ตอนที่ 20 พานพบท่านอาจารย์

แท้จริงแล้ว จี้ชิงหยางไม่ได้คิดจะพาเซี่ยลี่เจินไปพบอาจารย์ตนเองเลยสักนิด เขาเพียงแต่อยากใช้นางเป็นข้ออ้างเพื่อขึ้นไปพบอาจารย์เป็นการตบตาสายสืบขององค์รัชทายาทต่างหาก ซ้ำยังหลีกหนีสายตาจับจ้องของชุนเอ๋อร์จากจวนแม่ทัพไปได้ด้วย

วัดที่อาจารย์ของเขาประจำอยู่นั้นเป็นวัดที่อยู่บนภูเขาสูง ทั้งเดินทางลำบากและระหว่างทางมีแม่น้ำเชี่ยวกรากขวางกั้น ชาวบ้านหากไม่มีเหตุจำเป็นก็มักจะไม่ขึ้นไปและกราบไหว้ที่ตีนเขาแทน เช้าวันถัดมานั้น จี้ชิงหยางปลุกภรรยาตั้งแต่ต้นยามอิ๋น (03.00 - 04.59) และออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง

เขาทิ้งชุนเอ๋อร์ไว้ที่จวนด้วยเหตุผลที่ว่าจวนที่ไร้เจ้านายอย่างไรก็ต้องมีสาวใช้เป็นงานคอยเฝ้า ชุนเอ๋อร์ที่ทำตัวติดกับเซี่ยลี่เจินถึงได้ยอมแพ้ ตกลงรับปากอยู่เฝ้าจวนในที่สุด

เซี่ยลี่เจินนั่งนิ่งอยู่ในรถม้าหลังงามที่นางเอามาจากเมืองหลวงด้วย ส่วนสามีของนางนั้นต้องนั่งอยู่ด้านนอกกับคนงานที่จวนเพื่อคอยบอกทางเพราะเขาไม่ใช่คนที่นี่แต่กำเนิด หากอธิบายหยาบ ๆ รังแต่จะทำให้เสียเวลามากกว่าเดิม

นางนั่งหวนคิดถึงเรื่องเล่าต่าง ๆ นานา ที่เคยได้ฟังจากเหล่าสาวใช้ในจวนเว่ยชินอ๋อง นางเหมือนจะจำได้ราง ๆ ว่าเขานั้นเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมากับอาจารย์ที่เป็นหลวงจีนแต่เพราะไม่อยากบวชจึงได้ออกมาสอบเป็นจอหงวนแทน

หากเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้ฉลาดล้ำลึกได้มากเช่นนี้ คนเลี้ยงจะต้องฉลาดมากเพียงใดกัน?

จู่ ๆ เซี่ยลี่เจินก็รู้สึกกลัวขึ้นมา นางไม่ใช่คนฉลาดเลยแม้แต่นิดเดียว ในสกุลเซี่ยของเว่ยชินอ๋องผู้ที่ฉลาดที่สุดคือพี่ห้าและพี่หกต่างหาก รองลงมาถึงจะเป็นพี่สี่ พี่ใหญ่ พี่รองและพี่สาม ส่วนนางนั้นรั้งท้ายกว่าใครแต่เพราะเป็นหญิง ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ได้กังวลมากนัก

‘ลี่เอ๋อร์แค่งดงามก็พอแล้ว ไม่ฉลาดก็ไม่เป็นไร’

นั่นคือคำที่ท่านพ่อกับท่านแม่มักกล่าวกับนางเมื่อนางทำได้ไม่ดีในวิชาต่าง ๆ เซี่ยลี่เจินนั่งคิดนู่นนี่เรื่อยเปื่อย ก่อนที่นางจะรู้ตัวรถม้าก็หยุดลง จี้ชิงหยางกระโดดลงมายืนบนพื้นเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ภรรยาด้วยตนเอง

“มาเถอะ”

เขาพูดเสียงเรียบนิ่งแต่คนที่สนทนากับเขามาเยอะจนเริ่มจับอารมณ์ได้เช่นเซี่ยลี่เจินนั้น พลันรู้สึกว่าอารมณ์ที่ปกติมักจะนิ่งสงบราวกับน้ำนิ่งเสมอมานั้นคล้ายมีสิ่งใดมาทำให้มันกระเพื่อมเป็นวงกว้าง

