ตอนที่ 10 นี่หรือว่าที่ภรรยาของเขา

จี้ชิงหยางมาเยือนจวนเว่ยชินอ๋องอีกครั้ง เขาขมวดคิ้ว รู้สึกราวกับว่าช่วงนี้ตนเองจะเห็นสภาพแวดล้อมภายในจวนอ๋องนี่บ่อยเกินไปแล้วกระมัง พ่อบ้านอู่ยกยิ้มจาง เขารับรู้เจตนาของเจ้านายเป็นอย่างดีและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าไม่มีใครเหมาะสมกับคุณหนูมากไปกว่าจี้ชิงหยางอีกแล้ว

เขาผายมือเชื้อเชิญแขกไปทางศาลากลางสระบัว ช่วงนี้เป็นปลายฤดู ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกมันจะได้เบ่งบานก่อนจะเหี่ยวเฉาไป บัวพวกนั้นจึงพากันชูช่อแย่งกันอวดโฉมอยู่ในสระน้ำกว้าง สายลมสดชื่นพัดมาแผ่วเบาพาเอากลิ่นหอมพวกนั้นลอยเตะจมูก จี้ชิงหยางเหลือบมองคนงามในชุดเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนปักลายหมู่มวลพฤกษาที่นั่งอยู่ด้านในอย่างนึกฉงน

เขาหันไปทางพ่อบ้านอู่ “ท่านแม่ทัพไปไหนหรือขอรับ”

พ่อบ้านอู่ยิ้มแย้ม “ท่านแม่ทัพติดคุยงานราชการกับท่านนายกอง ประเดี๋ยวจะตามออกมาขอรับ”

จี้ชิงหยางหยุดฝีเท้า “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอกลับก่อนดีกว่า ฝากท่านพ่อบ้านเรียนท่านแม่ทัพว่าข้าจะมาพบใหม่วันหลัง”

ทว่าพ่อบ้านอู่รับคำสั่งท่านแม่ทัพมาแล้ว มีหรือเขาจะยอมปล่อยให้คนออกไปได้โดยง่าย “ท่านจอหงวนอย่าทำข้าลำบากใจเลยขอรับ ท่านแม่ทัพสั่งมาว่าอย่างไรก็ต้องได้พบท่านวันนี้ นี่ถ้าหากท่านแม่ทัพออกมาจากห้องหนังสือแล้วไม่เจอท่าน พ่อบ้านแก่ ๆ อย่างข้าคงได้โดนลงโทษเป็นแน่”

จี้ชิงหยางกระตุกยิ้ม เจ้าเล่ห์เหมือนกันทั้งนายทั้งบ่าว รู้ว่าเขาไม่ชอบทำตนให้คนอื่นเดือดร้อนก็รีบหยิบยกขึ้นมารั้งกันไว้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ เขาผ่อนลมหายใจ เก็บกดความไม่พอใจราง ๆ ไว้ส่วนลึกภายในอก ยิ้มบางอย่างนุ่มนวล “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอรบกวนท่านพ่อบ้านแล้วขอรับ”

จี้ชิงหยางนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเซี่ยลี่เจิน พ่อบ้านอู่ส่งคนเสร็จก็รีบถอยออกไปให้สองหนุ่มสาวได้ใช้เวลาร่วมกัน เขาไล่สาวใช้และคนงานแถวนั้นออกไปจนหมด เหลือไว้เพียงองครักษ์ที่ยืนเฝ้าจากที่ไกล ๆ ก็เท่านั้น จี้ชิงหยางหยิบจอกชาที่เซี่ยลี่เจินรินให้ขึ้นถืออย่างอึดอัด เขามองบรรยากาศเงียบสงบรอบด้าน รับรู้ได้โดยพลันว่านี่คือการนัดดูตัวก่อนยื่นเทียบหมั้นหมาย

