ตอนที่ 13 ไม่ได้จุดธูปเรียก

สองวันถัดมา ฉีเย่เทียนและคนสนิทได้ไปยังเมืองหน้าด่านเพื่อเสาะหาพื้นที่ทำเลดี ๆ ให้กับบุตรสาวในการเปิดร้านล่ามชาวหู จนได้พบห้องเช่าสองคูหาติดกัน โดยรอบบริเวณนั้นมีพวกโฝหลางจีอยู่พลุกพล่าน แถมกลุ่มพ่อค้าในละแวกนั้นนิยมที่จะเปิดร้านร่วมกันอีกด้วย

“ที่นี่เหมาะที่สุดแล้ว เจ้าจงส่งจดหมายไปให้บุตรสาวของข้า บอกว่าเจอทำเลเหมาะที่จะตั้งร้านแล้ว ให้นางเตรียมตัวไว้ให้พร้อมได้เลย ส่วนเรื่องอื่นข้าจะเตรียมไว้ให้นางเอง” ฉีเย่เทียนสั่งการคนของตนก่อนเดินไปตกลงทำสัญญาซื้อขายกับเจ้าของคูหาเสร็จสรรพอย่างมิให้เสียเวลา

เมื่อกลับถึงจวนเขาเขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับแล้วส่งให้กับบ่าวคนสนิททันที บ่าวคนสนิทรับคำสั่งของผู้เป็นนาย หลังจากนั้นจึงได้นำจดหมายส่งไปให้ฉีเหมยลี่ที่จวนเซิ่น

ตกเย็นนั้นเองขณะที่หญิงสาวกำลังคัดลายมืออยู่ด้วยความเพลิดเพลิน บ่าวรับใช้ตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปในห้องของฉีเหมยลี่ ในมือถือจดหมายที่พึ่งได้รับมาหมาด ๆ

“คุณหนูเจ้าขา จดหมายจากนายท่านเจ้าค่ะ”

“ไหน ส่งมาให้ข้าเร็วเข้า” ฉีเหมยลี่รีบยื่นมือมาหยิบจดหมายจากมือของซูเม่ยเปิดออกอ่านอย่างรีบร้อน สายตาจดจ่อกับเนื้อหาในจดหมายพลันเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อได้อ่านใจความ

เนื้อความในจดหมายนั้นบอกว่าสิ่งที่นางขอไว้ได้เตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ให้นางเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ฉีเหมยลี่รู้สึกตื่นเต้นมากเพราะสิ่งที่นางคิดจะทำเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว และนึกขึ้นได้ว่านางต้องทำใบปลิวเพื่อนำไปให้บิดาของนาง นางจึงตรงปรี่ไปที่โต๊ะหนังสือ ค้นหากระดาษทั้งหมดที่มีอยู่ในห้อง

“ซูเม่ย กระดาษมีแค่นี้เองเหรอ ข้าต้องการใช้มากกว่านี้” กระดาษที่นางหาได้นั้นมีไม่มากพอที่นางจะทำใบปลิวแจกผู้คน นางจึงพยายามค้นหารอบ ๆ ชั้นหนังสือว่ายังพอมีเหลืออยู่บ้างหรือไม่

“ตอนนี้ที่ห้องคุณหนูเหลือแค่นี้เจ้าค่ะ บ่าวจะไปหามาเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ซูเม่ยรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างกระตือรือร้น ฉีเหมยลี่จึงเริ่มลงมือเขียนใบปลิว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและแรงกระตุ้นอย่างมาก

“วันนี้มีอะไรพิเศษกันรึ เจ้าถึงได้ดูมีความสุขพิกล นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ผู้ใดมาพบเห็นอาจจะคิดได้ว่าฮูหยินเอกของจวนเซิ่นเสียสติ วิกลจริตไปเสียแล้ว ” ฟางลี่หมิงเดินตรงเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ ฉีเหมยลี่ตวัดสายตามองแค่หางตา หากให้เดาเหตุผลที่นางมาที่นี่ก็คงไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากการมาก่อกวนนางให้รำคาญใจเพียงเท่านั้น

“ผู้ใดเชิญเจ้ามากัน ข้ายังไม่ได้จุดธูปเรียกเสียหน่อย” ฉีเหมยลี่ตอบกลับนางอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่ามือยังคงใช้สมาธิจดจ่อกับการเขียนใบปลิวราวกับสตรีสวยหยาดเยิ้มเบื้องหน้าเป็นเพียงอากาศธาตุ

“ข้าแค่เดินผ่านมา จึงแวะมาทักทายถามสารทุกข์สุกดิบของเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไยเจ้าจะต้องหาเรื่องข้าเช่นนั้นเล่า”

“เช่นนั้นคงเป็นข้าเองสินะที่มารยาททราม แขกมาถึงเรือนกลับหาเรื่องตำหนิได้ แต่เจ้าน่าจะรู้ตัวนะ ว่าที่ผ่านมาเจ้ามิเคยมาดี” ฉีเหมยลี่พูดยิ้ม ๆ ทว่าแววตาพิฆาต

