ตอนที่ 12 ดวงวาสนาพาให้ผูกพัน

ยามเว่ยในวันที่อากาศร้อนระอุจากแสงแดดเจิดจ้าที่แผดเผาตลอดทั้งวัน

“คุณหนู บ่าวให้คนของเหลาอาหารจัดเตรียมห้องส่วนตัวไว้ให้เรียบร้อยแล้วนะเจ้าคะ” ซูเม่ยเดินออกมาจากเหลาอาหารตรงไปหาฉีเหมยลี่ที่นั่งรออยู่บนรถม้า หลังจากจัดการธุระภายในร้านเสร็จแล้ว มือบางแง้มม่านหน้าต่างออก มองดูเหลาอาหารที่อยู่เบื้องหน้า

“ทำดีมาก ไป...เข้าไปข้างในกัน ”

ฉีเหมยลี่ก้าวเท้าค่อย ๆ เดินลงจากรถม้า สาวรับใช้ตัวน้อยรีบยื่นมือส่งไปให้คุณหนูของนางจับเพื่อให้นางเดินลงจากรถม้าได้อย่างปลอดภัย ทั้งสองนายบ่าวเดินเข้าไปข้างในร้านที่ซึ่งเวลานี้มีผู้คนมากมายเข้ามาใช้บริการ นางเดินผ่านความวุ่นวายภายในร้านตรงไปยังห้องส่วนตัวที่ทางเหลาอาหารแห่งนี้ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้

ห้องของเหลาอาหารที่นี่ตกแต่งสวยงามพอใช้ได้ ถึงแม้ดูแล้วจะหรูหราไม่เท่าเหลาอาหารของเซิ่นหยางก็เถอะ แต่อาหารที่ถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะนั้นก็ล้วนมีแต่ของดีเลิศรส ที่ใคร ๆ เห็นแล้วก็อยากที่จะลิ้มลองรสชาติ

“คุณหนูรออยู่ในห้องคนเดียวสักครู่ก่อน บ่าวจะไปรอรับนายท่านนะเจ้าค่ะ” ซูเม่ยเดินออกจากห้องอาหารไปในทันทีหลังจากพาฉีเหมยลี่เข้ามาในห้องส่วนตัวแล้ว นางเดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร มือบางยกกาน้ำชาขึ้นรินใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่มดับกระหาย เนื่องจากนางเดินทางมาในช่วงยามเว่ย อากาศจึงร้อนมากเป็นพิเศษ

เสียงคนเปิดประตูเข้ามา เหมยลี่ที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่นั้นได้หันไปมองยังต้นเสียง เบื้องหน้าประตูที่ถูกเปิดเข้ามานั้น คือฉีเย่เทียนนั่นเอง เมื่อครั้นนางได้เห็นหน้าผู้เป็นบิดา ความรู้สึกต่าง ๆ ล้วนประเดประดังเข้ามา จะดีใจก็ไม่ใช่จะเสียใจก็ไม่เชิง เป็นความรู้สึกที่ตัวนางเองก็บอกไม่ถูก เพราะฉีเย่เทียนบิดาของฉีเหมยลี่หน้าตาละม้ายคล้ายคุณพ่อของเธอเป็นอย่างมาก สายตาของสาวน้อยเริ่มมีน้ำตาคลอออกมา นางพยายามฝืนความรู้สึกแต่อาการนั้นกลับแสดงออกทางสีหน้า ทำให้เมื่อฉีเย่เทียนได้เห็นอาการของบุตรสาวจึงตกใจเป็นอย่างมาก

คนสูงวัยหน้าตาตื่นตระหนก รีบรุดเดินเข้าไปหาบุตรสาวของตนด้วยความเป็นห่วง

“เหมยลี่...เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงมองหน้าพ่อเช่นนั้น หรือมีผู้ใดทำให้เจ้าไม่พอใจ ขอเพียงเจ้าบอกมา ไม่ว่าเรื่องอะไรพ่อคนนี้จะจัดการให้เจ้าเอง” คำพูดของเขาที่ปลอบโยนลูกสาวยิ่งทำให้ฉีเหมยลี่เริ่มฝืนความรู้สึกกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว มือหนาของผู้เฒ่ายกขึ้นลูบศีรษะลูกสาวอย่างเบามือ

