มู่เสวี่ยหลิง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเสียใจสิ่งใดในชีวิตมาก่อน นางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยกเป็นเสี่ยงก็ยังมีท่านพ่อและคู่หมั้นค้ำยันไว้ให้ ภัยอันตรายอันใดไม่มีทางแตะต้องผิวกายเนียนนุ่มดุจหยกชั้นเลิศของนางได้เป็นแน่
เพียงแต่ตอนนี้ แค่นางทอดสายตามองเขา ความรู้สึกปวดแปลบในใจยากจะกลบเกลื่อน รวดร้าวเกินบรรยาย เจ็บแสบเสียจนหัวใจไร้ความรู้สึกอื่นให้สัมผัสอีกต่อไป
มู่เสวี่ยหลิงร่างกายขาวโปร่ง ไร้ข้อมือและข้อเท้าทั้งยังมีความดำมืดสายหนึ่งโอบล้อมอยู่รอบกาย นางเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่สามารถละห่วงตนเองได้ หลงวนเวียนอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกทั้งยังยึดมั่นถือมั่นจนไม่อาจปล่อยวาง
นางควรจะเป็นวิญญาณอาฆาต ตามติดคนที่ทำร้ายนางจนชีวิตปลิดปลิวพวกนั้น แต่ไม่เลย นางเป็นเพียงวิญญาณหญิงงามเศร้าโศกทุกข์ระทม ล่องลอยอยู่รอบกายอดีตคู่หมั้นหนุ่มไม่ห่าง
หยวนเซิ่งเจ๋ออดีตคู่หมั้นนาง กำลังนั่งอยู่กับพื้นที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกและน้ำขังเกรอะกรัง เพียงกลิ่นที่ลอยโชยออกไปนอกตรอกก็ทำผู้คนหลีกหนีหน้า ไม่อยากมองเข้ามาให้เสียสายตา เป็นสถานที่โสมมที่แม้แต่ขอทานยังไม่เหยียบย่าง
ทว่าหยวนเซิ่งเจ๋อกลับยังนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาเหม่อมองออกไปไกลลิบ มุมปากขยับยกเป็นรอยยิ้มหล่อเหลา ราวกับด้านหน้ายังมีนางในดวงใจขยับกายร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยเหมือนเมื่อปีนั้น ปีที่มู่เสวี่ยหลิงเพิ่งปักปิ่นได้ไม่นานและสัญญาว่าจะนั่งเกี้ยวแปดคนหาม แต่งเข้าตระกูลหยวนของเขา
“หลิงหลิง”
เสียงแหบแห้งพึมพำอยู่ในลำคอ ยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟและเสียงครึกครื้น มู่เสวี่ยหลิงกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
“หลิงหลิง เจ้าหิวหรือไม่”
มู่เสวี่ยหลิงกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น นางคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา พยายามตะโกนเรียกเขาซ้ำ ๆ แต่โลกวิญญาณและคนเป็นแยกจาก ต่อให้มู่เสวี่ยหลิงจะพยายามมากเท่าไหร่ สุดท้ายมันก็เป็นเพียงสายลมอ่อนจางพัดผ่านใบหน้าหยวนเซิ่งเจ๋อเท่านั้น
“หลิงหลิง” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง เสียงในครั้งนี้ดังกว่าครั้งก่อนอยู่สักหน่อยแต่ก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเหลือคนานับ ใบหน้าหล่อเหลาของหยวนเซิ่งเจ๋อบิดเบี้ยว ทั้งสายตาก็เริ่มอึมครึม “เป็นข้าไร้สามารถเจ้าถึงต้องหิวตาย เป็นข้าไร้สามารถเจ้าถึงได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้ เป็นข้า-”
มู่เสวี่ยหลิงส่ายศีรษะรัวเร็ว เส้นผมหยาบกร้านของนางสะบัดไปมาอยู่รอบร่างกายผอมแกร็น หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหัวเมืองเหนือ ยามตายตกกลับมีสภาพย่ำแย่กว่าขอทานจน ๆ ในเมืองเสียอีก
มู่เสวี่ยหลิงคลานเข้าไปหาเขา แขนโปร่งแสงของนางยกขึ้นสูง แต่เพราะไม่มีมือและเป็นแค่วิญญาณ มันจึงทะลุผ่านตัวเขา ไม่อาจแตะต้องใบหน้าหยวนเซิ่งเจ๋อได้
“พี่หยวน พี่หยวน” นางรำพันเสียงสลด สีหน้านางคับแค้นปะปนไปด้วยความทุกข์ใจทั้งบ่ายังโค้งเข้าหากันจนดูตรอมตรมไม่น้อย