“ข้ามาสนทนาด้วยเท่านั้น เพราะหมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไร ท่านแม่ทัพเอาแต่บ่นว่าอยากอยู่กับข้าทั้งวันทั้งคืน ข้าแค่กลัวว่าฮูหยินเอกจะแห้งเหี่ยวเฉาอยู่ในห้องจนคิดอยากฆ่าตัวตายอีกกระมัง” คำพูดของฟางลี่หมิงนั้นเหน็บแนมนางอย่างไม่ลดละ แต่ฉีเหมยลี่เลือกที่จะปล่อยผ่านไม่สนใจ ยังคงตั้งใจคัดลอกใบปลิวต่อจนแขกที่มิได้รับเชิญต้องเดินมาถามด้วยความอยากรู้

“นั่นเจ้าเขียนอะไรของเจ้า!! ภาษาอะไรกันไม่เห็นจะอ่านออกเลยสักตัว ฮึ!! เจ้าคงอยู่คนเดียวมากไปสินะจึงได้มีเวลามานั่งขีดเขียนอะไรไร้สาระเช่นนี้” คำถากถางดังไม่สงบหู แต่ยิ่งฮูหยินเอกไม่ตอบโต้ ฟางลี่หมิงกลับยิ่งได้ใจพูดจาเยาะเย้ยนางไม่ยอมหยุด ฉีเหมยลี่คิดว่าแมลงหวี่ตัวนี้หากไม่ตบไล่ไปเสียบ้าง ก็ยังจะอยู่สร้างความรำคาญให้ไม่หยุดเป็นแน่

“เจ้ามาเพื่อถามไถ่เพียงแค่นั้นใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้รู้ว่าข้ามีความสุขดี ซ้ำยังมีอะไรให้ทำมากมายจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระ ส่วนสามีร้ายกาจเช่นนั้นจะมาหรือไม่ข้าไม่เคยใส่ใจ” ฉีเหมยลี่มองคนตรงหน้า ตอบคำถามที่นางถามไว้ในรวดเดียว ฟางลี่หมิงมองบนใส่นางทำหน้ายียวนให้ชวนโมโห

“ส่วนที่เจ้าอ่านแผ่นกระดาษนี้ไม่ออก เป็นเพราะภาษานี้คนมีความรู้เท่านั้นจึงจะอ่านออก ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าไม่มี”

ฟางลี่หมิงเลือดขึ้นหน้ารู้สึกโกรธที่ถูกฉีเหมยลี่ด่าเป็นนัยว่าโง่เขลา จึงสะบัดก้นเดินฟึดฟัดออกจากห้องไป ทิ้งให้เจ้าของเรือนส่ายหน้าเอือมระอา

“คุณหนู ฮูหยินรองมาหาท่านถึงห้อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่เจ้าค่ะ เดินไม่สบอารมณ์ออกไปแบบนั้น เกรงว่าจะต้องนำเรื่องไปฟ้องนายท่านอีกเป็นแน่ ” ซูเม่ยถือกระดาษจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องสวนกับฟางลี่หมิงที่เดินฮึดฮัดกลับออกไป

“นางแค่มายั่วประสาททำให้ข้าโมโห ข้าไม่ใส่ใจหรอก มา ๆ เอากระดาษส่งมาให้ข้าเร็วเข้า วันนี้ข้าต้องคัดลอกให้เสร็จ” นางกวักมือเรียกซูเม่ยให้รีบเข้าไปหา

ตกเย็นนั้นเอง ทันทีที่เซิ่นหยางกลับมาถึงจวนก็ตรงไปหาฟางลี่หมิงเหมือนอย่างทุกวัน ไม่แม้แต่ที่จะคิดก้าวเท้าไปห้องของฮูหยินเอกเลยสักครั้งเดียว

“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว” เมื่อเห็นว่าสามีของนางกลับมาจึงรีบเสนอหน้าเข้าไปหาทันทีอย่างเอาใจ

“วันนี้อากาศร้อนกว่าปกติข้าไม่อยู่จวนทั้งวัน เจ้าเป็นเช่นไรบ้างฮูหยินของข้า” เซิ่นหยางถามไถ่นาง หากแต่คำถามแบบนี้ไม่เคยคิดที่จะเอ่ยถามกับฉีเหมยลี่เลยสักครั้ง

“วันนี้ข้าเห็นว่าอากาศร้อนจึงออกไปเดินเล่นที่สวน ขากลับข้าผ่านไปทางห้องของฉีเหมยลี่ ข้าเพียงแค่ว่าจะแวะไปทักทายถามไถ่นางเท่านั้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่านางทำอะไรอยู่”

“นางทำสิ่งใด?” เซิ่นหยางถาม ฟางลี่หมิงยิ้มแววตามุ่งร้าย สบโอกาสหาเรื่องฟ้องเขาอีกเช่นเคย

“ข้าเห็นนางเขียนตัวหนังสืออะไรก็ไม่รู้ ลายเส้นยึกยือตวัดไปตวัดมา อ่านไม่รู้ความเป็นภาษา ตอนแรกข้าคิดว่านางอาจเพี้ยนเสียสติเพราะอยู่คนเดียวมากเกินไป...”

