ในยามวสันตฤดูที่ดอกเหมยแดงอมชมพูเบ่งบานสะพรั่งไปทั่ว ผู้คนในเมืองต่างก็รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจยามที่ได้พบเห็น เช่นเดียวกับหัวใจของหญิงสาวนามว่า 'ฉีเหมยลี่' ในยามนี้ก็รู้สึกเบิกบานไม่แพ้กัน เนื่องจากงานมงคลสมรสของนางในวันนี้ได้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นตั้งแต่ในยามเว่ย บัดนี้ล่วงเลยมาจนถึงยามไฮ่อันสมควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของคู่วิวาห์ แต่ทว่ากลับกลายเป็นความเงียบงันและโดดเดี่ยว จวบจนถึงเวลานี้นางยังคงนั่งเดียวดายบนเตียงในห้องหอรอคอยสามี...
ดอกเหมยสีแดงโรยกลีบร่วงลงกระทบพื้นครั้งแล้ว...ครั้งเล่า พื้นอิฐสีน้ำตาลเทาถูกกลบด้วยกลีบดอกที่ร่วงหล่นจนราวกับพรมสีแดงที่ปูลาด ดูงดงามเช่นเดียวกับห้องหอที่ประดับไปด้วยผ้าสีแดงอย่างประณีต ทว่าไร้เงาร่างของบุรุษที่นางเพิ่งเข้าพิธีมงคลสมรสด้วย
“พวกเจ้าได้ยินที่แขกเหรื่อพูดถึงในงานมงคลวันนี้หรือไม่”
หัวหน้าอวี้ สาวใช้ในจวนของเซิ่นหยางซุบซิบกับสาวใช้คนอื่น ๆ พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ สายตาของพวกนางเปี่ยมด้วยความสนุกสนาน ระริกระรื่นที่จะได้กล่าววาจาว่าร้ายใครต่อใคร โดยไม่สนใจว่าจะมีคนมาได้ยินเข้าหรือไม่
“เป็นเช่นไรกันหัวหน้าอวี้ ที่ข้าได้ยินมาคาดว่าคงไม่ต่างกันเป็นแน่” สาวรับใช้รุ่นเดียงสาเอ่ยขึ้นกระตุ้นความอยากรู้ของอีกสองคนที่เหลือให้ล้อมวงเข้ามาใกล้ ตาส่องประกายสนอกสนใจรอให้หัวหน้าอวี้บอกเล่าเรื่องที่นางได้ยินมา
“ช่างกล้าหาญเสียจริง ถึงกับเสนอตัวเข้าพิธีแต่งงานกับนายท่าน ทั้งที่รู้ว่าในจวนมีฮูหยินรองอยู่แล้ว” คำพูดของพวกนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน หัวเราะเยาะฮูหยินเอกที่นั่งรอคอยสามีน้ำตาตกอยู่ใต้ผ้าคลุมสีชาด
"ถึงจะเป็นบุตรีของคหบดีมีชื่อเสียง มีสินเดิมมากพอจะสร้างจวนใหม่เป็นร้อยหลังก็เถอะ แต่ท่าทางดูไร้ค่าเสียจริง" สาวใช้ป้องปากซุบซิบพร้อมหัวเราะแผ่วเบา
"หน้าตานางก็งามอยู่หรอก แต่ริอาจจะมาเทียบฮูหยินรองได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะเรื่องอุ่นเตียง เรื่องนั้นข้าก็รู้มามิใช่น้อย” พวกนางต่างป้องปากหัวเราะเยาะฮูหยินเอกที่เพิ่งแต่งเสร็จ จนเสียงหัวเราะเหล่านั้นดังลอดเข้าไปถึงในห้องหอ
ฉีเหมยลี่ได้ยินทุกถ้อยคำ นางทำได้เพียงก้มหน้าร่ำไห้ใต้ผ้าคลุมสีชาด เทียนหอมที่ถูกจุดไว้นั้นค่อย ๆ มอดดับลง กลิ่นหอมที่เคยอบอวลก็พลอยจางลงไปด้วย เหลือเพียงแสงสว่างริบหรี่บนเชิงเทียนที่วางประดับไว้
นางมองเหม่อผ่านม่านน้ำตาไปยังเชิงเทียนมงคลซึ่งเหลือเพียงน้อยนิด มันถูกจุดประดับไว้ตามมุมต่าง ๆ ในห้องหอ ช่างส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนสร้างกำหนัดแก่คู่บ่าวสาวในคืนส่งตัวยิ่งนัก ทว่าบัดนี้กลับไร้ร่างของสามีอันชอบธรรม เขามิได้ย่างกรายเข้ามาแม้แต่น้อย
หากนางจะคิดว่า เขาคงร่ำสุรากับเหล่าสหายรัก เพื่อที่จะฉลองชัยกับความสุขครั้งนี้แล้วนั้นมันก็คงมิผิด แต่มันช่างเนิ่นนานเกินไปหรือไม่...
