ตอนที่ 19 ปล่อยให้ภรรยาเหงา

ตลาดที่จี้ชิงหยางพาภรรยามานั้นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ อยู่ห่างจากจวนเขาไปไม่เท่าไหร่เพียงชั่วจิบชาเดียวเท่านั้น และเพราะที่นี่เป็นสถานที่กันดารและออกจะไกลปืนเที่ยงอยู่บ้าง ภรรยาขุนนางขั้นเจ็ดที่แต่เดิมเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับกงจู่ถึงไม่ต้องใส่หมวกผ้าม่านปิดบังหน้าตาจนบดบังทัศนียภาพของตลาดยามเช้าเสียหมดสิ้น

เซี่ยลี่เจินในชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีเขียวเข้มสลับอ่อนเดินไปทั่วตลาดอย่างตื่นตาตื่นใจโดยมีสามีและสาวใช้เดินตามหลัง ภาพใบหน้างดงามของนางที่ยิ้มแย้มอย่างไม่สงวนกิริยานั่นกลับดูน่ารักน่าชังในสายตาคนรอบข้างจนมีบางคนถึงกับเผลอหันมองนางซ้ำสอง

จี้ชิงหยางหยุดยืนอยู่หน้าแผงขายผัก เขากวักมือเรียกนาง “ลี่เจิน มานี่ประเดี๋ยว”

เซี่ยลี่เจินนอกจากเชื่อฟังบิดามารดาแล้วนางยังเชื่อฟังสามีเป็นที่สุด เท้าที่เดินออกไปไกลพลันวิ่งกลับมาหาเขาทันที “เจ้าคะ ท่านพี่”

จี้ชิงหยางยกแขนขึ้นสูงแตะลงบนกลางหลังนางก่อนจะออกแรงดันนางมาทางหน้าแผงผักที่วางขายอยู่กับพื้น เขายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง “เจ้าลองถามแม่ค้าดู ว่าหัวผักกาดราคาเท่าไหร่”

เซี่ยลี่เจินทำตามทันที “ท่านป้า ผักกาดขายหัวเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”

ตั้งแต่นางมีความสัมพันธ์อันดีกับป้าเหนียง เมื่อเจอคนที่แก่กว่านางจะเรียกด้วยความเคารพเสมอจนไร้เงาร่างขององค์หญิงผู้ถือตัวในวันวาน เหลือเพียงภรรยาขุนนางขั้นเจ็ดผู้ใช้ชีวิตเรียบง่ายก็เท่านั้น

แม่ค้าขายผักเป็นท่านป้าผู้หนึ่ง นางมองคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวด้วยรอยยิ้ม “สามอีแปะเจ้าค่ะ”

เซี่ยลี่เจินผงกศีรษะรับ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางหันไปหาสามี “ให้ข้าถามทำไมหรือเจ้าคะ ท่านพี่อยากได้หรือ”

“ลี่เจิน สามอีแปะสำหรับเจ้าเยอะหรือไม่”

เซี่ยลี่เจินขมวดคิ้ว “ไม่เยอะอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยใช้เงินน้อยกว่าสิบตำลึงทองด้วยซ้ำ”

จี้ชิงหยางยิ้มบาง ชี้มือไปที่คนเร่ร่อนจากภัยธรรมชาติที่นั่งขอทานอยู่ไม่ไกล “แต่สำหรับคนพวกนั้นสามอีแปะจะทำให้พวกเขาได้ผักกาดหนึ่งหัว มีน้ำแกงผักกินไปอีกหลายมื้อหรือกระทั่งกินอิ่มได้ทั้งครอบครัว”

นางพลันนึกถึงประโยคในวันนั้นที่เขาพูดกับนางในงานเลี้ยงต้อนรับ เซี่ยลี่เจินมองหัวผักกาดราคาสามอีแปะที่วางอยู่กับพื้นสลับกับมองคนเร่ร่อนเหล่านั้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ภายในอกรู้สึกสงสารเสียจนน้ำตานางเริ่มคลอขึ้นมาอีกครั้ง เซี่ยลี่เจินช้อนสายตาขึ้นมองสามี

“ท่านพี่...”

จี้ชิงหยางส่ายหน้า “เจ้าซื้อให้พวกเขาครั้งหนึ่ง เจ้าก็ต้องซื้อให้พวกเขาอีกหลาย ๆ ครั้ง รอจนกว่าพวกเขาจะมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยแบ่งปันก็ยังไม่สาย”

เซี่ยลี่เจินเดินตามการจับจูงของสามี “พวกเขาจะมีงานทำหรือเจ้าคะ”

“สามีเจ้าจะหาให้พวกเขาอย่างไรเล่า”

