“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เสียงเล็กที่ดังวนเวียนอยู่ข้างหูทำมู่เสวี่ยหลิงนึกรำคาญใจ นางพลิกตัวไปอีกทาง ทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้าด้วย
“โถ่ คุณหนูเสวี่ยหลิง อย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ นายท่านใกล้จะกลับจวนอยู่แล้วนะเจ้าคะ”
มู่เสวี่ยหลิงหงุดหงิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว นางผุดลุกขึ้นนั่ง โยนหมอนในมือลงพื้นทั้งยังกระชากเสียง
“ตายไปแล้วก็ยังจะถูกปลุกอีกหรือ-” ทว่าภาพสาวใช้ตัวน้อยที่นั่งคุกเข่าห่างออกไปไม่ไกลทำนางลืมคำพูดทั้งหมดทั้งมวลในปาก มู่เสวี่ยหลิงมือสั่นสะท้าน นางกวาดตามองเด็กสาวคนนั้นอีกครั้งก่อนเรียกอย่างไม่แน่ใจนัก
“ลี่ลี่?”
ลี่ลี่เห็นนายสาวของตนเองมีสีหน้าแปลกประหลาดก็นึกว่าตนเองทำสิ่งใดขัดใจเข้าอีกแล้ว นางรีบขยับกายเข้าใกล้ตั่งเตียง บีบนวดเรียวขายาวอย่างเอาอกเอาใจ
“เจ้าค่ะคุณหนู ลี่ลี่เองเจ้าค่ะ คุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่เจ้าคะ”
มู่เสวี่ยหลิงตะลึงตะลาน นางมองคนอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ว่าเจ้า...” ตายไปแล้วหรือ?
มู่เสวี่ยหลิงหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านี้ ไม่กล้าแม้จะเอ่ยจนจบ เมื่อปีนั้นที่นางไปจากเมืองเป่ย ลี่ลี่ติดตามนางไปด้วยและเพราะนางเลือกนรกให้ตนเอง ลี่ลี่จึงล่มจมไปด้วยกัน นางเสียชีวิตที่เมืองเกิด ส่วนลี่ลี่ถูกโบยตายอยู่ที่แห่งนั้น ไม่มีหลุมศพกลบฝังร่างทั้งยังไร้หนทางบอกญาติของนาง
“ไม่ใช่ว่าข้าอันใดหรือเจ้าคะ”
ลี่ลี่เด็กกว่ามู่เสวี่ยหลิงหนึ่งปี มู่เหยียนจงรับลี่ลี่เข้ามาเป็นเพื่อนเล่นของบุตรสาว นานวันเข้ามู่เสวี่ยหลิงก็นึกเอ็นดูจึงรับมาเป็นสาวใช้ข้างกาย
“คุณหนู หรือว่าอยากได้น้ำบ้วนปากก่อนหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะให้คนออกไปหยิบเดี๋ยวนี้”
“ไม่ ไม่ต้อง”
มู่เสวี่ยหลิงปฏิเสธเสียงแผ่วเบา นางยังมีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งทั้งยังไม่กล้ามองหน้าลี่ลี่ตรง ๆ “เอาคันฉ่องมาให้ข้า”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ลี่ลี่รู้แจ้งแก่ใจดีว่าคุณหนูของนางนั้นเป็นพวกรักสวยรักงามมากเพียงไร เครื่องประดับและอาภรณ์ที่เก็บอยู่ในหีบลึกบางอย่างก็ยังไม่เคยถูกหยิบมาใช้งานแต่มู่เสวี่ยหลิงก็ไม่อาจตัดใจโยนทิ้งไปได้เพราะหลงใหลในความงามของอัญมณีพวกนั้น นางคว้าคันฉ่องบานเล็กมาถือไว้ก่อนส่งให้มู่เสวี่ยหลิงที่ยังนั่งตัวแข็งอยู่บนเตียง
มู่เสวี่ยหลิงกลั้นหายใจ นางยกคันฉ่องในมือขึ้นสูง ภาพที่สะท้อนกลับเป็นเงาของนางเมื่อหลายปีก่อน เป็นนางในตอนที่ยังเป็นคุณหนูตระกูลมู่ผู้สูงส่งและร่ำรวยคนนั้น
ใบหน้าของนางยังงดงามไร้ร่องรอยความทุกข์ยากจนดูน่าเกลียด ฝ่ามือยังเพรียวบางและนุ่มนิ่ม ร่างกายยังคงอ้อนแอ้นมีน้ำมีนวล เรือนผมสีดำยาวสลวยประหนึ่งม่านน้ำตก
มู่เสวี่ยหลิงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งสุดท้ายที่นางจำได้ก่อนวิญญาณหลุดลอยคือภาพของหยวนเซิ่งเจ๋อในตรอกข้างตลาด เขานอนอยู่ข้างร่างไร้ลมหายใจของนาง กอดนางไว้กับอกโดยไม่นึกรังเกียจ มิคาดว่าเพียงหลับตาหนึ่งตื่น นางจะย้อนกลับมาเป็นคุณหนูมู่เสวี่ยหลิงอีกครั้ง
มือที่ถือคันฉ่องกำแน่น นางเฝ้าฝันถึงโอกาสเช่นนี้มานับร้อยนับพันรอบ กระทั่งลมหายใจก็ยังนึกวาดหวังว่าจะได้แก้ไขความผิดพลาดของตนเอง
สวรรค์อุตส่าห์รับฟังคำขอร้องของคนบาปเช่นนี้ ยื่นโอกาสใส่มือให้นางได้มีชีวิตอีกครั้ง มู่เสวี่ยหลิงดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยเพลิงไฟโทสะ ทั้งมือที่วางอยู่บนตักก็กำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกถึงเล็บแหลมคมจิกเข้าในอุ้งมือ
ชีวิตของนางในครานี้นางจะปกป้องมันไว้ด้วยสองมือของนางเอง ก็อยากจะรู้นัก ว่าผู้ใดมันจะสามารถมาพรากลมหายใจของนางไป!