นางยังปล่อยความคิดเหล่านั้นให้เป็นเพียงอากาศธาตุ และทำให้มันอันตรธานไปในความว่างเปล่า รู้สึกว่าตัวเองช่างไร้เกียรติและศักดิ์ศรีดังเช่นสาวใช้พวกนั้นกล่าวขาน
นางนี่มันช่างโง่เง่าเสียจริง!
เสียงประตูห้องหอสั่นไหวเล็กน้อย นางมองทอดไปยังบานเลื่อนสีขาวประดับลายดอกโบตั๋น ตรงนั้นมีสาวใช้ที่ติดตามมาจากจวนเดิมของนาง พูดแทรกเข้ามาทางช่องลมระหว่างประตู
“ฮูหยินเจ้าขา ท่านเป็นเช่นไรบ้าง ท่านอย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ” นางรู้ว่าเจ้าสาวที่รอคอยเจ้าบ่าวที่ไร้เงานั้นเป็นเช่นไร คงสูญเสียความมั่นใจเป็นแน่แท้
"ข้าไม่เป็นไรหรอกซูเม่ย เจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าเถอะ" นางเอ่ยเสียงเครือกับสาวใช้คนสนิทที่เข้ามาถามไถ่ ซูเม่ยได้แต่มองนายหญิงด้วยความสงสาร ในขณะเดียวกันด้านนอกกลุ่มสาวใช้ยังคงซุบซิบนินทากันอย่างออกรส สาวใช้คนสนิทผงกหน้ารับคำในเงาม่านประตู นางเดินออกมาด้านหน้า แลเห็นพวกสาวใช้จวนใหญ่ยืนล้อมวงคุยกันอยู่จึงได้ตรงเข้าไปเอ่ยถาม
“พวกเจ้าเห็นท่านเซิ่นหยางบ้างหรือไม่” ซูเม่ยนางยังเป็นคนไร้เดียงสาอยู่มิใช่น้อย การที่เข้ามาถามเช่นนี้ ทำให้เหล่าสาวใช้ที่อยู่มานานแสดงความไม่พึงใจ
“หึ! เจ้าบังอาจเรียกนายท่านเหมือนดังเช่นสหายเชียวหรือ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว!” สาวใช้ต้นเรื่องการนินทาใช้วาจาว่ากล่าวสาวใช้จากตระกูลฉี
“เปล่านะ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” ซูเม่ยชักเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความระแวงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะปรี่เข้ามา
“ข้าก็แค่ถามดู เพราะเห็นว่าฮูหยินของข้ารอนายท่านเซิ่นนานแล้วต่างหาก ว่าแต่พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าตอนนี้นายท่านอยู่ที่ใดในจวน”
“เจ้าคิดจะอาสาไปตามนายท่านให้มาเข้าหอเช่นนั้นหรือ ฮูหยินเจ้าสั่งหรือไง! เจ้าทำเกินหน้าที่ไปหรือไม่!” นางสาวใช้คนเดิมกล่าวฉอด ๆ พร้อมจะปรี่เข้าไปทำร้ายนางจริงๆ แต่อีกคนเข้าห้ามไว้
“เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าในค่ำคืนนี้ นายท่านเซิ่นก็ยังใช้เวลากับฮูหยินรองเช่นเดิมเหมือนทุกคืนวันนั่นแหละ” คนที่เข้ามาปรามก็มิใช่ใครอื่น เป็นสาวใช้ที่ยังอายุน้อยวัยเดียวกันกับซูเม่ย นางไม่อยากให้มีเรื่องมีราวกันระหว่างคนรับใช้ที่ทำงานด้วยกันทุกคน