หลังจากวันนั้นที่ได้ไปเดินตลาด ข่าวลือเรื่องความงามของภรรยาขุนนางขั้นเจ็ดก็ดังไปทั่วทั้งอำเภอ ชายหนุ่มหลายคนถึงกับเพ้อหาสาวงามผู้นั้นจนไม่เป็นอันกินอันนอน ต่างแห่แหนมาจองที่หน้าจวนหลังใหญ่ด้วยหวังว่าจะมีวาสนาพานพบคนงามอีกครั้ง

จี้ชิงหยางรู้ข่าวลือนั่นและสั่งให้คนงานในจวนใช้ประตูข้าง หากใครไม่มีเรื่องจำเป็นก็ออกจากจวนให้น้อยที่สุด เขาไม่ได้มองแค่ว่ามันคือข่าวลือของภรรยา แต่เขายังมองลึกไปถึงสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังหลวงที่ยังคงจับจ้องเขาไม่ห่าง ใครจะรู้ อีกฝ่ายอาจจะเป็นคนปล่อยข่าวลือแล้วรอฉวยจังหวะที่จวนผ่อนปรนการคุ้มกันลอบเข้ามาหาหลักฐานปลอมมาบีบบังคับให้เขาเข้าร่วมก็เป็นได้

จี้ชิงหยางไม่เคยดูเบาศัตรูของตนเอง และนั่นทำให้เขาไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใด

เซี่ยลี่เจินเดินกลับออกมาจากเรือนครัว มองแผ่นหลังกว้างของสามีที่หายลับไปทางประตูข้าง “ท่านพี่ออกไปทำงานหรือ วันนี้จะกลับมารับสำรับหรือไม่”

ชุนเอ๋อร์ที่กลายเป็นคนส่งสารระหว่างเจ้านายทั้งสองรีบค้อมศีรษะลง “เจ้าค่ะ ส่วนเรื่องสำรับท่านเขยบอกว่าหากเลยเวลาแล้วให้ฮูหยินรับสำรับก่อนได้เลย ไม่ต้องรอเจ้าค่ะ”

เซี่ยลี่เจินถอนหายใจ “ท่านพี่ยุ่งเกินไปแล้วกระมัง นี่มันก็เข้าเดือนที่สองแล้ว เขายังจัดแจงงานไม่เสร็จอีกหรือ”

ตั้งแต่วันนั้นที่กลับมา จี้ชิงหยางที่ยุ่งหัวหมุนอยู่แล้วก็ยุ่งหนักกว่าเดิมจนลืมแม้กระทั่งเวลาทานข้าว นางต้องส่งคนไปตามเขาบ่อยๆ จนบางครั้งก็ต้องยกสำรับไปให้เขาถึงห้องหนังสือ เขาจะออกจากจวนตั้งแต่ต้นยามเหม่า (05.00 - 06.59) เพื่อออกไปสำรวจพื้นที่และกลับมาอีกครั้งในปลายยามโหย่ว (17.00 - 18.59) แน่นอนว่าแรก ๆ เซี่ยลี่เจินเองก็พยายามกระทำตนเป็นภรรยาที่ดีโดยการรอทานข้าวกับสามี แต่หลายวันเข้านางก็ทนไม่ไหว เพราะเขาเริ่มกลับดึกขึ้นเรื่อย ๆ จึงแยกสำรับเป็นสองส่วน ของเขาและของนาง

หลังจากรับสำรับเย็น เวลาที่นางเคยได้พูดคุยกับเขาอย่างสุขใจก็ถูกยกเอาไปให้กับเอกสารกองพะเนินพวกนั้นภายในห้องหนังสือ บางครั้งเขาก็อยู่ถึงครึ่งค่อนคืน บางครั้งก็อยู่จนย่ำรุ่ง ทานสำรับเช้าง่าย ๆ และรีบกลับออกไปอีก เป็นเช่นนี้อยู่เกือบเดือนจนนางชาชินเข้าไปแล้ว

ทว่าชุนเอ๋อร์กลับยิ้มแย้มดีใจ “ดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ หากท่านเขยงานยุ่งมาก ๆ ก็แปลว่าท่านใกล้จะเลื่อนขั้นในเร็ว ๆ นี้ หากเลื่อนไปถึงขั้นหกก็จะถูกเรียกกลับไปประจำนอกเมืองหลวง เลื่อนเป็นขั้นห้าเมื่อไหร่คุณหนูก็จะได้กลับไปอาศัยอยู่จวนพระราชทานแล้วนะเจ้าคะ!”

