ตอนที่ 5. ทดสอบท่านพ่อ

“อนุกัว คราแรกเจ้าเป็นเพียงสาวใช้ในหอนางโลม ถือว่าตนเองหน้าตาโดดเด่นทั้งยังรูปร่างอ้อนแอ้นถูกใจบุรุษ บิดาข้าถึงได้ยอมไถ่เจ้าออกมาแต่งตั้งให้เป็นอนุ อยู่บ้านสกุลมู่มาสิบกว่าปี เจ้าไม่รู้เลยหรือ ผู้ใดเรียกว่าเจ้านาย ผู้ใดเรียกว่าบ่าวไพร่”

มู่เสวี่ยหลิงยกจอกชาขึ้นจิบช้า ๆ นางโบกมือเพียงครั้งสาวใช้พวกนั้นก็หยิบเอาไม้พลองขนาดใหญ่ติดมือมาด้วย “ข้าเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ครอบครัวมารดาเป็นพ่อค้ามาหลายชั่วอายุคน บิดาข้าคือนายท่านของจวนนี้ แล้วเจ้าเล่า อนุกัว นอกจากอนุของท่านพ่อที่ตะกายมาจากตำแหน่งสาวใช้ เจ้ามีอันใดให้ข้าเกรงกลัวกัน”

ฝ่ามือเรียวบางกระแทกจอกลงโต๊ะไม้เสียงดังลั่น มู่เสวี่ยหลิงพลางพูดเสียงเฉียบขาด

“โบยนาง โบยให้ข้าได้ยินด้วย”

อนุกัวไม่โดนโบยมานานแล้ว อย่างมากนางก็แค่ถูกกักบริเวณทั้งอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยจะทนรับการลงโทษเช่นนี้ได้อย่างไร นางเบิกตากว้าง เริ่มกรีดร้องเสียงดังลั่นห้องโถง

“มู่เสวี่ยหลิง! เจ้าอย่าคิดว่าเป็นบุตรสาวแล้วจะหนีรอดไปได้ ข้าจะฟ้องนายท่าน!”

เรียวคิ้วสวยของมู่เสวี่ยหลิงเคลื่อนเข้าหากันเป็นปม “เจ้าหาอะไรมาอุดปากนาง ข้าแสนจะแสบแก้วหูนัก” นางหยิบจอกชาขึ้นมาจรดปากอีกครั้ง

“อ้อ เจ้าไปแจ้งท่านพ่อด้วยว่าข้าโบยนาง บอกว่าข้าเห็นว่านางกระด้างกระเดื่องต่อเจ้านายเลยโบยสั่งสอน ถ้าหากท่านพ่อมีข้อสงสัยข้าจะไปชี้แจงด้วยตนเอง”

สาวใช้คนนั้นจากไปไม่นานก็รีบสาวเท้าเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง นางก้มใบหน้าลงต่ำ ไม่กล้ามองสบตาคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวในจวน อนุกัวตอนนี้ถูกโบยจนสลบไปแล้ว บ่าวคนหนึ่งถือถังน้ำไว้ รอเพียงคุณหนูเอ่ยปากก็จะสาดใส่ร่างชุ่มเลือดบนพื้น ให้นางฟื้นขึ้นมารับโทษโบยอีกครั้ง

“คุณหนู นายท่านบอกว่าไม่ติดใจสงสัยในการตัดสินใจของคุณหนูเจ้าค่ะ ให้คุณหนูทำตามที่เห็นสมควรได้เลย”

“อืม เจ้าไปได้”

มู่เสวี่ยหลิงหลุบสายตามองเงาตนเองในจอกชา ที่จริงแล้วนางไม่ได้อยากยุ่งวุ่นวายกับอนุกัวนักเพียงแต่ต้องการหยั่งเชิงท่านพ่อเท่านั้น อนุกัวเป็นอนุคนโปรดเสมอมา นางก็อยากจะรู้นักว่าระหว่างบุตรสาวที่มีสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลหยวน กับอนุที่ท่านพ่อทะนุถนอมมานับสิบปี สิ่งใดจะมีน้ำหนักในใจท่านมากกว่ากัน

“เฮ้อ อนุกัวหนออนุกัว”

มู่เสวี่ยหลิงส่ายหน้า นางผุดลุกขึ้นยืน นึกปรามาสในใจ สาวใช้ผู้นี้หลงรักคนผิดเสียแล้ว บิดาของนางไร้หัวใจยิ่ง เพียงเพื่อไม่ให้ลูกสาวที่กำลังจะแต่งออกนึกแง่งอน มีความแค้นเคืองเก็บไว้ในใจถึงกับยอมสละอนุคนโปรด บุรุษอย่างท่านพ่อ ดูเบาไม่ได้เลยจริง ๆ

“ลี่ลี่ เจ้าหยิบหีบนั้นออกมาด้วย เอาออกมาเทให้หมด นับดูสิว่ามีเท่าไหร่”