นางลงจากรถม้าด้วยการพยุงของเขา เซี่ยลี่เจินหันมองคนงานที่เดินกลับไปที่ม้าเทียมรถ “เขาไม่มากับเราด้วยหรือเจ้าคะ”

จี้ชิงหยางส่ายหน้า เขาก้าวเท้าเหยียบลงบนสะพานเชือกเหนือแม่น้ำเชี่ยวกรากอย่างมั่นคง มือคอยระวังไม่ให้นางล้มลงไปจากน้ำที่สาดกระเซ็นขึ้นมาบนฝั่งจนเปียกไปทั่วบริเวณ “รถม้าที่เจ้านำมาออกจะราคาสูงเกินไปหน่อย ต้องมีคนเฝ้าไว้แบบนี้แหละ”

เซี่ยลี่เจินพยักหน้ารับ นางเกาะมือเขาไว้แล้วก้าวเท้าขึ้นสะพานเชือกพวกนั้นโดยไม่หวั่นเกรงใด ๆ จนจี้ชิงหยางออกจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง คราแรกเขานั้นไม่คิดจะนำนางมาเป็นเป้าล่อ แต่นอกจากนางแล้วเขาก็นึกวิธีอื่นไม่ออกจริง ๆ เมื่อคืนเขาก็ยังกังวลอยู่บ้างว่าหญิงสาวในห้องหอเช่นนางอาจจะกลัวกระแสน้ำ กลัวผืนป่ากว้างจนไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวเดินต่อ หากเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องทิ้งนางไว้และเดินต่อไปเพียงผู้เดียว

ทว่าต่อให้เซี่ยลี่เจินจะไม่กลัวกระแสน้ำและไม่กลัวผืนป่า แต่นางก็ไม่ใช่หญิงสาวที่ออกแรงอยู่เป็นประจำ ถึงแม้เดือนที่ผ่านมานางจะเริ่มทำงานบ้านได้คล่องแล้วแต่มันก็เป็นเพียงงานปัดกวาด เช็ดถู เล็ก ๆ น้อยภายในเรือนใหญ่และเรือนเล็ก ซ้ำจวนก็มีขนาดแค่นั้นมันจะกินแรงนางสักเท่าไหร่กันเชียว

จี้ชิงหยางจึงต้องจับมือนางไว้แนบแน่นและออกแรงลากนางที่เดินไม่ไหวแล้วให้เดินไปตามทางพร้อม ๆ กัน และคงเป็นเพราะว่าเขาใจร้อนอยากพบอาจารย์เร็ว ๆ จนลืมตัวลากนางไม่หยุดหย่อน เซี่ยลี่เจินที่แรกเริ่มนั้นหัวใจเต้นแรงแทบจะจับจังหวะไม่ได้กับการกุมมือจนไร้ช่องว่างของนางกับสามีก็ค่อย ๆ ลดความใจเต้นนั่นลงจนเหลือแต่เพียงความเหนื่อยอ่อนจากการเดินไกลไม่ได้หยุดพักฝีเท้า

จี้ชิงหยางมองภรรยาที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนต่อให้เขาออกแรงลากนางมากกว่านี้ นางก็ไม่สามารถเดินต่อได้อย่างเหนื่อยหน่าย เขาถามเบาๆ “เจ้าเดินต่อไหวหรือไม่”

เซี่ยลี่เจินเหนื่อยเสียจนไม่มีแม้แต่แรงจะอ้าปากตอบ ทำได้แค่ส่ายหน้าอยู่ตรงนั้น จี้ชิงหยางมองท้องฟ้าอย่างเป็นกังวล นี่ก็ใกล้เวลารับสำรับเที่ยงเข้าไปทุกที หากเขากับนางไปสายมีหวังได้พลาดมื้อเที่ยง ต้องหิ้วท้องรอกลับไปรับสำรับมื้อเย็นที่จวนอย่างแน่นอน

เขาถอนหายใจหนัก ๆ ตัดสินใจรวบร่างผอมบางนั่นขึ้นแผ่นหลังกว้างอย่างไม่บอกไม่กล่าว

“ว้าย!”

