แม้เซิ่นหยางจะตามมาราวีนางถึงจวนด้วยเพราะฟางลี่หมิงไปฟ้องถึงเหตุการณ์เมื่อคราวก่อน แต่ฉีเหมยลี่นางหาได้สนใจไม่
“เหมยลี่ ได้ยินว่าเจ้ารังแกฟางเอ๋อร์ของข้า เจ้านี่มันช่างร้ายกาจนัก!” ผู้เป็นสามีแต่ในนามกล่าวให้ร้ายแก่ภรรยาตนเองด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“สามีข้า ท่านตบแต่งข้าเป็นฮูหยินเอกเข้าจวนเพื่อที่จะมาด่าทอข้าเช่นนั้นหรือ ท่านควรพิจารณาตนเองได้แล้ว” นางตบเท้าเข้าไปใกล้เซิ่นหยางผู้เป็นสามีที่ไม่แม้แต่จะมาดูแลนางยามป่วยไข้ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบประดุจหิมะ
“เจ้าพูดอะไร น่าละอายนัก!!” เซิ่นหยางมองนางตาแข็งกร้าว “ข้าก็แค่ทำตามความปรารถนาของเจ้าให้เป็นความจริงก็เท่านั้น ข้อนี้เจ้าก็รู้ดี”
หลังอีกฝ่ายเอ่ยมาเช่นนั้น ฉีเหมยลี่ได้แต่แสยะยิ้ม เซิ่นหยางเอ่ยวาจาน่ารังเกียจนัก ปากคอไร้สิ้นราคา เป็นได้ก็แค่สุนัขที่คาบชิ้นเนื้อก็เท่านั้น หาได้รู้ว่าสิ่งใดคือหงส์ สิ่งใดคืออีกา
“มีตาแต่หามีแววไม่ หัวใจท่านคงหมดสิ้นการจำแนกสิ่งดีหรือชั่วช้า อ้อ! หรือเป็นเพราะว่า พวกท่านก็เป็นดั่งสิ่งไร้ค่าเช่นกัน” ฉีเหม่ยลี่เอ่ยขึ้นมา
“นี่เจ้า! เอ่ยวาจาเช่นนี้ช่างสามหาวนัก!” เซิ่นหยางโมโหเลือดขึ้นหน้า
“โอ๊ย! ท่านแม่ทัพ หาวเดียวก็ง่วงแล้ว อย่าได้ถึง’สามหาวเลย เดี๋ยวข้าจะหลับเอาได้” นางพูดล้อเลียนส่อเสียดชายหนุ่มพร้อมกับทำท่าทางหาวหวอดออกมา ทว่ากลับกลายเป็นสามีจอมปลอมที่เดือดดาลยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็นกิริยาของนางที่ดูเหมือนหญิงปากตลาดเช่นนี้
“นี่เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ถึงได้กล่าววาจาออกมาเช่นนี้ ข้าคือสามี คือคนที่เจ้าอยากจะแต่งงานด้วย ลืมไปแล้วเหรอ“
“ข้าก็แค่เปรียบเปรย หรือท่านไม่เคยได้ยิน” นางยังคงลอยหน้าต่อปากต่อคำอยู่เช่นนั้น
เซิ่นหยางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ด้วยคนตรงหน้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง หากเขาทำการอะไรรุนแรงลงไปก็อาจเป็นที่ครหาได้ อย่างไรเสียเขาจะต้องจัดการนางให้ได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“แล้วข้าจะมาใหม่ หวังว่าครั้งต่อไป เจ้าจะทำกิริยาที่ดีกว่านี้!!”
