คืนนั้น เซี่ยลี่เจินไม่ได้นอนกับจี้ชิงหยางผู้เป็นสามี นางหยิบข้าวของภายในเรือนใหญ่ลวก ๆ ก่อนจะรีบเดินไปยังเรือนเล็กด้านข้าง ชุนเอ๋อร์เห็นท่านเขยที่เดินใบหน้าเคร่งเครียดออกไปไม่นาน นายสาวของนางก็เดินน้ำตาอาบแก้มออกมาก็พลันรู้แจ้งแก่ใจว่าทั้งสองคนต้องมีปากเสียงกันแน่นอน นางขมวดคิ้ว รีบเดินตามเซี่ยลี่เจินไปแต่ฮูหยินของจวนนั้นกลับไล่นางออกมา
องค์หญิงแห่งฉางอันทรุดตัวนั่งลงบนตั่งเตียง ใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาจนดูมอมแมมแตกต่างจากภาพลักษณ์อ่อนหวานในยามปกตินัก นางยกหลังมือขึ้นปาดคราบน้ำตาพวกนั้นลวก ๆ ก่อนจะวางหมอนและผ้าห่มผืนโปรดที่หยิบติดมือลงกับเตียง
เซี่ยลี่เจินไม่ชอบคิดมาก เพราะเวลานางคิดมากเมื่อไหร่นางจะมีอาการปวดหัวราวกับโดนค้อนหลายอันทุบศีรษะอยู่ตลอดเวลา แต่คืนนั้นนางกลับนอนคิดอยู่ทั้งคืน อาจจะเป็นเพราะนางเคารพและนับถือสามีอยู่มาก เมื่ออาการตกอกตกใจนั้นหายไป นางถึงได้เก็บคำพูดพวกนั้นกลับมาคิดอีกครั้งและต้องยอมรับว่าคำพูดของสามีนางมีเหตุผลมากทีเดียว
นางหาใช่องค์หญิงอีกต่อไป แต่เป็นฮูหยินของขุนนางขั้นเจ็ด
ต่อให้จะมีบิดาเป็นเว่ยชินอ๋อง มีมารดาเป็นหวางเฟย พี่ชายทำงานในกรมคลังที่ในช่วงปลายปีกำลังจะเลื่อนเป็นขุนนางขั้นสี่แล้วอย่างไร คนพวกนั้นไม่ได้อาศัยจวนเดียวกับนางอีกต่อไปแล้ว คนที่นางต้องเชื่อฟังต่อจากนี้คือสามีต่างหาก
เซี่ยลี่เจินนอนมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง นางก็คิดอยู่ตลอดว่าที่นี่ช่างเป็นสถานที่ทุรกันดารจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอยู่ได้ แต่นอกรั้วสูงของจวนนางกลับมีคนนับร้อยนับพันที่อาศัยมานานหลายชั่วอายุคน หากนางจะมาวางท่าเป็นองค์หญิง ชี้นิ้วสั่งเหมือนสมัยที่ยังอยู่จวนชินอ๋อง เกรงว่านางคงจะอยู่ได้ไม่นานนัก หากไม่หนีกลับไปเองก็คงเป็นสามีที่ทนนางไม่ไหวแล้วส่งนางกลับไป
เซี่ยลี่เจินมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าบิดาและมารดาจะรับนางกลับบ้านเดิมอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ต้องแลกมากับการที่มารดาของนางไม่สามารถเข้าร่วมวงสังคมได้อีกตลอดชีวิต หากเป็นเช่นนั้นแล้ว
นางยอมปรับตัวอยู่ที่นี่เพื่อให้มารดาและบิดายังคงใช้ชีวิตในวงสังคมต่อไปได้ดีกว่า
เซี่ยลี่เจินนอนไม่หลับทั้งคืน นางได้แต่นอนกุมมืออยู่บนหน้าท้องนับเวลารอตะวันขึ้นเงียบ ๆ นางยังจำได้ดีว่าคืนแรกหลังจากกลับมาถึงที่หมู่บ้านนั้น สามีของนางออกไปด้านนอกตั้งแต่ต้นยามเหม่า (05.00 - 06.59) ครานี้เพื่อไม่ให้คลาดกับเขาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงตีบอกเวลาเข้ายามอิ๋น (03.00 - 04.59) นางก็รีบเปิดประตูเรือนเดินไปทางห้องหนังสือทันที
ห้องหนังสือยังคงจุดเทียนสว่างโร่ เซี่ยลี่เจินได้ยินเสียงคนพูดพึมพำด้านใน ต่อให้ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากนัก นางก็ยังคงจำได้ว่านั่นคือเสียงสามีนาง นางสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการเรียกกำลังใจให้ตนเองก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูไม้กลางเก่ากลางใหม่เบา ๆ
จี้ชิงหยางเหลือบมองทางประตูห้อง เขาตื่นเช้าจนเป็นนิสัยด้วยอาศัยอยู่กับหลวงจีนที่นับถือเป็นอาจารย์มานาน เวลานี้ต่อให้บางครอบครัวจะลุกขึ้นมาทำงานแล้ว แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีใครในจวนที่ตื่นมาเวลานี้
เขาเปิดประตูห้องออก มองคนตรงหน้าด้วยสายตาอึ้ง ๆ “ลี่เจิน?”
