มู่เสวี่ยหลิงจัดการงานในเรือนอยู่ครึ่งค่อนวันก็เห็นบิดาเดินยิ้มมาแต่ไกล นางรีบสั่งให้สาวใช้เก็บของที่วางระเกะระกะ รีบเดินออกไปต้อนรับ
“คารวะท่านพ่อ”
“หลิงเอ๋อร์ อย่ามากพิธีไป” มู่เหยียนจงเดินเข้าไปในเรือนเหมยหลันของบุตรสาว เขากวาดตามอง เห็นพับผ้าและเครื่องประดับวางอยู่เต็มพื้นก็นึกสงสัยขึ้นมา
มู่เสวี่ยหลิงกลัวว่าบิดาจะจับพิรุธนางได้ก็รีบทำสีหน้าเอียงอาย “ท่านพ่อ ลูกกำลังรื้อหาเครื่องประดับหยกแดงอยู่เจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าหาอย่างไรก็หาไม่เจอจึงได้แต่หยิบเอาออกมาวางทั้งหมดเช่นนี้ ขายหน้าท่านพ่อแล้ว”
มู่เหยียนจงหัวเราะเสียงดัง เขายื่นมือลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมยาวสลวยของนาง
“หลิงเอ๋อร์ กับแค่เครื่องประดับชุดเดียวจำเป็นต้องให้เจ้าวุ่นวายถึงเพียงนี้เชียวรึ หาไม่เจอก็บอกพ่อ พ่อจะให้คนไปหาซื้อชุดใหม่มาให้เจ้า”
มู่เสวี่ยหลิงสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย นางยกยิ้มกว้าง
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ เพียงแต่เครื่องประดับหยกแดงชุดนั้นถูกใจลูกมากจริง ๆ เป็นเครื่องประดับที่ท่านพี่หยวนให้มาเมื่อครั้งปักปิ่น ลูกหวงแหนมากจนไม่อยากหยิบมาใส่ให้เปื้อนฝุ่น ตอนนี้นึกอยากหยิบมาชมดูก็หาไม่เจอเสียแล้ว”
“ท่านพี่หยวน? หยวนเซิ่งเจ๋อน่ะหรือ”
มู่เสวี่ยหลิงหน้าแดงได้อย่างพอดิบพอดี ไม่มากเกินไปจนดูเกินงามไม่น้อยเกินไปจนดูแข็งทื่อ “เจ้าค่ะ ท่านพี่หยวนให้ข้ามา”
มู่เหยียนจงหลังจากจัดแจงงานหมั้นก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อีก ถึงพ่อบ้านจะรายงานว่าคุณหนูมู่เสวี่ยหลิงดูจะไม่ชอบว่าที่ลูกเขยเขาก็ไม่ใส่ใจ ขอเพียงนางแต่งกับตระกูลหยวน เรื่องชอบไม่ชอบไม่ใช่เรื่องสำคัญแม้แต่นิด
“เจ้ากับเขาเข้ากันได้ก็ดีแล้ว” มู่เหยียนจงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “วันนี้มีงานเทศกาลในเมืองแถวตลาด เจ้าว่าง ๆ ก็ออกไปเดินชมงานกับพี่เขาสิ”
มู่เสวี่ยหลิงสีหน้าซีดเผือด จากใบหน้ายิ้มแย้มกลับกลายเป็นใบหน้าไร้สีเลือดในทันควัน ฝ่ามือที่ประสานกันไว้บนหน้าท้องบีบแน่นด้วยความคับแค้นใจ เมื่อชาติก่อน ตอนที่นางยังเป็นคุณหนูไม่รู้ประสีประสา
ก็เป็นวันนี้อีกเช่นกันที่ออกไปด้านนอกและพบเจอกับมันผู้นั้นเข้า มู่เสวี่ยหลิงไม่ได้ตั้งใจไปงานเทศกาล แต่เพราะนางถูกอนุหวาหลอกล่อออกไปต่างหาก ถึงได้เกิดเหตุการณ์วีรบุรุษช่วยสาวงาม ก่อเกิดห่วงความรักในใจนาง
โดนโจรฉุดคร่า เขาผ่านมาช่วยไว้ได้ทัน นางตกหลุมรักเขา เขามีไมตรีตอบทั้งยังสัญญาว่าจะแต่งนางเป็นภรรยาเอก มู่เสวี่ยหลิงหัวเราะเสียงดังลั่นอยู่ในใจ เหตุใดตอนนั้นนางถึงได้โง่งมมองเล่ห์กลของเขาไม่ออกกันหนอ
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดหน้าซีดเช่นนั้น”
มู่เสวี่ยหลิงได้สติกลับคืน นางเงยหน้ามองบิดาพลางยกยิ้มอ่อนแรง แสร้งยกมือขึ้นแตะศีรษะครั้งหนึ่ง
“ท่านพ่อ วันนี้ลูกวุ่นวายอยู่กับงานในเรือนจนหัวหมุนไปหมด ตอนนี้เริ่มรู้สึกเวียนหัวแล้ว งานเทศกาลนั่น ข้าคงไม่ไปเจ้าค่ะ”
มู่เหยียนจงเห็นสีหน้าบุตรสาวไม่ดีก็ไม่คิดจะบังคับนางต่อ เขาพยักหน้ารับ “งั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ พวกเจ้าดูแลคุณหนูให้ดี”
มู่เสวี่ยหลิงยืนส่งบิดาอยู่หน้าเรือน นางมองจนกระทั่งเขาหายลับไปสีหน้าถึงได้เคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง มันผู้นั้นต้องมาถึงเมืองเป่ยแล้วแน่ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร สองเดือนนี้นางจะไม่ออกจากจวนเด็ดขาด!
