ตอนที่ 13. ล่มงานแต่ง

เพราะฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวค่อนข้างเย็นย่ำมู่เสวี่ยหลิงจึงมีเวลานอนเต็มอิ่ม นางตื่นขึ้นก่อนที่ลี่ลี่จะเข้ามาเรียกไม่เท่าไหร่ หลังพวกแม่สื่อเข้ามาช่วยแต่งเนื้อแต่งตัวทั้งยังสั่งสอนตำราต้องห้ามพวกนั้นให้นางฟังรอบหนึ่งก็จากไปด้วยใบหน้าอิ่มเอม มู่เสวี่ยหลิงนั่งรออยู่นาน กระทั่งใกล้ถึงเวลาที่นางต้องขึ้นเกี้ยว มู่เหยียนจงถึงเพิ่งเปิดประตูเข้ามา

เห็นสีหน้าเขาย่ำแย่ไม่คล้ายกับสีหน้าดีอกดีใจในวันมงคลของบุตรสาว มู่เสวี่ยหลิงก็พอจะเดาได้ นางยกมือขึ้นดึงผ้าคลุมหน้าสีแดงสดปิดบังใบหน้าตนเองโดยไม่รอให้บิดาเป็นผู้ลงมือ มู่เสวี่ยหลิงหมดความหวังในตัวบิดาแล้ว ต่อจากนี้จิตใจและความคิดของนางทุ่มเทเพื่อหยวนเซิ่งเจ๋อเพียงผู้เดียว

“ท่านพ่อคงสั่งให้คนไปสืบจนรู้ความแล้วกระมัง” นางหยิบปลอกเล็บสีทองสอดใส่เรียวนิ้ว “สรุปแล้วบุตรสาวอย่างข้าหลอกท่านหรือไม่เล่า”

“เสวี่ยหลิง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขามีภรรยาแล้ว”

มู่เสวี่ยหลิงชะงักมือชั่วขณะ ปกติแล้วบิดามักจะเรียกขานนางด้วยความเอ็นดูว่าหลิงเอ๋อร์เสมอ มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะเรียกนางว่าเสวี่ยหลิง และมันก็มักจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเสียเท่าไหร่ มู่เสวี่ยหลิงผุดกายลุกขึ้นยืน นางจับชายกระโปรงไปอีกทางหนึ่ง เดินผ่านหน้าเขาไปยังประตูเรือน ดวงตาเหม่อมองออกไปไกล

“ท่านพ่อ เขาบอกท่านว่าเป็นขุนนางขั้นสี่ใช่หรือไม่”

มู่เหยียนจงรีบตอบ “ใช่”

“ท่านพ่อ ขุนนางขั้นสี่ที่ยังไม่แต่งภรรยาก็คงมีอยู่ไม่กี่เหตุผล หนึ่ง มารดาเขามีปัญหาจนหญิงสาวไม่อยากแต่งเข้าไป สอง เขาเป็นคนเก่งกาจ เป็นคนสนิทของฮ่องเต้ ไม่จำเป็นต้องแต่งงานการเมืองเพื่อเพิ่มพูนอำนาจให้ตนเอง สาม เขาเป็นต้วนซิ่ว”

มู่เสวี่ยหลิงลูบกำไลหยกแดงบนข้อมือตนเอง กล่าวเสียงเรียบเรื่อย “มารดาเขาไม่มีปัญหาทั้งยังไม่ใช่ต้วนซิ่วและไม่ใช่คนเก่งกาจสามารถอันใด ท่านพ่อ ท่านว่าที่ข้าพูดมาจริงหรือไม่”

มู่เหยียนจงเพราะโลภจริงโง่เขลา เพราะวาดหวังไว้มากจึงผิดหวังยากยอมรับความจริง มู่เสวี่ยหลิงไม่คิดจะพูดคุยกับเขาให้เสียเวลาอีก นางยังต้องไปขึ้นเกี้ยว ยังมีเรื่องมากมายให้จัดการ มู่เหยียนจงกว่าจะได้สติก็เห็นบุตรสาวเดินขึ้นเกี้ยวด้วยความช่วยเหลือของแม่สื่อไปแล้ว เขาสบถคำหนึ่งก่อนนั่งรถม้าตามไปยังบ้านสกุลหยวน

ถึงงานแต่งจะถูกจัดในเวลากระชั้นชิดแต่พิธีการทั้งหมดครบถ้วนตามธรรมเนียม หยวนเซิ่งเจ๋อเป็นคนดูกำหนดการด้วยตนเอง เขาตรวจจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นสายตาทำให้มู่เสวี่ยหลิงอับอายขายหน้า และเพราะจดหมายที่เขาแอบส่งไปเมื่อวาน ตอนนี้หยวนเซิ่งเจ๋อกำลังยืนอยู่หน้าจวนด้วยหัวใจเต้นรัวเร็ว เขากลัวว่านางจะไม่มาและคาดหวังให้นางมาในเวลาเดียวกัน

ครั้นเห็นขบวนแห่เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สีหน้าของหยวนเซิ่งเจ๋อก็ค่อยดีขึ้น เขายกยิ้มกว้าง มองเกี้ยวแต่งผ้าแดงแปดคนหามด้วยสายตาหวานล้ำ แม่สื่อสั่งให้คนหยุดเกี้ยวตรงหน้าประตูจวน นางพยุงเจ้าสาวออกจากเกี้ยว ส่งมู่เสวี่ยหลิงให้หยวนเซิ่งเจ๋อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