มู่เสวี่ยหลิงกำลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบเรือนของตนเอง นางวางแผนเอาไว้แล้ว หลังแต่งออกไปเพื่อไม่ให้เงินทองที่นางเก็บสะสมเอาไว้ถูกท่านพ่อเอาไปปรนเปรออนุพวกนั้นเสียหมด นางจะต้องเอาเครื่องประดับทั้งหมดในมือทั้งทองคำแท่งทั้งหลายไปจำนำเป็นตั๋วเงินเก็บไว้

แต่จะจำนำทีเดียวก็ไม่ได้อีก โรงจำนำหูตาว่องไว ไม่นานเรื่องต้องกระจายไปทั่วทั้งเมืองเป่ยแน่ ถึงตอนนั้นจะหาว่าใครมีเครื่องประดับมากมายถึงขนาดนำมาแลกเป็นเงินได้ก็มีไม่มากแล้ว

“คุณหนู มีร้อยตำลึงทองเจ้าค่ะ”

“น้อยขนาดนี้เชียว” มู่เสวี่ยหลิงกัดริมฝีปากแน่น เพราะเมื่อก่อนนางหูตามืดบอดหลงมัวเมาไปกับของนอกกายพวกนั้น พอครานี้อยากจะหยิบจับใช้สอยอันใดก็รู้สึกติดขัดไปเสียหมด มู่เสวี่ยหลิงกวาดสายตามองรอบห้องอีกครั้งหนึ่ง นางคว้าเอากล่องเครื่องประดับราคาสูงค่ายัดใส่มือลี่ลี่

“เจ้าเอากล่องนี้ไปจำนำ ไปที่โรงจำนำของผู้เฒ่าเต๋ออย่าไปที่ของตาแก่หวัง ที่นั่นชอบกดราคา” มู่เสวี่ยหลิงสั่งงานรัวเร็ว “อ้อ ขากลับซื้อใบชาเถี่ยกวนอินมาด้วย”

ลี่ลี่ที่กำลังจะค้อมกายออกไปพลันหยุดชะงัก นางหันกลับมามองหน้าคุณหนู สีหน้างุนงงอย่างถึงที่สุด

“คุณหนูไม่ดื่มชาเถี่ยกวนอินมิใช่หรือเจ้าคะ”

“ก็ใช่” มู่เสวี่ยหลิงไม่ชอบกลิ่นชา มันทั้งเหม็นเขียวและชวนให้เวียนหัวอยู่บ่อย ๆ แต่นางรู้จักคนที่ชอบชาชนิดนั้น

“ข้าจะนำไปให้พี่หยวน เจ้ารีบไปรีบกลับ”

ลี่ลี่งุนงงยิ่งกว่าเดิม แต่ไหนแต่ไรมามู่เสวี่ยหลิงนึกรังเกียจที่บ้านตระกูลหยวนเป็นเพียงพ่อค้า นางเคยนึกฝันอยากเป็นนางสนม อยากเป็นภรรยาเอกแก่ขุนนางตระกูลใหญ่ พอเห็นตระกูลหยวนมีเพียงทรัพย์สินแต่ไร้หน้าตาก็ประวิงเวลางานแต่งมาเสียเนิ่นนาน

ผ่านพิธีปักปิ่นมาได้จวนจะครบปีก็ยังไม่มีวี่แววงานมงคล เมื่อได้ฟังคำตอบจึงเลิกสนใจ หันหลังออกจากห้องไปเพื่อทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด

มู่เสวี่ยหลิงนึกรำคาญที่ตนเองเมื่อก่อนหูตาคับแคบเอาแต่เพ้อฝันไม่ดูตนเอง

เป็นนางสนมเช่นนั้นหรือ? ถึงหน้าตานางจะงดงามแต่ในวังหลวงขาดแคลนสาวงามตั้งแต่เมื่อใดกัน ไร้ตระกูลหนุนหลัง ชาตินี้ทั้งชาตินางก็ยังคงเป็นเพียงไฉเหริน ดีไม่ดีอาจจะไม่ได้ถวายตัวด้วยซ้ำไป จะแต่งเป็นภรรยาเอกตระกูลขุนนาง นั่นยิ่งไม่ตลกเข้าไปใหญ่หรอกหรือ พวกขุนนางมีความสัมพันธ์ซับซ้อน ไม่มีที่แทรกให้นางเป็นฮูหยินเอกแน่

มู่เสวี่ยหลิงสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระออกจากหัวได้ก็หันมาสนใจงานในมือต่อ นางคัดเลือกเครื่องประดับไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนพับผ้าไม่อาจขายได้ราคาดีจึงไม่สามารถนำไปจำนำได้ นางตัดใจเก็บมันไว้ เผื่อวันข้างหน้าจำเป็นต้องใช้ขึ้นมาจะได้ไม่ต้องตามหาเสียเงินซื้อให้วุ่นวาย

โพสต์ข้อความ