ตอนที่ 15 อย่ามาวุ่นวายกับคนเช่นข้า

ทั้งสามคนพากันเดินไปยังเรือนตะวันออกของฉีเหมยลี่ แต่ในระหว่างทางที่เดินไป กลับพบนางนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ใต้ต้นไห่ถังที่หน้าชานเรือน ความใหญ่โตของต้นไห่ถังนั้นทำให้เกิดร่มเงาเป็นบริเวณกว้างให้นางได้นั่งพักหลบความร้อนจากแสงของดวงอาทิตย์ อีกทั้งลมเย็นโชยพัดผ่านช่วยทำให้นางคลายร้อนและเพลิดเพลินกับการฝึกร่างใบสัญญา

เซิ่นหยางเดินนำเซิ่นหวังเล่ยและฟางลี่หมิงเข้ามาทางด้านหลังโดยปกติ แต่ดูเหมือนว่าฉีเหมยลี่จะไม่รับรู้ถึงการมาของพวกเขาและยังคงจดจ่ออยู่กับการเขียนตรงหน้า

เซิ่นหยางเห็นเช่นนั้นจึงทำเสียงกระแอมขึ้นเพื่อให้นางรู้ตัว เสียงนั้นทำให้นางตกใจสะดุ้ง มือบางเผลอปัดกระดาษตกลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ

หญิงสาวหันหลังกลับไปมองยังที่มาของเสียง คนแรกที่นางควรจะได้สบตาด้วยควรจะเป็นเซิ่นหยางสามีของนาง แต่ดวงตาที่เห็นนั้นกลับเป็นดวงตาดำลึกล้ำที่ยากจะคาดเดา หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย คิ้วพาดเฉียงดุจกระบี่งาม ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง ทว่าหากมองโดยรวมแล้วท่าทางบุรุษผู้นี้จะมีความสูงกว่าเซิ่นหยางสามีแค่เพียงในนามของนางเสียอีก อีกทั้งหน้าตาของเขายังดูหล่อเหลามากด้วย

ฉีเหมยลี่ยืนตะลึงมองสายตาคู่นั้นอยู่สักพัก ด้วยอาการของนางทำให้ผู้เป็นสามีเริ่มไม่พอใจนัก จึงทำเสียงกระแอมขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแต่รอบนี้ดังกว่ารอบแรกอยู่มาก ทำให้นางที่เหม่ออยู่ถึงกับสะดุ้ง ฉีเหมยลี่หันไปมองหน้าผู้เป็นสามีที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่นางกลับไม่ได้สนใจ ก้มตัวลงเพื่อเก็บกระดาษที่หล่นอยู่บนพื้น แต่ลมเจ้ากรรมดันพัดเข้ามาพอดีทำให้กระดาษใบนั้นปลิวไปตกอยู่ที่ปลายเท้าของเซิ่นหวังเหล่ย

เซิ่นหวังเหล่ยก้มหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู กลับพบว่ากระดาษใบนั้นเขียนเป็นภาษาของพวกโฝหลางจี มุมปากเขากระตุกสงสัยว่าทำไมนางถึงเขียนภาษาพวกนี้ได้

“เอาของข้าคืนมานะ”

ฉีเหมยลี่ถลึงตา ลืมตัวตวาดใส่เซิ่นหวังเล่ยโดยที่นางยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มือบางดึงกระดาษออกจากมือของเขาทันทีไม่ทันให้เขาได้พูดอะไรสักคำ เซิ่นหวังเหล่ยยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน สายตามองนางอย่างไม่ลดละ

“ท่านแม่ทัพเซิ่น ท่านอย่าได้ใส่ใจนางเลย นางเป็นคนวิปลาส วัน ๆ นางก็เอาแต่อยู่ในห้อง ขีดเขียนอะไรไม่เป็นภาษา คลุกคลีอยู่กับแผ่นกระดาษพวกนี้ทั้งวัน”

เมื่อฟางลี่หมิงเห็นว่าเซิ่นหวังเหล่ยมองฉีเหมยลี่ไม่วางตาเหมือนกำลังสนใจนางเป็นพิเศษจึงได้เริ่มพูดถึงนางในทางลบ บอกว่านางเป็นคนไม่ปกติ

“อีกอย่างนางเป็นพวกไม่คบค้าเสวนากับผู้ใด ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว”

เซิ่นหวังเหล่ยฟังสิ่งที่ฮูหยินรองพูดถึงนาง แต่กลับหาได้สนใจไม่ เขาทำทีเป็นฟังอย่างมีมารยาทเท่านั้น

“เจ้าบ้านเซิ่น จะไม่แนะนำนางให้ข้ารู้จักเสียหน่อยหรือ” เขาหันไปถามเซิ่นหยางที่ยืนจ้องมองนางอยู่ด้วยเช่นกัน

“นางชื่อฉีเหมยลี่ เป็นฮูหยินเอกของข้า แต่นางป่วย เพราะวัน ๆ นางไม่ทำอะไร เอาแต่นั่งเขียนตัวอักษรประหลาดพวกนี้” เซิ่นหยางแนะนำฉีเหมยลี่ให้เขาได้รู้จัก สายตายังคงจับจ้องไปที่ฮูหยินเอกของตน ในใจเริ่มคิดว่าเหตุไรนางถึงได้ดูงดงามขึ้น ดูมั่นใจมากกว่าแต่ก่อน ทั้งการแต่งตัวก็เริ่มเปลี่ยนไปทำให้นางยิ่งมีเสน่ห์ การถลึงตาของนางเมื่อครู่เขาเองก็ไม่เคยเห็น ทำไมเขาถึงไม่รู้มาก่อนว่านางน่ามองเช่นนี้