เขาหลุบสายตาลงมองน้ำสีใสภายในจอก ดูท่าท่านแม่ทัพจะไม่ล้มเลิกความหวังง่าย ๆ

เซี่ยลี่เจินเอียงศีรษะมองคน ท่านพ่อกล่าวว่าจะมีแขกมาเยี่ยมเยียนที่จวนแต่ตัวเขาไม่ว่างต้อนรับเลยอยากให้นางไปนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนแขกสักประเดี๋ยว หากเสร็จงานราชการแล้วบิดาจะรีบตามไป เซี่ยลี่เจินรับคำอย่างงุนงง แขกของท่านพ่อมักเป็นพวกท่านลุงท่านอาในค่ายทหาร คนพวกนั้นจะมีสิ่งใดคุยกับนางที่เอาแต่อ่านหนังสือประโลมโลก วิ่งเล่นกับสาวใช้หรือนั่งเรียนศาสตร์ทั้งสี่กัน แต่นางก็ไม่ได้ขัดคอบิดาและก็ไม่ได้คาดไว้ว่าแขกผู้นั้นจะดันมาเป็นเขาเสียได้

เซี่ยลี่เจินหายอับอายเรื่องเข้าใจว่าเป็นบ่าวชายไปนานแล้ว นางยกยิ้มกว้าง “ท่านจอหงวน ไม่เจอกันเสียนาน ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เรื่องคราวก่อนต้องขอโทษด้วยที่ข้าเสียมารยาทไป”

จี้ชิงหยางละสายตาจากจอกชามองคนงาม นางคงไม่รู้ว่านี่เป็นการนัดดูตัวกระมัง “เป็นข้าเองที่ไม่ได้แนะนำตัวตั้งแต่แรก คุณหนูอย่าได้ขอโทษข้าเลย” เขายกมือขึ้นประสานคำนับ “ข้าสบายดี ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วง”

เซี่ยลี่เจินคล้ายกับไม่รับรู้ถึงความอึดอัดของเขา นางยังคงพูดต่อไป “เรื่องที่ท่านเคยสอนข้าในวันนั้น ข้ายังจำไม่ลืม” ดวงตาดอกท้อของนางเป็นประกายระยิบระยับ “ข้าเปิดร้านน้ำชาให้หนีหนี นางเป็นสาวใช้คนสนิทที่คอยดูแลข้ามาตั้งแต่ยังเล็ก ข้ารู้มาว่านางกับสามีอยากออกไปสร้างครอบครัวแต่กลัวว่าถ้าเอาเงินเก็บไปลงทุนแล้วจะสิ้นเนื้อประดาตัว ข้าก็เลยไถ่ตัวนางกับสามีกับให้เงินทุนนางไป”

นางหัวเราะเบา ๆ ศีรษะเล็ก ๆ นั่นเอนไปมาจนปิ่นระย้าบนกลุ่มผมนางพลิ้วไหว “หนีหนีเปิดร้านได้สามวันก็กลับมาร้องไห้อยู่ในเรือนข้า สัญญาว่าจะตอบแทนบุญคุณข้าให้ได้ ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยเอาเรื่องหนีหนีไปปรึกษาพี่สี่ เขาแนะนำให้ข้าเก็บค่าใช้จ่ายเดือนละสามตำลึงเงิน” นางเหลือบมองเขาอย่างไม่แน่ใจนัก “ท่านว่าข้าทำแบบนี้ดีหรือไม่”

จี้ชิงหยางไม่ได้สนใจเรื่องเล่าของเซี่ยลี่เจินนัก แต่เขาก็ยังพยักหน้าตอบรับ “ท่านทำถูกแล้วคุณหนู”

เซี่ยลี่เจินเอียงคอ “แต่สามตำลึงเงินมันมากกว่าค่าแรงของหนีหนีครั้งยังเป็นสาวใช้ตั้งสิบส่วน คราแรกข้าก็ไม่อยากจะเอาเงินนางเยอะขนาดนั้นแต่ท่านเชื่อหรือไม่ เปิดร้านไม่ถึงสิบวันก็มีคนเข้าร้านจนหนีหนีเก็บเงินได้ยี่สิบตำลึงเงินแล้วนา”