“ช่างมารยายิ่งนัก! เป็นคนที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรียังไม่พอ ทั้งยังเป็นคนที่หยามเกียรติผู้เป็นบิดาอีกด้วย ถ้าอยากเข้าหอกับชายหนุ่มนักทำไมไม่แต่งเข้าหอกับผู้อื่นเล่า รู้ทั้งรู้ว่านายท่านเซิ่นมีฮูหยินรองอยู่แล้ว”
นางยังคงกล่าวถ้อยคำเหยียดหยามไม่หยุด ทั้งส่งเสียงดังเข้าไปจนห้องหอแทบสะเทือน
“ถึงใบหน้าของนายหญิงเจ้าจะมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แถมยังเป็นถึงบุตรีของคหบดีผู้ร่ำรวยในแคว้นนี้ แต่ก็ยังสู้ฮูหยินของข้ามิได้ ทั้งความสวยงามและรูปทรงอันมีเสน่ห์เย้ายวนใจชายยิ่งนัก ผมยาวสลวยชวนให้ใครต่อใครต่างก็ลุ่มหลง มิใช่ฮูหยินของเจ้าที่ใบหน้าจืดชืดอย่างกับน้ำต้มหมั่นโถว ฮ่า ๆ” ปากนางยังคงพร่ำพรรณนาไม่หยุดถึงความงามของฮูหยินที่ตนรับใช้อย่างจงรักภักดี
“ขนาดข้าเองที่เป็นหญิงสาว ยังอดอิจฉาฮูหยินฟางลี่หมิงมิได้เลย โอ๊ยยย...ข้าละอยากเกิดใหม่เป็นหญิงงามสะคราญเช่นนั้นบ้าง”
พูดจบนางก็ป้องปากหัวเราะ เหลือบตาใส่สาวรับใช้จากจวนฉีแบบขุ่นเคือง
“ไปซะ! ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเจ้า แล้วก็รีบไสหัวไปรับใช้เจ้านายของเจ้าซะ ข้าจะบอกอะไรให้สักอย่าง” นางหยิบผ้าผืนเล็กออกมาจากชายเสื้อ
“เอาผ้าอบน้ำปรุงนี่ไปเช็ดหน้าเช็ดตานายเจ้าซะ ตอนนี้นางคงดื่มน้ำตาแทนสุรามงคลเป็นแน่” พูดจบเหล่าสาวใช้ก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังคิกคัก ทำให้สาวใช้อย่างซูเม่ยสลดใจยิ่งนัก เพราะเป็นเรื่องจริงที่มิอาจมองผ่านได้
ฉีเหมยลี่ เจ้าสาวผู้ร้างเจ้าบ่าว นางยังคงนั่งรอให้สามีเข้ามาปลดเปลื้องผ้าคลุมหน้าอยู่อย่างนั้น น้ำตาของนางยังคงท่วมใบหน้าจนหยาดหยดลงสู่อาภรณ์สีแดงสดเป็นคราบแปดเปื้อน
ในใจนั้นคิดเคืองใจตนเองนักหนา หากอยู่เฉย ๆ เป็นสตรีที่สูงค่าก็ดีอยู่แล้ว นางไม่น่าฝักใฝ่ในตัวบุรุษเช่นเซิ่นหยางเลย ความเจ็บช้ำนี้นางจะบากหน้ากลับไปหาผู้เป็นบิดาก็มิได้ ในเมื่อถือว่านางออกเรือนแล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เจ็บใจจนอยากตีอกชกตัว สามีก็มิได้เอ็นดู แถมยังถูกบรรดาสาวใช้ไร้ค่าเหยียดหยามประณามไปถึงบิดา หากในตอนนี้นางครวญคิดไปถึงภาพในมโนจิต ว่าสามีของนางกำลังกกกอดอยู่กับฟางลี่หมิงด้วยร่างกายที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดกาย นั่นทำให้ฉีเหมยลี่ทนทุกข์ยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก...
ใยฟ้าจึงลิขิตชะตาของข้าเช่นนี้!
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?