนเอง
ท่านแม่ทัพเคาะโต๊ะแผ่วเบา “เพราะเจ้าจะมาเป็นลูกเขยข้า เรื่องไม่ลงรอยของข้ากับเซี่ยเฉิน เจ้าก็ควรจะรู้ไว้”
“ขอรับ”
ในชั่วขณะนั้น คล้ายกับมีความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาจนเซี่ยเว่ยไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดก่อน เขานั่งเงียบอยู่นานก่อนจะค่อย ๆ เริ่มเล่า
“ครานั้นข้าเป็นองค์ชายสิบเจ็ด ยศต่ำสุดในหมู่องค์ชายเพราะเกิดจากมารดาที่เป็นสาวใช้ หลังข้าคลอดออกมาได้ นางก็เลื่อนขั้นเป็นเจาอี๋ ตอนที่เซี่ยเฉินขึ้นครองบัลลังก์ ข้าอายุแค่สิบเจ็ดหนาว เขาไว้ชีวิตข้าเพราะมารดาของข้าเป็นแค่สาวใช้ เขาฆ่าพี่น้องคนอื่น ๆ จนหมดสิ้น ทั้งบิดาและองค์หญิง เหลือก็แต่องค์ชายสี่ที่ประสูติจากฮองเฮา”
ท่านแม่ทัพยกน้ำชาขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียว “แม่ข้าเป็นสาวใช้ของฮองเฮา ซ้ำนางยังคอยปกป้องครรภ์ของแม่ข้าอยู่ตลอดจนข้าคลอดออกมาได้ เซี่ยเฉินสั่งให้ข้าไปฆ่าองค์ชายสี่ แลกกับการที่แม่ข้าจะมีชีวิตอยู่และข้าจะได้คำขอหนึ่งอย่าง”
แม่ทัพอู๋ซานที่เคยแข็งแกร่งคล้ายกลับกลายเป็นชายชราไปในชั่วพริบตา “ข้าเด็ดหัวองค์ชายสี่กลับมาให้เซี่ยเฉิน ได้ตำแหน่งเว่ยอ๋อง ถูกส่งไปประจำอยู่ที่ชายแดนและต้องคอยป่าวประกาศว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้คนใหม่แย่งบัลลังก์เพราะบิดาและพี่น้องลุ่มหลงในอำนาจ” เซี่ยเว่ยแค่นหัวเราะ
“แม่ข้าปลิดชีพตนเองตามฮองเฮาที่ตรอมใจตาย หลังจากนั้นพ่อลูกสุนัขคู่นั้นก็กดหัวจวนอ๋องไม่ให้เงยหน้ามองผู้ใดในเมืองหลวงได้อีก”
จี้ชิงหยางไม่รู้จักบิดาและมารดาของตนเองแต่ก็คิดว่าหากเห็นมารดาตายไปต่อหน้าเพราะความผิดที่ตนเองก่อ เขาก็คงจะโกรธแค้นมากเหมือนกัน จี้ชิงหยางยกน้ำชาขึ้นคารวะ
“ท่านพ่อตาอย่าได้ห่วง ข้าสัญญาจะดูแลบุตรสาวท่านเป็นอย่างดี”
ท่านแม่ทัพยิ้มทั้งน้ำตา “ดี ดีมาก”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?