ห้าตำลึงเงินสำหรับชาวบ้านนั้นมันมากพอจะทำให้พวกเขาอยู่สุขสบายไปได้หลายเดือน สิบตำลึงเงินสามารถอยู่สบายไม่ต้องตรากตรำไปได้ทั้งปี ยี่สิบตำลึงเงินหรือ บางคนเกิดมายังไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนั้นมาก่อนในชีวิตเลย

เซี่ยลี่เจินพลันหน้าม่อยลง “ใจจริงข้าอยากจะเปิดร้านให้ชุนเอ๋อร์ด้วย แต่นางไม่ยอม กลับกล่าวว่าจะติดตามข้าไปชั่วชีวิต ข้าไม่อยากบังคับนางก็เลยเพิ่มเบี้ยให้นางแทน”

จี้ชิงหยางลอบถอนหายใจ เขาเอาเวลาถกเถียงข้อราชการและเวลาวางแผนเรื่องต่าง ๆ มานั่งฟังสตรีโง่งมพร่ำพรรณนาถึงสาวใช้ที่ไม่ยอมรับเงินทองหรือ มือใหญ่วางจอกชาลง เขาช้อนสายตาขึ้นมองบุตรสาวจวนอ๋องที่ยังคงพูดไปเรื่อยเปื่อยถึงสิ่งที่นางเจอมาในแต่ละวัน ทั้งผีเสื้อสีไม่เหมือนกันกระทั่งดอกไม้ไม่บาน นางก็ยังหามาพูดได้ทั้งหมด

จี้ชิงหยางนั่งพิจารณานางอยู่นาน หากเขาต้องเลือกทางนี้ก็อยากจะมั่นใจว่าภรรยาคนงามจะไม่พาเรื่องราวยุ่งยากมาให้เขาปวดหัวเพิ่ม เขามองนางขึ้นลง ใบหน้าและรูปร่างของนางนับเป็นสตรีล่มแคว้น เสียดายที่เขาเป็นพวกไม่รักหยกถนอมบุปผา ต่อให้นางงดงามปานนางเทพเซียนเขาก็คงไม่สนใจอยู่ดี สติปัญญาของนางแม้จะต่ำต้อยไปบ้างแต่นับเป็นหญิงสาวประเภทไม่มีเจตนาแอบแฝง คิดสิ่งใดก็เผยสิ่งนั้นออกมาจนหมด ไม่ต้องคอยพะวงหน้าพะวงหลังว่านางจะแอบหักหลังเขาเมื่อใด

เซี่ยลี่เจินยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนเขาจับจ้องด้วยสายตาราวกับกำลังประเมินมูลค่าสิ่งของ นางเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่อไปเรื่อย ๆ “เสียดายที่ชุนเอ๋อร์ไม่ยอมออกไปเปิดร้านน้ำชา นางชงชาได้อร่อยกว่าหนีหนีตั้งหลายส่วน ซ้ำท่วงท่านางยามยกกาน้ำชาขึ้นสูงนั้นช่างงดงามยิ่ง”

จี้ชิงหยางยกยิ้ม “คุณหนูอาจจะเสียดายในส่วนนั้น แต่หากคนไม่อยากไปจากท่านก็ถือเสียว่านางภักดีต่อท่านมากก็แล้วกัน”

เซี่ยลี่เจินพยักหน้ารับ “ข้าจะจำไว้แล้วกัน” นางหันมองออกไปทางสวน เห็นพ่อบ้านอู่เดินนำบิดามาก็รีบลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ!”

จี้ชิงหยางเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขาประสานมือคารวะ “ท่านแม่ทัพ”

“ท่านจอหงวน” เซี่ยเว่ยหันไปหาบุตรสาว “ลี่เอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อนเถอะ พ่อมีเรื่องจะคุยกับท่านจอหงวน ขอบใจเจ้ามากที่มารับแขกให้พ่อ”

เซี่ยลี่เจินยิ้มหวานหยด “เพื่อท่านพ่อแล้วลูกทำได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ ขอตัวลานะเจ้าคะ” คราวนี้นางไม่ลืมธรรมเนียมปฏิบัติ หันไปยอบกายให้จี้ชิงหยาง “ท่านจอหงวน”