นางยอบกาย “ท่านพี่” มือที่ประสานกันอยู่ด้านหน้าจับกันแน่นอย่างไม่มั่นใจนัก “ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ”
จี้ชิงหยางรีบเรียกสติของตนเองกลับมา เขาเบี่ยงกายไปด้านข้างเชื้อเชิญให้นางเข้าไปด้านใน เซี่ยลี่เจินไม่เคยเข้าห้องหนังสือของสามีมาก่อน เดิมทีนางก็คิดว่ามันคงเป็นห้องที่คล้ายกับห้องท่านพ่อที่จวน มีแต่ตำราปรัชญายากเกินกว่าที่นางจะเข้าใจและตำราพิชัยสงครามต่าง ๆ
แต่ภาพที่เห็นนั้นแตกต่างจากสิ่งที่นางคิดไว้อย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เพดานจรดพื้น ชั้นไม้พวกนั้นมีตำรับตำรา หนังสือทุกชนิดเท่าที่นางพอจะอ่านออกและเข้าใจความหมายอัดแน่นอยู่ด้านใน ทั้งปรัชญา ตำราพิชัยสงคราม ตำราการร่างแบบ บันทึกการเดินทางมากมาย รวมไปถึงม้วนไม้ไผ่ที่บันทึกเรื่องราวทางศาสนาไว้ด้วย
จี้ชิงหยางมองตามสายตาภรรยาไปยังส่วนที่เขาวาง ‘สมบัติ’ ส่วนตัวเอาไว้ มือใหญ่วางสมุดบันทึกเล่มเล็กในมือลงบนโต๊ะกลม เอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้ามีอะไรถึงมาพบข้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”
หากคนอื่นมาฟังคงคิดว่าท่านเขยประชดประชันเซี่ยลี่เจินเข้าแล้ว ความจริงเขาก็แค่พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้ถือคติว่าภรรยาจะต้องนอนทีหลังตื่นก่อนเขาเลยแม้แต่น้อย เซี่ยลี่เจินจะนอนก่อนหรือนอนหลัง จะตื่นสายหรือตื่นเช้าเขาก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว
เซี่ยลี่เจินหันมองสามี น้ำตานางปริ่มขอบตาจนต้องบีบมือบังคับตนเองไม่ให้อารมณ์ในอกตีตื้นขึ้นมาจนน้ำตาพวกนั้นหยดแหมะต่อหน้าเขา “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันคิดว่านิสัยเคยชินของข้าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ข้าจะปรับปรุงตัว ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะเจ้าคะ”
คราวนี้จี้ชิงหยางอึ้งเข้าจริง ๆ แล้ว เขาเห็นนางเดินร่ำไห้กลับเรือนเล็กไปทั้งอย่างนั้นยังคิดว่านางอาจจะส่งจดหมายไปให้บิดาส่งคนมารับตัวกลับเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ ไม่ได้คาดว่านางจะเดินมาหาเขาในตอนเช้าเพื่อกล่าวขอโทษเลยสักนิดเดียว ทว่าความคิดยุ่งเหยิงพวกนั้นพลันมลายหายไปเมื่อเขามองสบกับดวงตาดอกท้อที่เต็มไปด้วยจริงใจอย่างเหลือแสนนั้น
จี้ชิงหยางอ่อนอกอ่อนใจ องค์หญิงผู้นี้ช่างชวนให้คนรู้สึกเอ็นดูโดยแท้ เขายกยิ้มจาง “อืม ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก” เขาอดใจไม่ไหวยื่นมือไปลูบศีรษะนางครั้งหนึ่ง “เด็กดี ต่อไปก็เรียนรู้เรื่องในบ้านไปก่อนแล้วกัน ข้าจะหาคนมาสอนให้เจ้า ทั้งการหุงหาอาหาร ปัดกวาด เช็ดถู ซักล้าง ค่อย ๆ เรียนรู้ไปทีละอย่าง แล้วข้าจะเป็นคนสอนเรื่องนอกบ้านให้เจ้าเอง”
เซี่ยลี่เจินพยักหน้ารัวเร็วอย่างตื่นเต้น ตั้งแต่เกิดมานางได้ร่ำเรียนเพียงไม่กี่อย่าง และไม่กี่อย่างพวกนั้นก็ไม่มีสิ่งไหนที่นางทำได้ดีเสียด้วย หากได้รับการสั่งสอนสิ่งใหม่ ๆ นางอาจจะหาสิ่งที่ทำให้ตนเองเป็นประโยชน์ขึ้นมาก็ได้
เช้าวันนั้น ชุนเอ๋อร์เดินไปที่เรือนเล็ก นางเห็นประตูเรือนเปิดออกกว้างก็เดินเข้าไปดูอย่างนึกฉงน พอไม่เห็นนายสาวของตนเองอยู่ในนั้นก็รีบวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งจวนตามหาฮูหยินไม่หยุดหย่อน นางใกล้จะน้ำตาหยดอยู่รอมร่อ หางตาก็เหลือบไปเห็นเซี่ยลี่เจินเดินเคียงข้างจี้ชิงหยางออกมาจากห้องหนังสือ
