นางหันกลับไปยังหมิงเยี่ย ยกยิ้มอ่อนจาง
“นายท่านหมิง เป็นอย่างที่พี่หยวนกล่าว ข้าเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลมู่ นอกจากพี่หยวนแล้วก็ไม่เคยสนทนากับบุรุษผู้อื่น ออกจะรู้สึกกลัวอยู่บ้างเจ้าค่ะ” มู่เสวี่ยหลิงถือวิสาสะยกมือขึ้นวางบนท่อนแขนหยวนเซิ่งเจ๋อ นางเอนตัวหลบอยู่หลังเขา โผล่ออกมาเพียงดวงตาคู่หนึ่ง
“พี่หยวน ท่านพาข้าไปดูท่านพ่อหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
หยวนเซิ่งเจ๋อเห็นนางพึ่งพาตนเองก็ดีใจจนเนื้อเต้น เขาแย้มยิ้มกว้าง มือวางลงบนหลังมือของนาง “หลิงหลิง ไปเถิด”
เขายังไม่ลืมว่าตนเองไม่ได้มาคนเดียว หันไปหาแม่สื่อที่นั่งทำสีหน้าแปลกประหลาดด้านหลัง
“แม่สื่อ รบกวนท่านนำฤกษ์แต่งงานไปให้ท่านพ่อท่านแม่ที่จวนด้วย พวกเขาจะได้จัดเตรียมงานได้ทัน”
แม่สื่อผุดลึกขึ้นยืนทันที นางค้อมศีรษะรับคำทว่าในใจยังนึกสงสัย งานแต่งเร็วถึงเพียงนี้ บ้านสกุลหยวนจะจัดเตรียมทันได้ยังไงกัน?
กว่านายท่านมู่จะฟื้นคืนสติดวงตะวันก็ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว มู่เสวี่ยหลิงรู้ตัวดีว่าวันนี้นางก่อเรื่องใหญ่ไว้ขนาดไหน หลังจากส่งหยวนเซิ่งเจ๋อกลับจวนและสลัดคนน่าตายอย่างหมิงเยี่ยออกไปได้ มู่เสวี่ยหลิงก็มานั่งเฝ้าบิดาอยู่ข้างเตียง แสร้งทำตัวเป็นบุตรสาวกตัญญูทั้งที่ในใจเหนื่อยหน่ายเหลือแสน
“ท่านพ่อ ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”
มู่เสวี่ยหลิงยื่นมือช่วยประคอง ทว่าบิดานางกลับดึงแขนกลับไปเสียอย่างนั้น เห็นเขาไม่พอใจมู่เสวี่ยหลิงก็ไม่ได้ดึงดันอีก นางยืนอยู่ข้างตั่งเตียงกว้าง มือทั้งสองข้างประสานที่หน้าท้อง เอ่ยกับบิดาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านพ่อ ไม่พอใจข้าหรือเจ้าคะ”
“หึ ข้าจะไม่พอใจอะไรในตัวเจ้าได้ เล่นจัดการงานแต่งตนเองเสียเรียบร้อยปานนั้น บุตรสาวของข้าช่างเก่งกล้าสามารถเหลือเกิน!”
มู่เสวี่ยหลิงแสร้งทำตัวเป็นบุตรสาวกตัญญูมาหลายชั่วยาม ถึงตอนนี้นางก็เริ่มจะรู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว มู่เสวี่ยหลิงนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง หยิบกระดาษปึกหนึ่งวางลงตรงหน้าบิดา
มู่เหยียนจงขมวดคิ้วฉับ “นี่อะไร”
มู่เสวี่ยหลิงไม่สนใจว่าบิดาจะมองมันหรือไม่ นางเปิดกระดาษออก ด้านในมีภาพวาดขุนนางผู้หนึ่ง โครงหน้าละม้ายคล้ายหมิงเยี่ยถึงแปดส่วน
“ท่านพ่อ ข้ามองออกว่าท่านต้องการให้ข้าแต่งไปเป็นภรรยาของขุนนางผู้นั้น แต่ท่านดูเอาเถิด ท่านหมิงเยี่ยผู้นี้มีภรรยาเอกอยู่แล้วหนึ่งคน มีภรรยารองสองคน มีอนุอีกสี่คน ข้าถามท่านสักคำ ข้าแต่งไปเป็นอนุคนที่ห้า บิดาอย่างท่านจะได้ประโยชน์อันใด”
มู่เหยียนจงตะลึงตะลาน “นี่- นี่-”
“ท่านพ่อ ท่านดูสกุลภรรยาเอกเขาเอาเถิด นางสกุลสวี่ แต่ไหนแต่ไรมาทุกคนล้วนรู้กันทั่วว่าสกุลสวี่เป็นสกุลแม่ทัพใหญ่ ผู้นำตระกูลทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นทหารหาญ บิดานางดำรงตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์ดินแดน ตัวนางเองก็เป็นถึงสหายคนสนิทของฮองเฮา