“งั้นหรือ” เซี่ยลี่เจินดูไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด ผิดกับบ่าวคนสนิทของตนเอง “คงดีอย่างที่เจ้าว่า”

พูดจบนางก็หันหลังเดินเข้าเรือนใหญ่ไป วันนี้นางตั้งใจจะทำความสะอาดห้องนอนของตนเองจึงไม่ได้ให้ชุนเอ๋อร์ตามเข้ามาด้วย สิ่งที่นางไม่ได้บอกกับสาวใช้คนสนิทนั่นก็คือนางเริ่มจะชินกับวิถีชีวิตที่นี่แล้วและออกจะชอบมันไม่น้อยด้วย อาจจะชอบกว่าชีวิตในเมืองหลวงที่มีแต่กฎเกณฑ์และคนคอยบังคับ จับตามองด้วยซ้ำไป

อยู่ที่นี่นางสามารถตื่นสายได้ นางสามารถนอนก่อนสามีได้ หากกลับไปจวนพระราชทานคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว หากต้องกลับไปจริง ๆ นางคงเสียดายไม่น้อย

จี้ชิงหยางเดินเข้าไปในจวนว่าการอำเภอด้วยท่าทางสงบนิ่ง เหล่าขุนนางท้องถิ่นที่อยู่ในนั้นพากันหันมองเขาด้วยสายตาหวาด ๆ ข่าวลือเรื่องที่เขาโดดเด่นถึงขนาดฮ่องเต้พยายามหาทางรั้งตัวไว้ทุกทางกระทั่งจัดงานเลี้ยงฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนนั่นเป็นที่เลื่องลือในหมู่ขุนนางไปทั่ว ไม่มีใครไม่รู้จักจอหงวนผู้นี้

คราแรก ขุนนางท้องถิ่นก็ยังคิดว่าคนเช่นนั้นคงจะรับตำแหน่งในเมืองหลวงรอเวลาเหมาะ ๆ เลื่อนขึ้นเป็นเสนาบดี ไม่ต้องมาทำงานหนักอยู่แต่บ้านนอกเช่นนี้ ที่ไหนได้ เขากลับปฏิเสธตำแหน่งราชครูของรัชทายาทมาเป็นขุนนางขั้นเจ็ดที่นี่แทน

ไม่รู้ว่าเขาโง่มากหรือฉลาดจนคนอื่นเข้าไม่ถึงกันแน่

ผู้ว่าการอำเภอได้ข่าวว่าท่านจอหงวนมาเยือนจากลูกน้องคนสนิทก็รีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับ ถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะขั้นหก สูงกว่าเจ้าหนุ่มนี่ขั้นหนึ่งแต่ด้วยความที่เขาไม่ก้าวหน้า ทำงานมานับยี่สิบปีก็ยังติดอยู่ตำแหน่งเดิมจึงไม่กล้าเผยอสู้นัก

จี้ชิงหยางมองใบหน้าประจบประแจงนั่นอย่างปลดปลง เขารีบกล่าวเข้าธุระทันที “ข้าน้อยมาเรียนท่านผู้ว่าการว่าข้าน้อยได้ทำการตีกรอบพื้นที่สำเร็จแล้ว จะเริ่มสำรวจพื้นที่ในวันนี้เลยขอรับ”

ผู้ว่าการไม่กล้ารับคำพูดสูงส่งเช่นนั้น รีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าน้อยอันใดกัน ข้าจะยอมให้ทูตสวรรค์ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งมาพูดจาต่ำต้อยได้อย่างไรกัน” เขารีบผายมือเข้าไปด้านใน “ไหน ๆ ท่านก็อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เชิญเข้าไปรับน้ำชาด้วยกันสักหน่อยดีหรือไม่”

ทว่าจี้ชิงหยางกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ดีกว่าขอรับ ข้าน้อยรีบมาแจ้งแล้วจะรีบไปสำรวจพื้นที่เลย งานนี้เร่งด่วนนัก คงจะชักช้าไม่ได้”

ผู้ว่าการอำเภอมองคนหนุ่มที่ทำความเคารพเสร็จสรรพก่อนจะเดินพ้นประตูจวนว่าการไปอย่างงง ๆ เขาหันมาหาลูกน้องที่เหลือในห้องโถงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “เป็นคนหนุ่มที่กระตือรือร้นดีจริงๆ”

จี้ชิงหยางให้คนงานคนหนึ่งกลับไปแจ้งภรรยาว่าเขาจะออกสำรวจพื้นที่ อาจจะไม่ได้กลับจวน แล้วเขาก็ไม่ได้กลับจริง ๆ จี้ชิงหยางออกไปสำรวจพื้นที่ทั้งหมดสามวันสามคืน เป็นสามวันสามคืนที่เซี่ยลี่เจินเอาแต่นั่งหงอยเหงาอยู่ในห้องโถง มือทำงานแต่ตากลับมองประตูจวนไม่หยุดหย่อนด้วยหวังว่าสามีจะกลับมาพูดคุยคลายเหงาให้นาง

ในที่สุดเช้าวันที่สี่ จี้ชิงหยางในสภาพมอมแมมก็กลับมา ถึงแม้เสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อนดินโคลนแต่ใบหน้าเขายิ้มแย้มแจ่มใสยิ่ง จนเซี่ยลี่เจินที่วิ่งออกมาต้อนรับถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ

“ท่านพี่ มีเรื่องดี ๆ หรือเจ้าคะ”

“ใช่” เขาพยักหน้ารับ “ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ข้าจะพาไปไหว้ท่านที่วัดบนเขา”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