เจ้าสาวในคืนเข้าหออย่างฉีเหมยลี่รู้สึกอัปยศอดสูเป็นยิ่งนัก นางระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา บิดามารดารักใคร่เอ็นดูนางดั่งแก้วตาดวงใจ ทุกสิ่งที่นางร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ท่านทั้งสองจักแสวงหามาให้ แม้ต้องไปเสาะหายังดินแดนอันห่างไกล หรือแม้สิ่งนั้นจะมีราคาสูงปานใดก็ตาม ท่านทั้งสองก็หาได้หวั่นไม่
ครั้นคิดถึงบัดนี้ หัวใจนางกลับปวดร้าวยิ่งนัก เพราะนางมิอาจหวนกลับคืนสู่อ้อมแขนแห่งความรักของบิดามารดาได้อีกต่อไป หากแต่ยังต้องทนอยู่เป็นสะใภ้แห่งจวนเซิ่น ความอาดูรเข้ามาท่วมท้นหัวใจนาง ความทุกข์ระทมแผ่ซ่านจนทำให้นางอยากตัดใจจากโลกนี้ไปเสีย เพื่อให้ความอัปยศนี้ถูกกล่าวถึงในนามของนางแต่ผู้เดียว มิใช่บิดามารดาของนางอีกต่อไป
หญิงสาวมองเทียนหอมที่ถูกจุดเอาไว้มากกว่ายี่สิบเล่ม เทียนพวกนั้นละลายจนหมดสิ้น ควันกลิ่นดอกไม้ยามเช้าระเหิดไป เหลือเพียงแต่ไส้ขดเล็ก ๆ ของมัน ที่ยังคงให้ความสว่างอยู่ทั่วห้อง
นางปาดน้ำตาที่หลั่งเพิ่มมาหนึ่งหยด ฉีเหมยลี่เริ่มรู้สึกว่าความเศร้านี้ควรจะได้รับการหยุดยั้งเสียที นางเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงนั่นออก เผยให้เห็นดวงหน้าที่สดสวยเป็นรูปกลมมนเหมือนไข่ของหงส์ฟ้า ใบหน้าที่เหล่าสาวใช้ว่าร้ายและเรียกมันว่าจืดชืดเช่นน้ำต้มไก่ แต่แท้ที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผิวหน้านางแลดูขาวสะอาดสดใสมีเลือดฝาดประแต้มอยู่บนใบหน้างาม ดวงตากลมโตที่แม้จะมีร่องรอยจากคราบน้ำตา ทว่ากลับไม่ได้ทำให้ความงามนั้นลดลงเลยแม้เพียงกระผีกเดียว
เรือนร่างสล้างสวยสมส่วน บิดตัวหันหน้าเข้าหาไหเมรัย นางเปิดฝาจุกเหล้ามงคลขนาดเล็กออก คว้าจอกดินเผาที่สลักชื่อบ่าวสาวของค่ำคืนนี้มาถือเอาไว้ด้วยนิ้วมือที่สั่นเทา
แน่ล่ะ!...เป็นชื่อของนางกับเซิ่นหยางเคียงคู่กัน
ฮูหยินในนามรินเหล้าลงจอกอย่างไม่ปราณี มันล้นทะลักออกจากที่อยู่เดิมจนไหลหลากไปทั่วพื้นห้อง กลิ่นสุราชนิดนี้ช่างเย้ายวนนัก ความต้องการร่ำเมรัยของนางแรงกล้าดั่งสุนัขป่าเข้าสิงร่าง จอกแล้วจอกเล่าที่นางเทออกไป ไม่เท่ากับหัวใจที่บอบช้ำกลัดหนองเจียนจะขาด...