นางหยุดพูดมองสีหน้าของสามีว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรบ้างกับสิ่งที่นางพูดไป พอเห็นว่าคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ยังคงนิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่ภรรยาคนโปรดของเขาจะเล่า

“หรือไม่สิ่งที่นางเขียนอาจจะเป็นคาถาปีศาจ นางคงขุ่นเคืองข้า คิดว่าข้ารั้งตัวท่านไม่ให้ไปหานาง จึงตั้งใจเขียนคาถาพวกนั้นไว้ทำร้ายข้า” ฟางลี่หมิงจึงเริ่มใส่ไฟให้เซิ่นหยางชิงชังนางมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันก็เป็นไปตามแผนดั่งที่นางคาดไว้

“ให้ตายเถอะ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในจวนของข้าได้อย่างไร ข้าต้องไปจัดการนางเสียหน่อย” หลังจากฟังคำใส่ความของฮูหยินรอง ทำให้เกิดอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นในใจ เขารีบรุดตรงไปยังห้องของฉีเหมยลี่ในทันที เมื่อมาถึงผู้เป็นสามีก็ส่งเสียงโหวกเหวกอยู่หน้าห้อง

“ฉีเหมยลี่! เจ้าอยู่ที่ไหน” เซิ่นหยางตะโกนลั่นตลอดทางมายังห้องของนาง ซูเม่ยได้ยินเช่นนั้นจึงรีบวิ่งออกจากห้องมาขวางทางเขาไว้ เพื่อไม่ให้เซิ่นหยางเข้าไปรบกวนฉีเหมยลี่ที่กำลังตั้งใจทำใบปลิวอยู่

“นายท่าน คุณหนูสั่งไว้ว่าไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเจ้าค่ะ” ซูเม่ยรีบยืนขวางทางเอาไว้ แต่ถูกเซิ่นหยางผลักออกไปชนกับเสาอย่างแรง

“หลบไป!! มิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!!”

“นายท่าน!!”

“ฉีเหมยลี่ เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ออกคำสั่งห้ามข้าเข้ามา ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าจะเข้าออกเมื่อไรก็ย่อมได้” เซิ่นหยางเมื่อเข้ามาในห้องได้ก็โวยวายใส่ฉีเหมยลี่ยกใหญ่ นางปรายตามองเขาครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเขียนต่อโดยไม่สนใจสามีหน้าจวักที่ยืนโวยวายอยู่ตรงหน้า

“ฮึ! คงเป็นจริงอย่างที่ข้าได้ยินมา เจ้ามันวิกลจริตเสียสติไปแล้วจริง ๆ” สามีปลอม ๆ ของนางโวยวายเสียงลั่น

ฉีเหมยลี่ยังคงไม่สนใจเขา ร่างหนาเดินเข้าไปดึงกระดาษที่นางกำลังเขียนอยู่ออกมาดู แต่กลับอ่านไม่ออก ด้วยความโมโหจึงปัดกระดาษทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะของนางปลิวกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง

“บังอาจนัก!! เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ทำหูหนวกบ้าใบ้ใส่ข้าเช่นนี้!!” คำด่าดังขึ้นจากปากชายผู้โง่เง่ายิ่งกว่าลา ฉีเหมยลี่เหลืออดลุกพรวดมองหน้าเซิ่นหยางด้วยความโกรธ นัยน์ตาที่เคยหวานซึ้งกลับกลายเป็นแข็งกร้าวมองผู้เป็นสามีอย่างเอาเรื่อง

เมื่อเห็นนางตวัดสายตาอย่างเอาเรื่อง ใจของเซิ่นหยางเกิดการกระตุกวูบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเขาเห็นสายตาของนางแปรเปลี่ยนไป ช่างต่างจากฉีเหมยลี่คนเดิมที่รักและเทิดทูนบูชาเขา จากที่ตั้งใจมาหาเรื่อง เมื่อมาเจอการตอบสนองที่ไม่ได้คาดคิดไว้ ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดการไม่ถูก

สายตาที่มีอำนาจและดูเย็นชานั้น ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกตัดสินใจเดินออกจากห้องไปในทันทีด้วยความฉุนเฉียว

หลังจากที่เซิ่นหยางเดินกลับออกไป ซูเม่ยรีบวิ่งเข้ามาในห้องเห็นกระดาษปลิวกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด จึงเข้าไปช่วยฉีเหมยลี่เก็บขึ้นมา หลังจากทำความสะอาดห้องเสร็จก็จวนใกล้ค่ำแล้ว สองคนนายบ่าวยังคงช่วยกันทำใบปลิวต่อ ด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้าของฉีเหมยลี่นางจึงอยากทำให้เสร็จในคราวเดียว กว่าเทียนในห้องของนางจะดับลงและนางได้นอนพักผ่อนก็เกือบจะรุ่งสาง

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