“ไม่เป็นไรนะเด็กดี พ่อของเจ้าอยู่นี่แล้ว” จบคำพูดของผู้เป็นบิดา ฉีเหมยลี่เก็บความรู้สึกที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ระเบิดน้ำตาออกมา ร้องไห้โฮโผกอดฉีเย่เทียน ผู้เป็นพ่อใช้สองแขนของเขาโอบตัวบุตรสาวไว้ในอ้อมอก ในใจฉีเหมยลี่นั้นรู้สึกคิดถึงพ่อ ทว่าอีกใจกลับรู้สึกผิดต่อเขา เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางก็หาใช่บุตรสาวที่แท้จริงของเขาไม่...

ฉีเย่เทียนปลอบประโลมบุตรสาวของตน จนสาวน้อยเริ่มสงบลงได้จึงค่อย ๆ ถอยตัวออกจากอ้อมอก ฉีเย่เทียนใช้สองมือประคองนางให้นั่งลงที่เก้าอี้

“ซูเม่ย เจ้าไปเอาน้ำสะอาดมาให้บุตรสาวของข้าได้ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย” เขาเรียกบ่าวรับใช้ของบุตรสาวให้เอาน้ำมาให้นางล้างหน้าเพราะอยากให้นางรู้สึกดีขึ้น

“เจ้าค่ะ นายท่าน”

ฉีเหมยลี่ใช้น้ำล้างใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา โดยมีผู้เป็นพ่อคอยมองอยู่ไม่ห่าง เขาส่งผ้าเช็ดหน้าให้บุตรสาวได้ใช้ซับน้ำบนใบหน้า

“เด็กน้อย...เจ้านัดพ่อมาในวันนี้มีเรื่องอะไรที่สำคัญมากใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถามบุตรสาวที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เขาให้ซับน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า

“ท่านพ่อ...ที่ลูกนัดท่านมาพบ เพียงอยากขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง” ฉีเหมยลี่มองหน้าผู้เป็นบิดาสีหน้าจริงจัง ทำให้เขาอยากรู้แล้วว่าเรื่องที่บุตรสาวของตนจะขอคือเรื่องใด

“เจ้าว่ามาได้เลย”

“ข้าอยากเปิดร้านแปลภาษาหู อยากให้ท่านพ่อหาทำเลตั้งร้านให้ข้าเจ้าค่ะ” หลังจากที่ได้ยินคำตอบของบุตรสาว ฉีเย่เทียนครุ่นคิดกับคำขอของนางอยู่ครู่หนึ่ง

“เปิดร้านแปลภาษา เหมยลี่...ถึงเรื่องนี้จะเป็นความคิดที่ดีก็จริง แต่เมืองหน้าด่านมีร้านที่รับแปลภาษาของพวกโฝหลางจีอยู่ตั้งมากมาย ถ้าเบื้องหลังเจ้าไม่เคยทำการค้าขายหรือมีสัมพันธไมตรีกับคนที่นั่น เกรงว่าร้านล่ามของเจ้าจะอยู่ยาก” คำแนะนำของผู้เป็นบิดาทำให้ฉีเหมยลี่รู้สึกเศร้าเล็กน้อย สีหน้าของนางดูกังวลขึ้นมาทันที แต่นางก็เข้าใจในความหวังดีและห่วงใยของเขา

“หากเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อว่าข้าควรทำอย่างไรดี”

“เด็กน้อย เจ้าจะกังวลสิ่งใดกัน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพ่อของเจ้าเป็นถึงคหบดีในเมืองหน้าด่าน ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พ่อจะหาทำเลดีที่สุดในเมืองหน้าด่านเปิดร้านล่ามแล้วให้เจ้าเป็นคนดูแล แบบนี้ดีหรือไม่” ฉีเหมยลี่ลืมคิดไปเลยว่าบิดาของนางเป็นคหบดีที่มีชื่อเสียงในเมืองหน้าด่าน หากเปิดร้านในนามของเขาย่อมเป็นที่รู้จักและมีความน่าเชื่อถือมากแน่นอน

“ดีเจ้าค่ะ” สีหน้าที่ดูสิ้นหวังเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสและแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่ทันใดรอยยิ้มนั้นกลับค่อย ๆ จางลงเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นบิดา เมื่อผู้เฒ่าฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้...

“ยังมีสิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เราจะหาผู้เป็นล่ามได้จากที่ใดกัน”

“เรื่องนั้นท่านพ่อมิต้องเป็นห่วง ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นล่ามคือตัวลูกเอง” ผู้เฒ่าถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน จ้องมองหน้าบุตรสาวเขม็งแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าน่ะรึ! เหมยลี่...พ่อเลี้ยงดูเจ้ามาแต่เล็กแต่น้อย เหตุใดจะไม่รู้ว่าเจ้ามิได้ร่ำเรียนภาษาต่างชาติมา แล้วเจ้าจะมาทำหน้าที่นี้ได้เช่นไร”

ฉีเหมยลี่ถึงกับอึ้งไป นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะความสามารถเรื่องภาษาต่างชาตินั้นติดตัวนางมาจากโลกเก่าที่นางได้จากมา แต่ในโลกนี้ยังมิมีใครล่วงรู้โดยเฉพาะบิดาของนาง เห็นทีนางจะต้องจำใจโป้ปดเพื่อรักษาความลับนี้ไว้

“ท่านพ่อ...มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังมิได้บอกกับท่านเพราะเกรงว่าท่านจะเป็นกังวล คือตั้งแต่ลูกได้ออกเรือนมาไม่นานก็ป่วยหนักหมดสติไปถึงสองวัน ท่านแม่ทัพเซิ่นก็ได้เชิญท่านหมอเทวดามารักษาจนลูกหายดี แต่ในระหว่างที่ลูกหมดสติอยู่นั้น ลูกได้ฝันเห็นท่านเซียนผู้หนึ่ง ท่านพูดกับลูกว่าชีวิตของลูกยังไม่ถึงฆาตจึงจะให้ลูกกลับไปใช้ชีวิตในโลกดังเดิม ด้วยความที่ท่านเมตตาจึงได้มอบความสามารถพิเศษนี้มาให้กับลูก”

“ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาบุตรสาวข้า” ผู้เฒ่ายิ้มออก พลางพิงหลังกับพนักเก้าอี้ เอามือลูบเครายาวอย่างผ่อนคลาย

“เช่นนั้นแล้วก็คงมิมีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวลอีก ขอเวลาพ่อมินานสิ่งที่เจ้าต้องการก็จะสำเร็จลงด้วยดี”

“ท่านพ่อ ข้ายังอยากขอคำปรึกษาจากท่าน” ฉีเย่เทียนมองหน้าของนาง ตั้งใจฟังในสิ่งที่บุตรสาวกำลังจะพูด

“การเป็นล่ามให้กับพวกโฝหลางจีนั้น ข้าคิดว่าหากเป็นล่ามในการพูดคุย ลูกจะคิดราคาเป็นเค่อ เค่อละยี่สิบตำลึง หากต้องการให้ร่างเป็นสัญญาภาษาหนึ่ง จะคิดแผ่นละห้าสิบตำลึง แต่ถ้าต้องการทั้งสองภาษาก็ร้อยตำลึง” เขาพยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่ฉีเหมยลี่พูด ยังคงไม่ตอบอะไรและตั้งใจฟังในสิ่งที่นางจะพูดต่อ

“ถ้าเปิดร้านใหม่ย่อมยังไม่เป็นที่รู้จัก ลูกคิดว่าจะทำใบปลิวติดตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองหน้าด่าน หากทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้ร้านของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น แบบนี้ท่านว่าดีหรือไม่” เขาตกตะลึงกับสิ่งที่นางพูด ก่อนผู้เฒ่าจะเผยรอยยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ

“ดี...ดี เด็กน้อยเจ้ารู้ความขึ้นมาก ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรสาวของข้า”

ทั้งสองพ่อลูกพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานด้วยความคิดถึง ฉีเย่เทียนจึงนำของฝากที่เขาเตรียมมาออกมาให้บุตรสาวได้ดู บ่าวทั้งสองคนที่ติดตามมาด้วยนั้นยืนยิ้มมองดูพ่อลูกที่พูดคุยกันอย่างสนิทสนม ภาพแบบนี้พวกเขาเองก็พบเห็นได้ไม่บ่อยนักหลังจากที่ฉีเหมยลี่แต่งออกมาอยู่ที่จวนของเซิ่นหยาง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