ที่หน้าจวนแม่ทัพใหญ่มีสินค้าจากสำเภาท่าเรือมาจอดอยู่สองคันรถม้า ฉีเหมยลี่รู้สึกแปลกใจ ในเมื่อนางมิได้เป็นคนสั่งซื้อแม้แต่น้อย ทำให้นางอดรู้สึกสงสัยมิได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้สั่งของเหล่านี้มาอย่างมากมาย
“ของใช้เรือนฮูหยินรองเจ้าค่ะฮูหยินเอก” สาวรับใช้จากเรือนฝั่งตะวันตกเอ่ยบอก พวกนางมารอรับสินค้าจากเรือสำเภา แต่ทางคนงานส่งมาผิดเรือน
“ไหนขอข้าดูหน่อยสิ” ฉีเหมยลี่นางสะบัดผ้าสีขาวที่คลุมอยู่บนสินค้าออกทั้งหมด บนรถเทียมม้านั่นมีแต่ของสวยงามเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งของที่ตกแต่งห้องอย่างโต๊ะเครื่องแป้งสลักลายแปลกของชาวตะวันตก
นางมองสิ่งของเหล่านั้นพลันคิดอะไรในใจขึ้นมาได้บางอย่าง ในเมื่อฮูหยินรองตั้งตัวเป็นอริกับนางถึงเพียงนั้น เหตุใดนางจึงมิคิดตอบโต้กลับไปบ้าง อย่างน้อยให้นางได้รู้สึกถึงความรำคาญใจยามที่นางจงใจมายั่วโมโห หากเป็นฉีเหมยลี่คนเก่าอาจจะไม่กล้าต่อกรกับนาง แต่หาใช่กับฉีเหมยลี่คนใหม่ในร่างเดิมนี้ไม่....
“ให้เอาของพวกนี้เข้าเรือนข้าทั้งหมด” นางสั่งคนที่มาส่งให้ขนย้ายไปยังเรือนตน และวางสินค้าให้เป็นระเบียบ พร้อมกับสั่งให้สาวใช้คนสนิทให้ไปชี้ช่องจัดวางอีกด้วย ทำเอาสาวใช้ของฟางลี่หมิงถึงกับตื่นตระหนก ไม่คาดคิดว่าฮูหยินเอกจะฮุบสมบัติของเจ้านายตนไปเช่นนี้
“ทำไมรึ ตื่นตกใจอะไรกันปานนั้นเชียว” นางหันมามองสาวใช้แบบคาดคั้น
“ถ้านายของพวกเจ้าอยากได้ของกลับ ก็ให้มาจ่ายค่าส่วนกลางเช่าสินค้ากับข้า เข้าใจหรือไม่”
สาวใช้ทั้งสองทำท่าทางขยาดฉีเหมยลี่ แต่ก็พยักหน้าและรีบวิ่งไปยังเรือนของนายตัวเอง
“ทำแบบนั้นจะดีหรือเจ้าคะคุณหนู เดี๋ยวฮูหยินรองก็มาหาเรื่องท่านได้อีกนะเจ้าคะ” ซูเม่ยเป็นห่วงนายหญิงของตนจึงพยายามเตือนว่าอย่าไปยุ่งกับทางฝ่ายนั้นเลย
“ทำไมหรือซูเม่ย ก็ในเมื่อตอนนี้ข้าอยากจะหาเรื่องนางกลับบ้าง ผิดตรงไหนเล่า”
“คุณหนู เอาจริงหรือเจ้าคะ” ซูเม่ยดูตกใจ
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้ หลายคืนผ่านมาข้าครุ่นคิดวุ่นวายใจอยู่นานว่าจะทำการใดบ้างเพื่อเป็นการเอาคืนนาง แต่ยามนี้ข้ากลับคิดว่ามิสู้เอาเวลาไปคิดวิธีทำมาหากินดีกว่าหรือไม่ เจ้าคิดว่าข้าจะค้าขายอะไรดีเหรอซูเม่ย” นางถามสาวใช้กลับ คิดว่านางเป็นคนของเรือนเศรษฐีคงรับรู้เรื่องการค้าการขายบ้าง แต่เปล่าเลย คำตอบที่ได้รับคือนางหาได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้แม้สักนิด
เพียงไม่นานฟางลี่หมิงก็ส่งสาวใช้มาที่จวน สาวใช้เอ่ยถามว่านายตนอยากรู้ว่าฉีเหมยลี่ต้องการสิ่งใด นางจะแบ่งให้สักสองอย่างถือเป็นการต้อนรับฮูหยินเอก แต่ฉีเหมยลี่บอกไปว่านางไม่อยากได้อะไรแล้ว เพราะของเหล่านี้ที่บ้านของนางมีมากมายกว่านี้เสียอีก แค่นึกสนุกเท่านั้น
“เจ้าเอากลับไปเถอะ ข้าแค่ล้อนายของเจ้าเล่น”
นางบอกแค่นั้น นึกว่าฟางลี่หมิงจะเต้นแร้งเต้นกาวิ่งมาขนสมบัติเสียอีก
ตั้งแต่ฉีเหมยลี่กลับจากท่าเรือส่งสินค้า นางก็มีความคิดเรื่องการค้าขายกับต่างแดน แต่มิได้คาดคิดไปถึงการเดินทางไปยังที่อื่น การที่นางถูกพาเข้ามายังโลกใบนี้ อาจจะต้องทำอะไรอีกมากมายในฐานะฮูหยินเอก เพราะความทรงจำของฉีเหมยลี่ร่างเก่ายังไม่บรรลุความตั้งใจ
นางมองกลับไปยังคนงานที่กำลังขนของออกไปจากเรือนตนก็พลันทำให้คิดบางอย่างออก
ฉีเหมยลี่เดินถอยออกมาข้างหน้าจวน เลยคิดได้ว่าสิ่งที่ตนเองอยากทำนั้นคืออะไร
จวนของนางกว้างขวางนัก หากมีสถานที่หนึ่งที่สามารถรองรับสินค้าจากต่างแดนได้ และทำกำไรให้แก่นางได้เป็นอย่างดี ยังมีพ่อค้าอีกมากที่ยังทำการเจรจากับพวกชาวหูไม่ได้ ท่านพ่อนางก็เป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น
พอคิดไปถึงการใช้งานด้านภาษาต่างชาติ ฉีเหมยลี่ก็เลยเกิดความคิดถึงการเป็นพ่อค้าคนกลางที่สามารถเจรจาซื้อขายสินค้ากันได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งชาวหูและชาวเมืองที่นางอยู่อาศัยในตอนนี้
ฉีเหมยลี่ในโลกเก่านั้นมีทักษะทางด้านภาษาเป็นเลิศ เธอทำงานได้แทบจะทุกอย่าง เลยทำให้เป็นที่พึ่งพาของเพื่อน ๆ ในที่ทำงาน แม้แต่ตอนเรียนหนังสือ เธอก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่จัดทำเอกสารและดูเหมือนจะเป็นคนที่แบกเหล่าทีมงานอยู่เสมอ แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตคนเราเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ฉีเหมยลี่เธอมีคนที่รักได้ แล้วไฉนเลยจะไม่มีคนที่เกลียดเล่า คนที่ไม่หวังดีพยายามทำทุกทางให้เธอตกอับและจนหนทาง...
เธอไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นผู้จัดการสาขาได้ในวัยที่กำลังสาวสะพรั่ง เพราะยอดขายที่พุ่งทะลุกราฟ นั่นทำให้บริษัททำการจัดเลี้ยงเหล่าพนักงานรุ่นใหม่ไฟแรง ความสนุกสนานในคืนแห่งความปีติยินดี ทำให้ฉีเหม่ยลี่เมามายนัก แต่คงไม่มากเท่าใด หากสุราที่เพื่อนผู้ไม่หวังดีหยิบยื่นให้นั้นเป็นของธรรมดา
แต่สุราที่เธอดื่มในตอนนั้นมันมีฤทธิ์รุนแรงยิ่งนัก เธอไม่เคยได้ดื่มมาก่อน เพียงแค่อึกเดียวก็ทำให้เธอวิงเวียนจนล้มศีรษะฟาดริมขอบสระน้ำ แล้วทำให้ต้องหมดลมหายใจในที่สุด
คิดแล้วก็เศร้าใจ!
แต่ฉีเหมยลี่ในโลกใหม่นั้นก็เลิศเลอยิ่งกว่าเป็นไหนไหน เพราะชีวิตนี้ก็ร่ำรวยจนมีกินมีใช้ไปชั่วชีวิต
ความคิดนางกลับมากระตือรือร้นในการหาเงินตามสัญชาติญาณเดิม แต่แล้วจู่ ๆ นางก็เกิดความคิดดี ๆ เข้าแล้ว
“ซูเม่ย ข้ารู้แล้วว่าจะทำเช่นไร”
“ทำอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” นางเดินตามนายหญิงออกไปยืนดูหลังคาเรือนเช่นเดียวกัน
“เจ้ามองดูสิ ถ้าข้าจะเปิดเรือนแบบนี้ไว้รับซื้อสินค้าจากพ่อค้าชาวหู เจ้าว่าดีหรือไม่” ฉีเหมยลี่ยิ้มกว้างให้กับสาวใช้ของตน
นางคิดจะเปิดสำนักค้าขายระหว่างประเทศ เหมือนดั่งเช่นโลกที่นางจากมา
“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ ท่านลองปรึกษากับบิดาท่านดูสิเจ้าคะคุณหนู” ซูเม่ยนางหาได้รู้เรื่องเหล่านี้จริงๆ นั่นแหละ
“คุณหนูอาจจะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร สตรีบางทีก็อาจจะมิได้ทำกิจการอันใดได้ด้วยตัวเองนะเจ้าคะ” สตรีในยุคนี้หาได้ทำการอันใดได้เหมือนซูเม่ยว่าไว้จริง ๆ สิทธิ์ของชายเป็นใหญ่เหนือกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งมวล ทั้งยังสามารถชี้เป็นชี้ตายชีวิตของสตรีได้อีกด้วย ดังเช่นที่นางได้เคยเรียนรู้มาจากหนังสือประวัติศาสตร์
“จริงดั่งที่เจ้าว่ามา มันยากยิ่งขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉีเหมยลี่หันมามองตาของสาวใช้
“ทำไมคุณหนูไม่ให้ท่านคหบดี บิดาของคุณหนูดำเนินการแทนเล่าเจ้าคะ ซูเม่ยคาดว่าต้องทำได้แน่นอน” ซูเม่ยนางแนะนำให้บิดาเป็นผู้คิดการแทนตน แบบนั้นก็เข้าท่าเป็นไหนไหน
“อันนี้ก็จริงดั่งเจ้าว่าเช่นกันซูเม่ย” ฉีเหม่ยลี่นางเห็นด้วยกับความคิดของซูเม่ย
“ดีล่ะ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปหาท่านพ่อ” ฉีเหมยลี่คิดถึงแผนการที่นางวางไว้แล้วนางก็ดีใจล่วงหน้า คิดว่าหากการนี้ได้ผ่านคหบดีฉีเยว่เทียนแล้วเรื่องก็คงสำเร็จได้ง่ายดายนัก
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?