ภรรยารองพวกนั้นก็ล้วนแล้แต่มีสกุลเดิมดำรงตำแหน่งขุนนาง ขนาดอนุก็ยังเป็นคนที่ขุนนางชั้นสูงคนอื่น ๆ ประทานให้ ท่านพ่อ หากข้าแต่งเข้าไป เพียงบุตรีของพ่อค้าหัวเมืองเหนือผู้หนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะถูกพวกนางกดหัวจนตายหรือ”
มู่เหยียนจงพลิกหน้ากระดาษในมือรัวเร็ว ด้วยกลัวว่าแสงจะไม่พอให้เขาเห็นได้ชัด ๆ มู่เสวี่ยหลิงจึงจงใจเลื่อนเชิงเทียนไปใกล้เขาอีกสักหน่อย
“ท่านพ่อ หากท่านไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าวางตรงหน้าท่าน เช่นนั้นท่านก็ไหว้วานใครสักคนไปสืบเอาในเมืองหลวงเถิด แล้วท่านจะรู้เอง ว่าระหว่างข้ากับเขา ใครพูดความจริง ใครปั้นน้ำเป็นตัว”
มู่เสวี่ยหลิงไม่คิดจะข้องแวะหมิงเยี่ยอีก แต่เพราะแผนการคับแค้นในใจทำให้นางสั่งคนไปสืบหาเรื่องเขาไว้ตั้งแต่วันแรกที่หวนย้อนกลับมา ต่อให้ชาตินี้เขาไม่ต้องตานางแต่ความโกรธในจิตใจก็ใช่จะมลายหายไปโดยง่าย มู่เสวี่ยหลิงหมายมาดไว้ในใจ ต่อให้ชาตินี้นางต้องตายตกก็ต้องลากเดรัจฉานหมิงเยี่ยลงไปด้วยกันให้ได้
ภรรยาเอกแซ่สวี่ผู้นั้น เห็นว่านางเป็นที่โปรดปรานของสามีก็นึกริษยา นางสาดน้ำโคลนใส่มู่เสวี่ยหลิง แต่เพราะลี่ลี่จงรักภักดีกับนางยิ่ง สุดท้ายก็โดนโทษโบยจนตาย กระทั่งศพก็ไม่ได้รับการดูแล ถูกบ่าวไพร่ในจวนหมิงนำไปโยนให้สัตว์แทะกินริมป่า หมิงเยี่ยเป็นดั่งหนามยอกตำอกนาง ส่วนภรรยาเอกแซ่สวี่ก็เป็นดั่งโคลนตมที่นางต้องการเหยียบย่ำให้จมดิน
“ข้าไม่คิด- ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะหลอกข้าเช่นนี้”
มู่เสวี่ยหลิงมองบิดาด้วยสีหน้าราบเรียบ “ท่านพ่อ เขาเป็นขุนนางท่านเป็นพ่อค้า เขากล่อมให้ท่านเชื่อด้วยหวังว่าท่านจะมากล่อมข้าอีกคน เสียดายที่ข้าไม่ตกหลุมพรางเขา แผนทั้งหมดที่เขาวางไว้คงต้องพับเก็บไปเสียแล้ว”
มู่เหยียนจงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาเงยหน้ามองบุตรสาว ใบหน้างดงามครึ่งหนึ่งหลบอยู่ในเงามืดทำให้เห็นเพียงเค้าโครงใบหน้า รู้สึกนางคล้ายไม่ใช่ความจริงอยู่บ้าง อีกส่วนหนึ่งแสงเทียนตกกระทบ เกิดเป็นเงาแข็งทื่อสายหนึ่งพาดผ่าน ทำให้มู่เสวี่ยหลิงดูคล้ายกับหญิงเย็นชาไร้หัวใจ
มู่เหยียนจงหัวใจสั่นสะท้าน ถึงเขาจะดวงตามืดบอดไม่ทันเห็นแผนการของหมิงเยี่ย แต่กับมู่เสวี่ยหลิง นางไม่เหมือนบุตรสาวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
มู่เสวี่ยหลิงปรายสายตามองเห็นท่านพ่อมองนางด้วยความหวั่นวิตกก็คร้านจะใส่ใจ นางลุกขึ้นยืน
“ท่านพ่อ งานแต่งงานของข้ากับพี่หยวนคงเลื่อนออกไปไม่ได้อีก เพื่อไม่ให้ขุนนางผู้นั้นหาเรื่องแทรกมือเข้ามาได้ ข้าส่งฤกษ์งามที่ต้องการให้แม่สื่อไปแล้ว งานแต่งจะจัดขึ้นอีกหนึ่งอาทิตย์นับจากนี้เจ้าค่ะ”
มู่เหยียนจงขมวดคิ้ว เขาพูดขึ้นมาคำหนึ่งก่อนนางเดินพ้นประตูเรือน
“สินสอดเล่า”
มู่เสวี่ยหลิงใบหน้ามืดครึ้ม นางไม่ตอบคำถามบิดาแต่เดินออกไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งให้มู่เหยียนจงมองแผ่นหลังบอบบางทว่าตั้งตรงของบุตรสาวหายลับไปในความมืด