“หลิงเอ๋อร์ ทำความเคารพท่านหมิงเร็วเข้า”
มู่เสวี่ยหลิงรู้สึกเหมือนโดนทัณฑ์สายฟ้าฟาดเข้าร่างอย่างจัง นางยืนแข็งทื่ออยู่ด้านนอกห้องโถง ดวงตาจับจ้องใบหน้าคุ้นตาที่สลักลึกลงในใจด้วยความเกลียดชังทั้งยังเคืองแค้น หมิงเยี่ย บุรุษชั่วช้าสามานย์ เขาหลอกให้นางหลงรัก เขาหลอกให้นางเชื่อ เขาบอกว่าจะแต่งนางเป็นภรรยาเอกของเขาที่เมืองหลวง ให้นางขึ้นเกี้ยวแดงแปดคนหามไม่ให้นางต้องน้อยหน้าใคร
สุดท้ายแล้วเขาพานางไปเมืองหลวงจริง แต่นางได้เพียงตำแหน่งอนุเท่านั้นซ้ำยังเป็นอนุลำดับที่ห้า ไร้ความสลักสำคัญอย่างถึงที่สุด เขามีเมียเอกอยู่แล้วทั้งยังมีเมียรองและอนุเต็มจวน ตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาก็ได้มาเพราะพ่อภรรยาเป็นผู้ผลักดัน เขาใช้ชีวิตอยู่กับจวน สำเริงสำราญใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังปล่อยให้นางถูกฮูหยินเอกของเขารังแกจนลี่ลี่ต้องตกตาย
เขาทำกับนางไว้สาหัสถึงเพียงนั้น สุดท้ายเพราะรังเกียจที่นางติดโรคหญิงขายเรือนร่างถึงได้ส่งนางกลับให้บิดา เป็นเหตุให้หยวนเซิ่งเจ๋อต้องตายอย่างโดดเดี่ยว เป็นเพราะเขา ชีวิตรุ่งโรจน์ของหยวนเซิ่งเจ๋อถึงได้ดับสิ้น เป็นเพราะเขา พี่หยวนของนางถึงต้องสิ้นชีวิตเยี่ยงสุนัขข้างถนน
เป็นเพราะมันทั้งหมด!
มู่เหยียนจงเห็นบุตรสาวยืนจ้องหน้าแขกเอาเป็นเอาตายก็นึกกลัวว่าหมิงเยี่ยจะเอาเรื่อง เขาเรียกเสียงเข้ม
“หลิงเอ๋อร์! อย่าเสียมารยาทต่อแขกของพ่อ”
มู่เสวี่ยหลิงกระพริบตาปริบ นางคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ยอบกายให้บิดาและหมิงเยี่ยอย่างฝืนใจ
“เสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ เป็นเพราะหลิงเอ๋อร์ไม่เคยพบขุนนางมาก่อนจึงตกใจอยู่บ้าง ขอท่านหมิงอย่าถือสาผู้น้อยเลยนะเจ้าคะ”
หมิงเยี่ยส่ายหน้าช้า ๆ “ได้ทำให้สาวงามผู้หนึ่งตะลึงตะลาน ถือว่าเป็นโชคดีของข้าแล้ว”
มู่เสวี่ยหลิงสะอิดสะเอือนจนนึกอยากจะอาเจียนออกมาเสียเดี๋ยวนั้น นางก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ขณะผ่านลี่ลี่ยังเอ่ยสำทับอีกคำหนึ่ง
“เจ้าไปจวนหยวน บอกคนหน้าประตูว่าข้าคุณหนูมู่มีเรื่องต้องหารือกับคุณชายใหญ่หยวนเป็นการด่วน”
ลี่ลี่ขมวดคิ้วแน่น “คุณหนู ถ้าคุณชายหยวนไม่มาเล่าเจ้าคะ”
มู่เสวี่ยหลิงเสียงอ่อนลง “เขาต้องมาแน่”
เพราะหยวนเซิ่งเจ๋อผู้นั้นรักนางที่สุดในชีวิตเขา ขอเพียงนางเอ่ยปาก เขาย่อมต้องมาแน่