ตอนที่ 10. ทาบทามสู่ขอ

หยวนเซิ่งเจ๋อกระแอมไอครั้งหนึ่ง เขากล่าวเสียงเบา “หลิงหลิง อย่าเสียมารยาทต่อหน้าท่านลุงมู่”

“จริงด้วย ท่านพ่อ ท่านหมิง ขออภัยเจ้าค่ะ” มู่เสวี่ยหลิงรีบผุดลุกขึ้นยืนยอบกายให้ทั้งสองคน นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้างดงามพลันแดงเรื่อไปด้วยความเขินอาย “เพียงแต่ข้าดีใจที่พี่หยวนมาสู่ขอ เลยเก็บอาการไว้ไม่ถูก ต้องขายหน้าท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้า-”

มู่เหยียนจงพูดออกมาได้แค่นั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีกดี เขามองบุตรสาวด้วยสายตาประหนึ่งอยากจะกินเลือดกินเนื้อ กระทั่งแม่สื่อพูดขัดคอขึ้นอีกครั้งถึงได้สติว่าตอนนี้หาได้มีเพียงคนตระกูลมู่ไม่ ตรงหน้ายังมีนายท่านหมิง แม่สื่อหูตากว้างไกลอีกคน ทั้งยังมีคู่หมั้นของบุตรสาวหยวนเซิ่งเจ๋อ ถ้าหากเขาระเบิดอารมณ์ตอนนี้จะมีแต่ตนเองที่เสียหาย

แม่สื่อไม่สนใจมองสีหน้ามู่เหยียนจงเลยแม้แต่น้อย นางทำราวกับว่างานแต่งงานนี้ขอเพียงมู่เสวี่ยหลิงตกปากรับคำพรุ่งนี้ก็สามารถส่งเกี้ยวแปดคนหามมาให้นางได้เลย แม่สื่อขยับพัดในมือโบกครั้งหนึ่ง ก่อนเอ่ยปาก

“นายท่านมู่ ไหน ๆ เด็กทั้งสองคนก็ใจตรงกันถึงขนาดนี้แล้ว ข้าว่าเรากำหนดวันแต่งงานเลยดีหรือไม่เจ้าคะ”

แม่สื่อหยิบกระดาษสองสามแผ่นออกมาจากอกเสื้อ คลี่มันออกช้า ๆ วางลงตรงหน้ามู่เหยียนจง

“ในกระดาษนี้เป็นกระดาษที่ข้าไปขอฤกษ์แต่งงานจากนักพรตท้ายเมืองมา นายท่านมู่ คุณชายหยวนรักใคร่คุณหนูมู่เสียขนาดนี้ก็อยากจะได้นางในดวงใจไปอยู่ในอุ้งมือจนทานทนไม่ไหว ฤกษ์ที่เลือกมา อย่างเร็วสุดก็อาทิตย์หน้า อย่างช้าสุดก็สิ้นเดือนนี้เจ้าค่ะ”

นักพรตท้ายเมืองเป็นนักพรตชื่อดัง ต่อให้มีเงินทองมากมายกองท่วมเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้า ถ้าหากเขาเอ่ยคำว่าไม่ก็คือไม่ แต่ถ้าหากเขาถูกใจผู้ใดแล้ว ไม่ต้องดั้นด้นไปหา เขาก็จะมายืนอยู่ตรงหน้าด้วยตนเอง

มู่เหยียนจงดวงตาเบิกกว้าง “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ! หยวนเซิ่งเจ๋อ! อย่าเห็นว่าพ่อเจ้ากับข้าสนิทกันนับพี่นับน้องแล้วจะจัดงานแต่งชุ่ย ๆ ได้นะ!”

มู่เสวี่ยหลิงคิ้วกระตุก นางไม่ได้มีความรู้สึกเทิดทูนบิดาดังเช่นในวันวานอีกแล้ว ในใจนางตอนนี้สิบหมื่นมู่เหยียนจงก็เทียบเท่าปลายเส้นผมของหยวนเซิ่งเจ๋อไม่ได้ เห็นเขาถูกบิดารังควานด้วยถ้อยคำกล่าวหาเช่นนั้น นางจะยังอยู่เฉยได้อย่างไร มู่เสวี่ยหลิงลุกขึ้นยืน ใช้ร่างกายตนเองบดบังหยวนเซิ่งเจ๋อจากสายตาบิดา

นางทำสีหน้าแง่งอน “ท่านพ่อ ท่านจะหาว่าพี่หยวนจัดงานแต่งชุ่ย ๆ ได้อย่างไร หากท่านจะโทษก็มาโทษข้าเถิด เพราะข้าทนห่างจากพี่หยวนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายขอร้องให้เขาส่งแม่สื่อมาวันนี้เองเจ้าค่ะ”