หยวนเซิ่งเจ๋อคล้ายไม่ได้ยินเสียงโห่ร้อง ในดวงตามองเห็นเพียงนาง สัมผัสได้เพียงนาง ได้ยินเพียงลมหายใจของนางกระทั่งพิธีคำนับฟ้าดินผ่านพ้นไปเขาก็ยังไม่ได้สติกลับมา แม่สื่อเห็นเจ้าบ่าวมองเจ้าสาวตาหยาดเยิ้มเสียขนาดนั้นก็นึกเอ็นดูขึ้นมา นางเดินเข้าไปใกล้ หยิบฝ่ามือเรียวบางของมู่เสวี่ยหลิงออกจากมือหนาของเขา

“คุณชายหยวน ข้าจะพาคุณหนูมู่ไปที่ห้องหอเจ้าค่ะ”

คุณชายหยวนพยักหน้ารับช้า ๆ ทว่ายังไม่ทันที่มู่เสวี่ยหลิงจะเดินผ่านพ้นลานพิธี เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น

“คุณชายหยวนหนอ คุณชายหยวน” หมิงเยี่ยเดินเข้ามาในงาน ดวงตาเขาแดงก่ำทังยั้งได้กลิ่นเหม็นสุราลอยโชยมาตามลม มู่เหยียนจงใบหน้าซีดเผือด ไม่กล้าเดินเข้าไปห้ามเขาสักนิด หมิงเยี่ยมองมู่เสวี่ยหลิงในชุดแต่งงานคราหนึ่งก็แค่นหัวเราะ “คุณชายหยวน แต่งกับสตรีใจหยาบผู้นี้จะมีประโยชน์อันใด ท่านรู้หรือไม่ว่านางทำสิ่งใดไว้เมื่อคืน”

หยวนเซิ่งเจ๋อขมวดคิ้วฉับ เขากล่าวเสียงเข้ม “นายท่านหมิง ถึงท่านจะสูงส่งกว่าพวกข้าแต่อย่างไรนี่ก็งานมงคล มีแขกเหรื่อมากมาย ท่านระมัดระวังมารยาทด้วย”

แขกเหรื่อพวกนั้นเป็นแขกที่สนิทสนมกับทั้งสองตระกูล เห็นคนเข้ามาป่วนงานแต่งก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าเยี่ยงไรถึงจะเหมาะสม หมิงเยี่ยไม่สนใจสายตาที่จับจ้อง เขาขยับกายเข้าใกล้หยวนเซิ่งเจ๋ออีกก้าวหนึ่ง

“คุณชายหยวน ข้าเตือนท่านด้วยความหวังดี วันนี้นางแต่งงานเป็นภรรยาท่าน แต่เมื่อหลายคืนก่อนนางยังลอบพบปะกับข้าในยามวิกาล เวลาอื่นใครจะรู้ นางอาจจะมีสัมพันธ์กับชายอื่นแล้วก็เป็นได้”

“นายท่านหมิง!”

“ท่านพูดบ้าอันใด!”

“หลิงเอ๋อร์!”

“พี่หยวน! หยุดก่อนเจ้าค่ะ!” มู่เสวี่ยหลิงตะเบ็งเสียงท่ามกลางความวุ่นวายรอบด้าน นางเดินตามการพยุงของแม่สื่อไปตรงหน้าหมิงเยี่ย กล่าวอย่างฉะฉาน “นายท่านหมิง ท่านบอกว่าข้าลอบพบปะท่านยามวิกาล ไม่ทราบว่าเป็นยามใดเจ้าคะ”

หมิงเยี่ยมึนเมามีหรือจะตอบได้ถูก เขาหยิบเวลามามั่ว ๆ ตอบนางไป

มู่เสวี่ยหลิงยกยิ้ม “นายท่านหมิง ตอนนั้นบิดาข้าเลือดลมตีกลับเป็นลมอยู่ในห้อง ข้านั่งเฝ้าเขาทั้งคืน เรื่องนี้ท่านพ่อบ้านและบ่าวไพร่ทำหน้าที่ยกยาย่อมเป็นพยานได้ บิดาตื่นขึ้นกลางดึก ข้านั่งสนทนากับเขาอยู่เกือบชั่วยามกว่าจะกลับออกมา นายท่านหมิง ข้าถามท่านสักคำ ถ้าหากข้าลอบพบปะกับท่านเวลานั้น แล้วคนที่นั่งคุยกับบิดาข้าเป็นใครเล่า”

หมิงเยี่ยถูกนางทุบตีด้วยคำพูดจนมึนเบลอ ขมวดคิ้วแน่น “มู่เสวี่ยหลิง หญิงชั้นต่ำ เจ้าอย่ากลับคำข้าเชียว”

“หมิงเยี่ย เจ้าคนเดรัจฉาน เห็นว่าข้าไม่เล่นด้วยก็ตั้งใจล่มงานแต่งของข้าอย่างนั้นหรือ” มู่เสวี่ยหลิงไม่ยอมให้เขาด่าเฉย ๆ แน่ นางหันหน้าไปหาแขกเหรื่อ ค้อมศีรษะลงอย่างต้องการความเป็นธรรม “ทุกท่านที่อยู่ที่นี่เป็นพยานให้ข้าได้ ข้ามู่เสวี่ยหลิง นอกจากจวนก็ไม่เคยย่างกรายไปที่อื่น จะซื้อแพรพรรณสักครั้งยังเรียกช่างมาถึงจวน ทั้งในจวนนอกจากบ่าวชายคนสนิทของท่านพ่อและท่านพ่อบ้าน ข้าก็ไม่เคยพบเห็นบุรุษผู้อื่นอีก ถามพวกท่านสักคำ ข้าจะลอบพบบุรุษอื่นได้อย่างไร”

โพสต์ข้อความ