หัวใจที่สั่นกลัวนึกว่าคุณหนูหนีกลับเมืองหลวงไปแล้วค่อย ๆ สงบลง ชุนเอ๋อร์ปรับท่าทางตนเองเดินเข้าไปใกล้และปรนนิบัตินายทั้งสองให้พร้อมรับสำรับเช้า
จี้ชิงหยางรวบตะเกียบวางไว้ด้านข้าง ถึงจะเติบโตมากับหลวงจีนแต่เขาก็ได้รับการสอนสั่งมารยาทบนโต๊ะอาหารเยี่ยงชนชั้นสูงมาอย่างดีพร้อม เขาหันไปหาชุนเอ๋อร์ “ไปตามป้าเหนียงมา”
ป้าเหนียงเป็นแม่ม่ายที่อยู่ใกล้กับจวนนี้และทำงานในตำแหน่งแม่ครัวจึงไม่ต้องกินนอนและอาศัยอยู่ที่จวนแต่สามารถเดินทางไปกลับได้ นางไม่มีทั้งสามีและไม่มีทั้งบุตรสาวบุตรชาย จี้ชิงหยางที่รู้สึกสงสารนางจึงรับเข้าจวนเป็นแม่ครัวประจำไปเสียเลย
ป้าเหนียงเป็นคนในหมู่บ้านห่างไกล นางไม่รู้ธรรมเนียมเวลาเข้าพบเจ้านายและมือเท้านางก็ห่างเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเดินเสียงดังและพูดเสียงดังจนชุนเอ๋อร์ได้แต่เหลือบมองนางอย่างไม่พอใจนัก
ป้าเหนียงทำเป็นไม่เห็นสายตาของสาวใช้รุ่นลูกนาง ใบหน้าเหี่ยวย่นแย้มยิ้มกว้างมองจอหงวนที่มีพระคุณมอบงานให้นางหาเลี้ยงชีพตนเอง “นายท่าน มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ หรืออาหารไม่ถูกปากกัน? ข้าจะไปทำมาใหม่เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
จี้ชิงหยางเห็นป้าเหนียงมาตั้งแต่เขายังเล็ก ความรู้สึกผูกพันจึงมีไม่น้อย “ป้าเหนียง บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเรียกข้านายท่าน เรียกข้าว่าชิงหยางเถอะ” เขาเบนสายตามองภรรยาก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมา “ภรรยาข้าอยากเรียนเรื่องการดูแลเรือน รบกวนท่านป้าสอนนางหน่อยเถอะ”
ชุนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันขมวดคิ้วฉับ นางก้าวขึ้นมา เอ่ยปากขึ้นก่อนอย่างเสียมารยาท “ท่านเขย ฮูหยินได้รับการสอนสั่งจากมารดามาก่อนแล้ว ซ่งฮูหยินเป็นหญิงสาวจากตระกูลดีพร้อม ย่อมสอนสั่งมาอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เรื่องนั้นข้ารู้” เขาเว้นช่วงไป “ข้าจะให้ป้าเหนียงสอนนางทำอาหาร ปัดกวาด เช็ดถูเรือนต่างหาก เรื่องนั้นท่านแม่ยายคงไม่ได้สอนภรรยากระมัง”
ชุนเอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากค้าง “ไม่ได้สอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ! ฮูหยินเป็นถึง-”
“ชุนเอ๋อร์” เซี่ยลี่เจินเอ่ยขัด นางไม่อยากให้ใครรู้ฐานะของนาง เวลานี้นางตั้งใจจะเป็นเพียงภรรยาที่ดีของขุนนางขั้นเจ็ดเท่านั้น ตำแหน่งองค์หญิงอันใดนั่นนางไม่เอาทั้งนั้น “ข้าอยากเรียนเอง เจ้าไม่ต้องขัดท่านพี่หรอก”
ชุนเอ๋อร์ยังคงมีท่าทีไม่ยินยอม “แต่ฮูหยิน-”
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือ” เซี่ยลี่เจินพอจะเดาได้ราง ๆ ว่าสามีไม่ชอบให้นางแสดงอำนาจมากนัก แต่กับชุนเอ๋อร์ที่อยู่ด้วยกันมานานแล้ว มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางไม่เอ่ยปากขัดสามีอีกต่อไป เซี่ยลี่เจินแอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผ่อนคลายไร้โทสะจากจี้ชิงหยาง นางก็พลันผ่อนคลายลง
ชุนเอ๋อร์ค้อมศีรษะลง “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?