มู่เหยียนจงดวงตาเบิกกว้าง ตกใจจนอ้าปากค้างไปแล้ว เขายกมือขึ้นชี้หน้ามู่เสวี่ยหลิงอย่างคาดไม่ถึง “หลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ นี่เจ้า-” มู่เหยียนจงคล้ายคนขาดอากาศหายใจ เขาพูดติด ๆ ขัด ๆ ครู่หนึ่งก็รู้สึกถึงเลือดลมตีกลับ เวียนหัวเป็นลมไปเสียตรงนั้น

พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นนายท่านล้มลงก็ตะโกนตามหมอเสียงดังลั่น บ่าวไพร่ภายในห้องโถงต่างวิ่งวุ่นราวนกแตกรังพากันหอบหิ้วร่างปวกเปียกของนายท่านไปยังห้องข้าง บ่าวไพร่ชายวิ่งออกไปตามหมอ บ่าวไพร่หญิงวิ่งกลับไปยังครัวเตรียมต้มยา

ทว่าตัวต้นเหตุกลับยืนอยู่กลางโถงใหญ่อย่างไม่สะทกสะท้าน มู่เสวี่ยหลิงลูบกำไลข้อมือเนิบช้า สัมผัสหยกเนื้อเย็นช่างทำให้นางรู้สึกดีจริง ๆ นางหันไปหาแม่สื่อและหยวนเซิ่งเจ๋อที่ยังคงมึนงงและทำตัวไม่ถูก เอ่ยยิ้ม ๆ

“แม่สื่อ วันนี้ต้องรบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ” มู่เสวี่ยหลิงหยิบกระดาษฤกษ์ที่เร็วที่สุดส่งให้นาง

“บ้านสกุลมู่เลือกฤกษ์นี้เจ้าค่ะ”

หมิงเยี่ยเห็นนางไม่สนใจบิดาทั้งยังเลือกฤกษ์แต่งงานด้วยตนเองก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ สาวเท้ายาว ๆ เข้ามาหา จับยึดอีกด้านของกระดาษไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงตาเขาเป็นประกายแข็งกร้าว “คุณหนูมู่ ฤกษ์แต่งงานจะทำเป็นเรื่องล้อเล่นไม่ได้ อย่างไรก็ควรให้นายท่านมู่ได้สติก่อนค่อยหารือ ท่านทำเช่นนี้ออกจะไม่เหมาะสมอยู่จริง ๆ”

มู่เสวี่ยหลิงปล่อยมือโดยพลัน นางไม่ยากจับต้องของที่เคยผ่านมือเขา ทั้งรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงยิ่ง ใบหน้างดงามเฉิดฉายของนางเชิดขึ้น หยวนเซิ่งเจ๋อเห็นท่าไม่ดีก็ลุกขึ้นยืนเคียงข้างมู่เสวี่ยหลิง เขายกมือขึ้นกันหน้านางไว้ ไม่ให้หมิงเยี่ยได้เข้าใกล้มากกว่านี้

หมิงเยี่ยเห็นท่าทีของหยวนเซิ่งเจ๋อก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ เขาขมวดคิ้วแน่น “คุณชายหยวน ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

หยวนเซิ่งเจ๋อถึงจะเป็นบุตรชายพ่อค้าแต่เขาก็ได้รับการอบรมมาครบถ้วน คนยกยิ้มจางบนใบหน้า เอ่ยเสียงสุภาพทั้งยังมีเหตุผลเป็นที่สุด

“นายท่านหมิง หลิงหลิงเป็นคู่หมั้นข้า ข้าย่อมไม่อยากให้ใครนำนางไปนินทาว่าใกล้ชิดบุรุษผู้อื่นทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำ อันที่จริงแล้ว ท่านเข้ามาใกล้นางถึงขนาดนี้ก็ออกจะเสียมารยาทไม่น้อย”

หยวนเซิ่งเจ๋อในเวลาปกติราวกับสายธารเอื่อยเฉื่อย รอยยิ้มเขาเรียบเรื่อยทั้งน้ำเสียงยังทุ้มนุ่มน่าฟัง พาให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายแค่ได้อยู่ข้างเขา แต่เมื่อเขานึกโมโหขึ้นมา สายธารที่เคยอ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำไหลหลากได้เช่นกัน

“หลิงหลิงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดบุรุษผู้อื่น ท่านเข้าใกล้นางถึงขนาดนี้อาจทำให้นางตกใจได้”

มู่เสวี่ยหลิงเงยหน้าขึ้นมองคนข้างกาย ในดวงตาดอกท้อกลมโตของนางมีความหวานล้ำวนเวียนไม่ขาดสาย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เขาต่ำศักดิ์กว่าหมิงเยี่ยหลายขั้น

แต่เพื่อนางแล้วเขาถึงกับยอมโยนเรื่องพวกนั้นทิ้งไป ปกป้องนางโดยไม่ลังเล ไม่แตกต่างไปจากตอนนั้นเลยแม้แต่น้อย มู่เสวี่ยหลิงหลุบสายตาลงต่ำ หมายมาดไว้ในใจ ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้นางก็จะไม่ปล่อยให้เขาลมหายใจหลุดหายเป็นแน่

โพสต์ข้อความ