“เป็นข้าที่ไม่ดี เป็นข้าที่ทำให้ท่านถูกท่านลุงขับไล่ออกจากตระกูล เป็นข้าที่ทำให้ท่านป้าตรอมใจจนตาย พี่หยวน ท่านดีทุกอย่าง เป็นข้าที่ไม่ดีสักอย่างเอง”
มู่เสวี่หลิงเป็นบุตรสาวของพ่อค้าใหญ่ประจำหัวเมืองเหนือ เมืองเป่ยที่นางอาศัยอยู่เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ไม่สลักสำคัญอันใด แต่เพราะแถบเหนือมีผ้าแพรอาภรณ์งดงามอยู่มาก ไม่นานจึงเริ่มเป็นที่รู้จัก
เริ่มมีการทำการค้าแลกเปลี่ยน บิดานาง มู่เหยียนจง เป็นคนมองการณ์ไกล หลังจากเขาเห็นว่าลายผ้าในมือสามารถทำการค้าขายได้ก็รีบหาเงินมาลงทุน ไม่นานสกุลมู่ก็กลายเป็นตระกูลพ่อค้าร่ำรวย
มู่เสวี่ยหลิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนายท่านมู่ มารดานางเสียชีวิตตั้งแต่ตอนคลอดทำให้มู่เหยียนจงรักตามใจบุตรสาวยิ่ง ต่อให้เขาจะมีอนุและสาวใช้ข้างเตียงแต่ก็ไม่ยอมให้ใครตั้งท้องโดยเด็ดขาดด้วยกลัวว่าบุตรสาวคนงามของตนเองจะน้อยเนื้อต่ำใจพาลไม่คุยกับเขา
มู่เสวี่ยหลิงเติบโตมาบนกองเงินกองทอง นางอยากได้สิ่งใดบิดาก็หามาให้ทั้งหมด อายุเจ็ดหนาวสกุลหยวนก็เริ่มมีอิทธิพลจนกดข่มสกุลมู่ไว้ มู่เหยียนจงกลัวว่าบ่อเงินบ่อทองของตนเองจะขาดมือจึงเสนอบุตรสาวให้หมั้นกลับบุตรชายคนโตของสกุลหยวนไว้ก่อน
หยวนเซิ่งเจ๋อเป็นบุตรชายคนโต เขาหล่อเหลา เฉลียวฉลาด สุภาพและถ่อมตน เป็นคุณชายตระกูลพ่อค้าที่คุณหนูทั้งหลายเฝ้าฝันอยากจะแต่งงานด้วย ถึงจะพลาดตำแหน่งภรรยาเอกของเขาไปอย่างไรก็ยังมีตำแหน่งภรรยารอง อนุให้ไขว่คว้า
เพียงแค่หยวนเซิ่งเจ๋อพานพบมู่เสวี่ยหลิงในคราแรก เขาก็ตกหลุมรักนางจนถอนตัวไม่ขึ้น เพียงนางปรายสายตามอง เขาก็พร้อมจะควักหัวใจตนเองวางใส่มือนางด้วยความเต็มใจ
“หลิงหลิง” หยวนเซิ่งเจ๋อทรุดกายลงนอนกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เขาหอบหายใจหนัก ข้าง ๆ มีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ด้วย หยวนเซิ่งเจ๋อคล้ายมองไม่เห็นใบหน้าขึ้นอืดจนไร้เค้าโครงเดิมทั้งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง เขาเอื้อมมือกอดรัดร่างนั้นไว้แนบอก ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน “หลิงหลิง เจ้าจะแต่งงานกับข้าหรือไม่”
มู่เสวี่ยหลิงรีบพยักหน้า แต่ถึงนางจะร้องไห้คร่ำครวญมากเท่าไหร่ หยวนเซิ่งเจ๋อก็ยังเป็นคนเป็น เขาไม่มีทางได้ยินเสียงนาง มู่เสวี่ยหลิงลองทุกอย่างแล้ว นางเคยพยายามเข้าฝันเขาอย่างที่เคยได้ยินเรื่องเล่าเมื่อตอนเด็ก ๆ
พยายามจะเข้าสิงเขา พยายามหยิบสิ่งของรอบตัวเขา แต่เพราะนางเป็นเพียงวิญญาณที่เศร้าโศกตนหนึ่ง ไร้แรงอาฆาตแค้น ทำได้เพียงก่อเกิดสายลมอ่อนจาง พัดพาให้หยวนเซิ่งเจ๋อรู้สึกสบายตัวขึ้นชั่วครู่เท่านั้น
มู่เสวี่ยหลิงนึกโทษตนเองไม่หยุดหย่อน นางอยากจะกลับไปในวันนั้น วันที่นางตัดสินใจทำร้ายเขาด้วยสองมือตนเอง วันที่นางทำลายชีวิต เหยียบย่ำความรู้สึกเขาประหนึ่งเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดไร้หัวจิตหัวใจเพื่อความรุ่งโรจน์ชั่วขณะของตนเอง
มู่เสวี่ยหลิงเคยลำพองว่านางเลือกถูกแล้ว แต่เมื่อฟ้ากระจ่างพัดผ่าน ความมืดมนแสนเย็นเยือกเข้ามาแทนที่ นางถึงได้รู้ว่านางเลือกนรกให้ตนเอง หยิบยื่นมีดแหลมคมให้กับบุรุษสามานย์ผู้นั้นเถือเนื้อตัดกระดูกด้วยตัวของนางเอง