“ข้ามิได้อาทรร้อนใจอันใดหรอกเจ้าค่ะ ท่านสามี” นางยั่วยิ้มร้ายใส่เขา
“เชิญท่านมาเยี่ยมเยียนห้องหอของเราเมื่อใดก็ได้ ข้าจะขัดสีฉวีวรรณรอคอยท่านนะเจ้าคะ”
นางส่งสายตายั่วยวน
จัวหวะนั้นฟางลี่หมิงก็ก้าวเท้าเข้ามาบังหน้าสามี นางรู้สึกไม่พอใจที่ฮูหยินเอกส่งสายตายั่วยวนสามีของนาง
“กลับกันเถิดท่านพี่ ข้าคิดว่าถึงพูดไปก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่า ๆ เจ้าค่ะ นางคงเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ” ฟางลี่หมิงแตะที่หน้าอก “บอกข้าหน่อยสิเจ้าคะ บอกข้ามาว่าท่านจะไม่สนใจสิ่งที่นางพูด”
ฟางลี่หมิงซบศีรษะเข้าที่หน้าอกซ้ายของเขา นางปรายตามามองฮูหยินเอก ทำท่าทีแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าแต้มความรักของนางที่มีให้แก่เซิ่นหยางนั้นมีมากมายยิ่งกว่าเป็นไหน ๆ
“ไม่มีวันที่ข้าจะสนใจนาง ข้ารักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว” เขากอดเอวคอดกิ่วของฟางลี่หมิงเข้ามากอดปลอบประโลมต่อหน้าต่อตาฉีเหมยลี่ จนนางแทบจะสำรอกความคลื่นไส้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้น
ในวันรุ่งขึ้น เพื่อเป็นการเอาคืนแก่คู่อริ ฟางลี่หมิงเข้ามาหาฉีเหมยลี่ที่จวนอีกครั้ง ก่อนจะพลบค่ำที่สามีกลับจวนนางคงมีเวลามากมายเสียเต็มประดา
“ฮูหยินเอก ท่านเคยได้รับของกำนัลจากท่านแม่ทัพหรือไม่เจ้าคะ” คราวนี้นางมาแผนใหม่ วัน ๆ คงหาได้ทำการทำงานอื่น ฉี่เหมยลี่เหนื่อยหน่ายใจยิ่งนัก
“ท่านพี่เซิ่นหยางซื้อกำไลหยกชิ้นนี้มาให้ข้าด้วย ได้ข่าวว่าพ่อค้านำมาจากแผ่นดินใหญ่ ช่างสวยสดงดงามมีราคายิ่ง” นางหมุนกำไลหยกในมือไปด้วย ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะราวกับพวกคนที่มิเคยได้สิ่งล้ำค่าใด ๆ
ฉีเหมยลี่นางก็รู้สึกสมเพชอยู่ในที ถึงร่างนี้จะเป็นวิญญาณใหม่ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่า จิตวิญญาณของหญิงสาวก็มิได้ชอบพอฟางลี่หมิงนัก
“ได้ของราคาที่มิได้มากมายเช่นนั้น เจ้าคงดีใจจนเสมือนได้เฉือนเนื้อเสือกินเลยสิท่า”
คำนั้นทำให้ฟางฮูหยินรองชักสีหน้าตึงขึ้นมา
ฮูหยินเอกป้องปากหัวเราะน้อย ๆ ออกมา แววตาของนางเหมือนย้อนอดีต ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่นางทั้งสองร่วมชะตากันมา เพราะเมื่อครั้งยังเยาว์ ฟางลี่หมิงนางชอบแข่งขันกับฉี่เหมยลี่ในทุก ๆ คราวที่มีโอกาส ทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเนิ่นนาน ด้วยบิดาของทั้งคู่ก็เป็นอริทางการค้าเหมือนกับบุตรีทั้งสอง เรื่องแก่งแย่งชิงไหวชิงพริบ พวกนางก็ล้วนเป็นม้าทองคำกันทั้งคู่ แต่ทว่าทางฝั่งตระกูลของฉีเหมยลี่นั้น เหนือกว่าตระกูลของฟางลี่หมิงอยู่ทุกครา ในครั้งนี้ที่นางเหนือขั้นกว่า จึงได้ใจแล้วแสดงอากัปกิริยาดุจดั่งนางเป็นหงส์
“ข้ารู้หรอกนะฮูหยินเอก ท่านน่ะอิจฉาที่สามีรักและหลงใหลในตัวข้า เสน่หาพึงรักแต่ข้า กินมิได้นอนหาหลับไม่ หากข้างกายเขานั้นไม่มีข้าอิงแอบแนบชิด”
นางใช้นิ้วเรียวป้องปาก ไล้ปลายนิ้วลงมาจรดริมฝีปากล่าง ก่อนจะเข้าไปใกล้ฉีเหมยลี่ พลางช้อนปลายคางมนของฮูหยินเอกขึ้นด้วยปลายเล็บเรียว