“หลั่งรดรินแค้นแสนหนักหน่วง
เจ็บในทรวงบาดจิตคิดชอกช้ำ
ฝืนล้อเล่นพิษรักกายให้ระกำ
แสนชังซ้ำสามีริกลับกลาย
เซิ่นหยางใจทรามหยามหมิ่น
ขอจบสิ้นราญรอนมอดไหม้
แม้นแผ่นดินสิ้นไร้ไม่สิ้นรัก
อาภัพนักขอมิสู้อยู่รักใคร
ปฐพีสิ้นแสนแม้นรักสูญ
ช่างอาดูรมวลมิตรคิดเย้ยหยัน
ครานี้ควรสิ้นชีพให้รู้กัน
ผู้ใดหยันเย้ยหน้าอย่าเอ่ยนาม
นางชิมรสสุราร่ำพร่ำรำพัน
เพ้อถึงวันก่อนเก่าเฝ้าขวัญหาย
ห้องหอรสสุคนธ์กลิ่นกลับกลาย
เหลือเพียงนางที่ร้องให้เพียงลำพัง”
เมื่อเมรัยกลายเป็นดั่งยาพิษที่กัดกร่อนใจ พลันทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินที่สวยงามนี้อีกแล้ว ด้วยใจนางนั้นแตกสลายกระเจิงจนมิอาจกู่กลับได้
คิดได้เช่นนั้นฉีเหมยลี่ก็หันคว้าผ้าที่มีอยู่รอบกายกวาดเข้ามาหาตน ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ให้กับความเสียใจนี้บนกองแพรพรรณหลากสี นางเดินเข้าไปคว้าผ้าม่านแพรผืนใหญ่ ก่อนจะม้วนมันให้ตึงและปั่นเป็นเส้นเล็กคล้ายเชือก นางพันมันเข้าไปจนแน่น
ดีล่ะ! ในเมื่อชีวิตข้าช่างหาความสุขมิได้ ทั้งผู้ที่ได้ชื่อว่าสามีก็หาได้เหลียวแลไม่ ครั้งนี้ข้าจะขอสิ้นชีพในห้องหอ เพื่อรอการกลับมาของบุรุษที่ชื่อ เซิ่นหยางคนทรยศ และเพื่อไถ่โทษให้กับความโง่เขลาของตัวเอง
นางมองขึ้นไปบนขื่อของห้องที่สูงพอสมควร แต่ไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ สำหรับสตรีที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ นางเลื่อนโต๊ะน้ำชาที่วางขนมมงคลอยู่เรียงรายนั้นเข้ามา ทำให้สิ่งของต่าง ๆ หล่นเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายหามีชิ้นดีไม่ เหลือเพียงกาน้ำดินเผาเคลือบอยู่หนึ่งใบที่ยังคงตั้งอยู่เพื่อเป็นพยานความน่าอดสูในครั้งนี้
ฉีเหมยลี่ก้าวเท้าย่างขึ้นบนเก้าอี้ที่มีพนักแกะสลักลวดลายดอกโบตั๋นคู่ ขลิบลายทองเป็นริ้วงดงาม นางสูดหายใจเข้าทั่วปอดอีกครั้ง เพื่อยืนยันการกระทำว่าตนนั้นคิดดีแล้ว
ก่อนจะย่างเท้าอีกข้างขึ้นไปบนโต๊ะไม้เนื้อหนาราคาแพง ซึ่งเคลือบฝังด้วยมุกเป็นเงางามจากเมืองไกลโพ้นทะเล นางหลั่งน้ำตาออกมาราวกับสายธาราขณะยึดปลายของผ้าอีกด้านหนึ่งที่คล้องเป็นบ่วงเอาไว้แน่น
“หมดสิ้นกันทีชีวีที่บิดามารดามอบให้ ข้าจักขอมอบคืนพวกท่าน อภัยให้ข้าด้วยท่านพ่อ ท่านแม่ ฮือ ๆ”
นางรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้ายมอบร่างกายให้กับพญามัจจุราช นางแขวนคอตัวเองเข้ากับบ่วงผ้าที่ยึดแน่น ก่อนจะปล่อยมือออกจากบ่วงกลมยึดอยู่ พลันถีบโต๊ะไม้ออกจากร่างที่กำลังชักดิ้นเพราะขาดอากาศหายใจ ตาที่เหลือกลานอยู่ใกล้จะหลับลง นางปลงอนิจจัง ชีวิตนี้ข้าขอคืนแก่ผืนดิน...