ถึงตามตำแหน่งแล้วนางจะอยู่สูงกว่าเขาหลายขั้น แต่ภายในจวนอ๋องแห่งนี้นางนับตนเองเป็นคุณหนูเล็กสกุลเซี่ยอ๋องเท่านั้น หาใช่กงจู่ตามการแต่งตั้งของเสด็จลุง การจะแสดงความเคารพต่อเขาที่ทั้งอาวุโสกว่าและใกล้จะได้รับตำแหน่งขุนนางก็สมควรแล้ว ท่านแม่ทัพอู๋ซานรอกระทั่งลูกสาวเดินห่างออกไปจากระยะได้ยิน เขารับชาจอกใหม่จากพ่อบ้านอู่ เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา

“ท่านจอหงวน กลับไปคิดแล้วได้ความว่าอย่างไร พอจะเป็นคำตอบที่ทำให้คนแก่อย่างข้าสมหวังหรือไม่”

จี้ชิงหยางยกยิ้มบาง เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “แน่นอนว่าต้องเป็นคำตอบที่ท่านสมหวังขอรับ” ก่อนที่ท่านแม่ทัพจะได้พูดอะไรขึ้นมา เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน “แต่ข้ามีข้อแม้อยู่บ้าง ข้ากับคุณหนูจะแต่งงานกันเพียงในนามเท่านั้น ข้าจะไม่แตะต้องนางและจะช่วยดูแลนางจนกว่านางจะเจอคนที่นางรักจริง ๆ หากตอนนั้นมาถึง ข้ายินดีหย่าให้นางขอรับ”

“ไม่ถือ ไม่ถือ” ท่านแม่ทัพมีความสุขมากจนเขาหัวเราะเสียงดังลั่นศาลา เขาตบโต๊ะดังปึงปังอย่างถูกใจจนคนที่ชอบความเงียบสงบอย่างจี้ชิงหยางคิ้วกระตุก ท่านแม่ทัพดื่มน้ำชาอึกใหญ่ก่อนจะกระแทกจอกชาลงกับโต๊ะ “เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนใจเล่า”

จี้ชิงหยางยกยิ้มบาง เขาไม่กักเก็บสีหน้านุ่มนวลอีกต่อไป “อาจจะเป็นเพราะข้าอยากรู้ว่าท่านแม่ทัพจะใช้วิธีใดบีบบังคับฮ่องเต้กระมัง”

ท่านแม่ทัพนิ่งอึ้งไป เขากระพริบตาปริบที่ถามไปคราแรกอาจจะเพราะอารามดีใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคาดหวังเจ้าหนุ่มนี่ให้ตอบเอาใจตนอยู่บ้าง พวกประโยคที่ว่าบุตรสาวของท่านงดงามมากจนข้าไม่อาจละสายตาหรือคุณหนูช่างหลักแหลม หากพลาดไปข้าคงเสียใจชั่วชีวิตอะไรแบบนั้นมักจะเป็นสิ่งที่ลูกเขยพูดกับพ่อตามิใช่หรือ

เซี่ยเว่ยส่ายศีรษะ เอาเถอะ เขาเลือกลูกเขยคนนี้มาเอง จะไม่เหมือนคนอื่นบ้างก็ช่างปะไร ฟากจี้ชิงหยางนั้นเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องสมรสพระราชทานไม่หาย ท่านแม่ทัพอู๋ซานที่อำนาจทางทหารแผ่ขยายกว้างไกลในซันไห่และเมืองข้างเคียงกลับกลายเป็นเว่ยชินอ๋องที่ไร้อำนาจในเมืองหลวงจนลูกสาวตกอยู่ในกำมือพี่ชายต่างมารดา คนเช่นนี้จะมีวิธีบีบบังคับฮ่องเต้จริงหรือ

เซี่ยเว่ยโบกมือ “เรื่องนั้นข้าจะจัดการให้ท่านเอง กลับไปรอสมรสพระราชทานเถอะ”

จี้ชิงหยางยกยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อนขอรับ”

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