เซิ่นหยางละสายตาจากนาง หันไปเห็นเซิ่นหวังเหล่ยซึ่งกำลังจ้องมองฉีเหมยลี่อยู่เช่นกัน ในใจนึกหวงนางขึ้นมาจึงขยับตัวเดินเข้าไปใกล้นาง แต่ฉีเหมยลี่นั้นกลับก้าวถอยหลังหนีเขาทำตาโตใส่แต่กลับไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด

“นี่พวกท่านจะมาวุ่นวายอะไรกับข้า” ฉีเหมยลี่กำลังจะโวยวายใส่เซิ่นหยางกับฟางลี่หมิง แต่เมื่อเห็นว่าเซิ่นหวังเหล่ยยืนมองดูอยู่ นางกลับหยุดความคิดนั้นเพราะรู้สึกว่าเซิ่นหวังเหล่ยมีอะไรพิเศษมากกว่าคนอื่น

เซิ่นหยางเห็นดังนั้นจึงตัดบทแล้วแนะนำเซิ่นหวังเหล่ยให้นางได้รู้จัก “นี่ญาติผู้น้องของข้า เซิ่นหวังเหล่ย ตอนนี้เขาเป็นแม่ทัพฝ่ายบูรพา นาน ๆ ทีจะมาที่จวน เพราะงั้นเจ้าจึงไม่เคยได้พบ”

เมื่อฉีเหมยลี่ได้ยินที่สามีบอกว่าเซิ่นหวังเหล่ยเป็นแม่ทัพ สายตานางมองสำรวจตัวของเขาจนเหลือบไปเห็นตราพยัคฆ์ที่ห้อยอยู่ข้างเอว นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะสิ่งนั้นยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนของทางการจริง ๆ ฉีเหมยลี่รีบเอากระดาษแผ่นนั้นซ่อนไว้ข้างหลังแล้วค่อย ๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าวด้วยความกลัว ภายในหัวเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรดีเพราะเขาเห็นสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ไปแล้ว เขาจะคิดว่านางเป็นกบฏหรือไม่ แล้วเขาจะนำเรื่องของนางไปบอกกับทางการหรือเปล่า

ฉีเหมยลี่ค่อย ๆ ถอยหลังไปเรื่อย ๆ ทั้งที่สายตายังคงจ้องมองที่เซิ่นหวังเหล่ยไม่วางตา

“เซินหวังเหล่ยคารวะฮูหยินเอก”

นางพยักหน้าตอบรับเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงมีความกังวลฉายชัด

“ข้า...ข้าปวดหัว วันนี้ข้าอยากพักผ่อน คงอยู่พูดคุยกับพวกท่านไม่ได้ ข้าขอตัว” ฉีเหมยลี่รีบเก็บข้าวของที่อยู่บนโต๊ะกลับเข้าห้องไปในทันที

“ท่านแม่ทัพเซิ่นอย่าได้สนใจนางเลย นางก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร” ฟางลี่หมิงได้ทีจึงพูดว่าศัตรูหัวใจแต่เซิ่นหวังเหล่ยหาได้สนใจไม่

“เจ้าบ้านเซิ่น ข้าขอบังอาจถาม ทำไมแม่นางฉีเหมยลี่จึงได้รู้ภาษาของพวกโฝหลางจี นางไปเรียนมาจากไหนกัน” เขาเอ่ยถามกับเซิ่นหยางเพราะสงสัยที่ว่าเมื่อนางไม่ชอบออกจากห้องเหตุใดจึงรู้จักเขียนอ่านภาษาพวกนี้ได้ โดยหารู้ไม่ว่าคำถามนั้นกลับสร้างความขุ่นเคืองรำคาญใจให้กับเซิ่นหยาง

“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม นางเป็นฮูหยินของข้า มันใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมาสอดเรื่องครอบครัวของข้าไหม เจ้ากลับไปได้แล้ว”

เซิ่นหยางเลือดขึ้นหน้าเริ่มมีโทสะที่จู่ ๆ เซิ่นหวังเหล่ยเกิดสนใจฉีเหมยลี่ขึ้นมา อาจเพราะนางดูมีเสน่ห์ขึ้นเขาจึงเกิดอาการหึงหวง

“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับก่อน ไว้มีโอกาสข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก ”

เซิ่นหวังเหล่ยจึงเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อและยอมกลับแต่โดยดี ในระหว่างทางที่กำลังเดินกลับออกไปจากจวนนั้นสายตาเฉียบคมยังจับจ้องไปที่ห้องของฉีเหมยลี่อยู่ตลอดเพราะเขายังค้างคาใจที่ว่านางรู้ภาษาของพวกโฝหลางจีได้อย่างไร หรือเบื้องหลังนางมีอะไรซ่อนอยู่ เหตุใดจึงทำหน้าตกใจเมื่อรู้ว่าเขาเป็นคนของทางการ และเขาต้องหาคำตอบของเรื่องนี้ให้ได้

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