ก่อนที่ลมหายใจจะย้อนคืนกลับไปสู่เงื้อมมือของเง็กเซียนฮ่องเต้ นางมองเห็นนางสวรรค์ถือลูกท้อมามอบให้นาง ในขณะที่สมองเริ่มเบลอเมื่อเห็นรอยยิ้มจากสรวงสวรรค์
แต่จังหวะนั้นพลันได้ยินเสียงขื่อลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด โยกคลอนไปตามน้ำหนักที่ไขว่คว้าอากาศไปมาของตนเอง
แค่พริบตาเดียวเท่านั้นขื่อไม้เจ้ากรรมก็หักลง
เป๊าะ!
โครม!
ร่างของนางร่วงลงยังกองผ้าแพรที่เคยนำมากองเพื่อเลือกว่าจะมีผืนไหนโชคดีได้ครอบครองลมหายใจของนาง ฉีเหมยลี่ล้มลงหัวฟาดขอบโต๊ะไม้เคลือบมุกอย่างดี เลือดสีแดงสดเริ่มไหลเอื่อย ๆ ออกมาจากศีรษะ ซึมไปตามเส้นผม และฝากรอยโลหิตเอาไว้ยังขอบโต๊ะ
เหตุใดสวรรค์จึงปล่อยวิญญาณนางให้เป็นอิสระจากเงื้อมมือ นางยังคงต้องทนทุกข์กับสามีเลวทรามไปอีกนานอย่างนั้นหรือ น้ำตาของหญิงสาวซึมออกมาจากนัยน์ตา แม้ร่างกายจะสงบนิ่งไปแล้ว
เสียงดังจากในห้องหอ ปลุกให้สาวใช้ของนางตื่นขึ้น เด็กสาวตกใจมากเมื่อเข้าไปดูนายหญิง กลับพบเจอนางในสภาพนอนหมดสติอยู่บนพื้นห้อง กลิ่นสุราระเหิดออกมาจากพื้นอบอวล เชิงเทียนที่จุดไว้คว่ำลง บางส่วนลุกไหม้ผ้าแพรที่กองอยู่บนพื้น นางรีบวิ่งเข้าไปคุกเข่าลงเขย่าตัวนายหญิง
“ฮูหยิน!! ฟื้นสิเจ้าคะ!!”
ด้วยสติที่กระเจิงไปแล้ว แต่กระนั้นก็รีบลากตัวนายหญิงแสนรักของตนออกมาจากห้อง พร้อมกับร้องเรียกให้ผู้คนในจวนออกมาช่วยกันดับไฟและช่วยเหลือนายหญิงของตน
โลหิตจากศีรษะของนางไหลนองพื้นมากกว่าเดิม ทำให้สาวใช้คนอื่นถึงกับเอามือปิดปาก อีกคนเอามือทาบอก สันนิษฐานถึงสาเหตุกันไปต่าง ๆ นา ๆ
“ฮูหยินเอกเสียชีวิตแล้วหรือนี่ ไม่น่าเลย!”
“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าซะนางคนปากหนอน!” ซูเม่ยด่าทอสาวใช้ปากพล่อย นางเหลืออดแล้วจริง ๆ นางสาวใช้พวกนี้ล้อเล่นกับชีวิตคนได้อย่างไร
“พวกเจ้ายืนบื้ออยู่ทำไมเล่า รีบไปบอกนายท่านเซิ่นเดี๋ยวนี้ ว่าเกิดเรื่องใหญ่กับฮูหยินเอก!!”
สิ้นเสียงซูเม่ยทั้งสาวใช้และบ่าวไพร่ในเรือนต่างกุลีกุจอกันวิ่งไปบอกเซิ่นหยางยังจวนใหญ่ทันที
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?