มู่เหยียนจงลงจากรถม้าก็เห็นบุตรสาวยืนอยู่ด้านหน้าประตูจวน มู่เสวี่ยหลิงแต่งกายด้วยชุดสีกลีบบัว แต่งแต้มใบหน้าบางเบาทั้งศีรษะก็ยังมีเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียว ทำให้นางดูไม่ต่างจากพระแม่หนี่วาในรูปวาดเลยแม้แต่น้อย
มู่เหยียนจงกระพริบตาปริบ “หลิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงแต่งกายเช่นนี้” ไม่ใช่ว่าปกติแล้วนางจะแต่งกายด้วยสีสันจัดจ้านอยู่เสมอหรอกหรือ
“ท่านพ่อพูดแบบนี้หมายความว่าลูกไม่งามหรือเจ้าคะ”
มู่เสวี่ยหลิงคำนับบิดาอย่างงดงามอ่อนช้อย นางขยับกายเข้าหาเขา สองมือกอดแขนท่านพ่อไว้อย่างใกล้ชิดสนิทสนม
“ไม่ใช่ ๆ เจ้าย่อมงดงามที่สุดอยู่แล้ว” มู่เหยียนจงขมวดคิ้วแน่น
“วันนี้เหตุใดถึงออกมารอพ่อได้ หรือเจ้ากลัวว่าพ่อจะลืมของฝากให้เจ้า เด็กคนนี้นี่”
อนุหวาเห็นนายท่านเริ่มตำหนิคุณหนูก็เสือกกายขึ้นหน้า
“นายท่าน ท่านอาจจะไม่รู้แต่ตอนที่ท่านไม่อยู่คุณหนูเอาแต่หยิบจับเครื่องประดับทั้งยังสั่งตัดอาภรณ์ใหม่ทุกวันเลยนะเจ้าคะ รักสวยรักงามปานนี้ ตอนแต่งไปสกุลหยวนคงถูกใจฮูหยินใหญ่น่าดู”
มู่เสวี่ยหลิงยกมือขึ้นจับหยกมันแพะเนื้อดีบนศีรษะ อนุหวาผู้นี้ บิดานางเพิ่งรับเข้ามาจึงมีอายุไม่ห่างจากนางสักเท่าไหร่ แต่เพราะเป็นอนุถึงไม่ได้รับของใช้ดี ๆ เหมือนอย่างนาง เหตุใดนางถึงจะไม่เห็นสายตาอิจฉาริษยาจากนางเล่า อีกอย่าง อนุหวาผู้นี้ก็เป็นคนที่หลอกล่อให้นางพบกับบุรุษชั่วช้า จนทำให้นางตกระกำลำบากอยู่เป็นปี
นางพูดมาเช่นนั้นมิใช่หาว่านางมือเติบจนเป็นที่ขัดเคืองใจท่านป้าฉู่หรอกหรือ
มู่เสวี่ยหลิงคลี่ยิ้ม ความงามของนางถึงกับทำให้บ่าวไพร่ตาพร่า “อนุหวา ข้าเป็นคุณหนูของจวน เป็นหน้าตาของท่านพ่อ ท่านพ่อไม่อยู่ข้ายังต้องรับแขก พบปะกับท่านลุงท่านป้าคนอื่น ๆ จำเป็นที่จะต้องแต่งกายให้เหมาะสม”
นางเอียงคอมองอนุหวาในชุดสีส้มสว่าง ดวงตาดอกท้อเปล่งประกายแวววับ
“เจ้าเป็นอนุอยู่ในเรือน นอกจากบ่าวไพร่แล้วจะพบผู้ใดอีก แต่งกายเช่นนั้นคิดว่าตนเองยังอยู่ในหอโคมเขียวหรืออย่างไร”
เพราะอนุไม่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่เสื้อผ้าสีแดง เพื่อที่จะมีตัวตนในสายตาสามีมากที่สุด สีส้มมักจะเป็นสีที่อนุพวกนั้นเลือกใช้ อนุหวาเองก็เช่นกัน ครั้นได้ยินประโยคกระทบกระเทียบจากมู่เสวี่ยหลิงก็ก้มหน้าลงต่ำด้วยความอับอาย มือของนางสั่นไหว ไม่รู้ว่าคุณหนูโง่งมนางนั้นจู่ ๆ กลับฉลาดขึ้นมาภายในชั่วข้ามคืนตั้งแต่เมื่อไหร่
ทว่าอนุหวามีความงามเป็นทุนเดิม นางช้อนสายตามองนายท่านอย่างมีจริตจะก้าน
“นายท่าน-”
มู่เหยียนจงโบกมือปัด เอ่ยเสียงเรียบ
“หวาอี้ เจ้าไปเปลี่ยนชุดเถอะ อย่าทำให้หลิงเอ๋อร์ลำบากใจ”
อนุหวาอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ นางก้มหน้างุด
“เจ้าค่ะ นายท่าน”
มู่เสวี่ยหลิงไม่สนใจอนุหวาอีก เดินเข้าจวนไปพร้อมกับท่านพ่อของนาง