เซี่ยลี่เจินที่กลัวจะตกก็รีบยื่นท่อนแขนกลมกลึงคล้องลำคอได้รูปสวยของสามีทันที ความชิดใกล้ที่เข้ามากะทันหันนั้นทำเอานางแทบจะลืมหายใจ กระทั่งรู้สึกเจ็บหน้าอกจนทนไม่ไหวถึงได้รู้ตัวว่าตนเองหยุดหายใจจนเกือบจะขาดอากาศตาย

เซี่ยลี่เจินพยายามมองเมินหัวใจของนางที่เต้นรัวเร็วเพราะได้แนบชิดกับสามี นางสูดลมหายใจเข้าปอดมองรอบด้านอย่างตื่นเต้น อาจจะเพราะในตอนแรกนั้นนางมัวแต่โดนฉุดให้เดินเร็ว ๆ จึงไม่ทันได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามนี่ พอได้มองเต็มตาก็อดอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“ท่านพี่ ผืนป่านี้งดงามยิ่งเจ้าค่ะ”

จี้ชิงหยางขมวดคิ้วฟังนางพูดโน่นนี่เรื่อยเปื่อยไปตามทางอย่างสบายอกสบายใจ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นตัวถ่วงเสียจนเขาต้องอุ้มนางขึ้นหลังเพื่อที่จะมาให้ทันมื้อเที่ยงในวัดเช่นนี้น่ะหรือ ทว่าจี้ชิงหยางเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาก้มหน้าก้มตาแบกนางไปเงียบ ๆ กระทั่งถึงวัดเขาก็รู้ทันทีว่าเขากับภรรยามาไม่ทันมื้อเที่ยงเสียแล้ว

“วัดพุทธไม่ทานข้าวหลังเที่ยง” เขาเหลือบสายตามองนาง “เจ้าหิวหรือไม่”

ราวกับรู้ตัวว่าตนเองเป็นต้นเหตุทำให้เขาไม่ได้รับสำรับไปด้วย เซี่ยลี่เจินรีบส่ายหน้าหวือ “ไม่หิวเจ้าค่ะ” ทั้ง ๆ ที่ท้องของนางแทบจะร้องเป็นเพลงงิ้วได้อยู่แล้ว

จี้ชิงหยางทำเป็นมองไม่เห็นอาการบิดตัวไปมาอย่างคนหิวจัดของนาง เขาเดินนำภรรยาคนงามไปด้านหลังโบสถ์ ทะลุไปถึงส่วนที่เป็นที่พักส่วนตัวของเจ้าอาวาส เขาเคาะประตูแผ่วเบา ไม่นานหลวงจีนชราผู้หนึ่งก็เดินมาเปิดประตู

ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาพลันยิ้มอย่างดีใจ “อาหยาง”

“ท่านอาจารย์”

เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเขาแย้มยิ้มอย่างมีความสุขจริง ๆ สักที คราวก่อน ๆ นั่นเขาก็ยิ้มได้ดูดีมากอยู่หรอกแต่นางมองอย่างไรก็รู้สึกว่ามันขาดอารมณ์บางอย่าง มาเห็นยิ้มเขาคราวนี้ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เขาขาดไปคือความสุขนั่นเอง

จี้ชิงหยางกวักมือเรียกนางเข้าไปใกล้ “ลี่เจิน นี่ฮุ่ยหลิน อาจารย์ของข้า”

เซี่ยลี่เจินรีบยอบกายทำความเคารพด้วยไม่รู้ว่าการทำความเคารพหลวงจีนต้องทำอย่างไร จนสามีต้องทำให้นางดูอีกครั้งหนึ่งนางถึงจะทำได้ถูกต้อง นางพนมมือยกขึ้นไหว้ แย้มยิ้มกว้าง “เซี่ยลี่เจินเจ้าค่ะ”

ฮุ่ยหลินมองนางขึ้นลงอย่างพออกพอใจ เขากล่าวเบา ๆ

“ภรรยาดี ภรรยาดี” 

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