“ท่านพี่ดูจะใส่ใจข้ายิ่งนัก โดยมิได้เหลียวแลเจ้าสาวผู้รอคอยอยู่เช่นท่านเลย ฮ่า ๆ” นางหัวเราะออกมาเพราะคิดว่าเย้ยหยันอีกฝ่ายได้แล้ว นางรู้สึกสะใจตนเองนักที่ได้ทำเช่นนั้น คนมาทีหลังย่อมมิได้ชิ้นเนื้อที่ล้ำค่า และนางจะไม่แบ่งให้สตรีใดทั้งนั้น
ฉีเหมยลี่กลั้นขำกับท่าทางแสดงจำอวดของฟางลี่หมิง จนในที่สุดนางก็หลุดหัวเราะออกมาตัวบิดตัวงอ
“โอยย...ให้ตายเถอะ!! ข้าถูกใจท่าทางอวดดีดั่งเช่นสตรีสูงศักดิ์ของเจ้าเสียจริง ฟางลี่หมิง”
นางหยุดขำก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา
“กำไลปลอม ๆ ที่ท่านแม่ทัพให้เจ้า เทียบค่ากับแจกันหยกใบนี้เของข้ายังมิได้เลยด้วยซ้ำ”
“เจ้ากำลังพูดจาโกหกอันใดหรือฮูหยินเอก” นางมองกำไลหยกของตนสลับกับมองหยกเนื้อดีที่เป็นแจกันไปมา
“กำไลหยกของเจ้ามันหาใช่ของแท้ แต่มันคือสินค้าที่ทำลอกเลียนแบบขึ้นมาเท่านั้น หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าจะให้ซูเม่ยเอาอะไรให้ดู ซูเม่ย...เจ้าไปหยิบแจกันใบนั้นให้ข้าที”
นางบอกสาวใช้ให้ไปหยิบแจกันของตนมาวางไว้บนโต๊ะ และคว้าข้อมือของฟางลี่หมิงเพื่อถอดกำไลออก เจ้าของหยกชิ้นกลมยังคงทำหน้าตางุนงงไม่หาย
“หยกทั้งสองนี้เนื้อต่างกัน หากชิ้นไหนแสงจากปลายเทียนส่องทะลุ นั่นแสดงว่าเป็นของปลอม” นางคว้าเทียนไปลนยังด้านล่างของหยกทั้งสองชนิด หยกของแท้จะทึบแสง นั่นแสดงว่าแจกันของนางเป็นหยกเนื้อแท้หาที่เปรียบมิได้ ส่วนกำไลหยกของฟางลี่หมิงนั้น กลับเห็นแสงส่องทะลุเป็นสีส้มในอีกด้าน
หลังฉีเหมยลี่ทำการทดสอบจบสิ้น ฟางลี่หมิงก็สะบัดก้นงามงอนออกจากเรือนไปทันที ทิ้งให้สองสาวได้แค่ส่ายหน้าตามหลังอย่างเวทนา
“ถ้าให้ข้าน้อยเดา เดี๋ยวฮูหยินรองก็เอาความไปฟ้องนายท่านเซิ่นอีกเจ้าค่ะคุณหนู”
“ช่างเถิดซูเม่ย คนต่ำตมเช่นนาง ขืนเราไปวอแวด้วยมีแต่จะเสียค่าเปล่า ๆ” ฉีเหมยลี่ตัดบทก่อนจะไปวุ่นวายกับการงานที่นางตั้งใจจะทำตั้งแต่เช้า ซึ่งก็เป็นดังเช่นที่ซูเม่ยกล่าวมาจริง ๆ ฮูหยินแห่งเรือนตะวันตกกระทืบเท้าไม่พอใจกลับจวนด้วยความอาฆาตมาดร้ายแก่ฉีเหม่ยลี่
“คอยดูเถอะฮูหยินเอก วันนี้เจ้าต้องโดนดีแน่!”
ฉี่เหมยลี่หารอคอยการกลับมาของนางไม่ เพราะรู้อยู่แล้วว่าฟางลี่หมิงนางต้องกลับมาพร้อมกับสามีตัวดีในเวลาต่อมา...
ปัง ๆ ๆ
เสียงบานประตูกระทบกันให้ระคายหู ดังสลับกันไปมาระหว่างห่วงเหล็กและประตูไม้เนื้อแข็ง
“ฉีเหมยลี่! วันนี้เจ้ารังแกฟางเอ๋อร์ของข้าอีกแล้วนะ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
ฉีเหมยลี่นางหาสนใจต่อคนที่อยู่หน้าบานประตู เพราะนางลงกลอนด้านในเสียแน่นหนา ยังมีเพียงแต่ซูเม่ยเท่านั้นที่หวั่นเกรงนายท่านหนุ่ม นางจึงหันมาเอ่ยถามฮูหยินสาวขึ้น...
“ปล่อยไว้แบบนี้จะมิเป็นไรหรือเจ้าคะ”
“ช่างปะไร เดี๋ยวพอเหนื่อยล้าพวกนั้นก็กลับไปเอง เจ้ามาช่วยข้าสางผมเถอะซูเม่ย อย่าได้สนใจเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นเลย” เมื่อกล่าวมาเช่นนั้น หญิงสาวก็เดินไปทอดตัวลงนอนแล้วหลับตาพริ้มราวกับไม่มีเรื่องอันใดให้ระคายเคืองใจ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?