ณ เวลานี้ ค่ำคืนที่เคยสงบสุขกลับกลายเป็นคืนอันโกลาหลราวกับจะเผาจวนใหญ่ให้วอดวาย ในเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในคืนเข้าหอ กลับสร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนในเรือนอย่างคาดไม่ถึง
ฉีเหมยลี่ยังคงไม่ได้สติอยู่ท่ามกลางกองเลือดที่นองพื้น ขณะที่ซูเม่ยสาวใช้คนสนิทร้องเรียกบ่าวรับใช้สองนายให้เข้ามายกตัวฮูหยินของตน สั่งประคองหัวท้ายขึ้นไปนอนยังเตียงใหญ่
“พวกเจ้ามาช่วยข้าประคองฮูหยินเอกหน่อยเถิด”
“มันใช่ธุระกงการอะไรของข้าเล่า ช่างวุ่นวายจริง” แม้จะพ่นวาจาน่ารำคาญ ทว่าก็ยอมเคลื่อนตัวมาช่วย ทำให้นางรับใช้เก่าแก่จากตระกูลฉีผ่อนเบาไปได้มาก
ซูเม่ยใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ มาเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับเจ้านาย รวมทั้งเลือดที่เกรอะกรังอยู่บนศีรษะ นางค่อย ๆ เช็ดมันออกพร้อมกับรำพันและร้องให้สะอึกสะอื้นในคราเดียวกัน
“ฮือๆ ฮูหยินเจ้าขา อย่าเป็นอะไรไปเลยนะเจ้าคะ ถ้าไม่มีฮูหยินแล้ว ข้าจะอยู่ยังไง” นางเป็นสาวใช้คนเดียว ที่ฉีเหมยลี่ชี้ตัวในจวนว่าอยากให้มารับใช้และเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะอายุน้อยกว่าหนึ่งปี แต่ทั้งสองสนิทสนมกันมาก นางรักและเคารพนายหญิงประดุจพี่สาวแท้ ๆ ของนางคนหนึ่ง หากแม้ต้องสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องคนนี้ ต่อให้เป็นเรื่องร้ายแรงแค่ไหนนางก็ยอมทำ
ในเวลานี้หากขอพรอะไรได้สักอย่างก็คงมีแค่สิ่งเดียว คือทำให้นายหญิงสุดที่รักฟื้นคืนชีวิตมาเหมือนเช่นวันก่อน ๆ
ซูเม่ยทิ้งความเศร้าเอาไว้ที่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นสั่งสาวใช้สองคนที่อยู่หน้าห้องให้ไปแจ้งข่าวด่วนแก่เจ้าของจวน ว่าเกิดเหตุร้ายแรงและฮูหยินของนางอาการย่ำแย่ปานใด
“ฮูหยินของข้าก็เป็นนายพวกเจ้าเหมือนกัน อย่าคิดจะมาแบ่งแยก ถ้าฮูหยินเป็นอะไรไปพวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุขเลย!”
ซูเม่ยพูดสำทับด้วยสีหน้าจริงจังให้เกิดความเกรงกลัวในหน้าที่กันบ้าง ถ้าต่อไปนางอ่อนแอ ก็รังแต่จะมีคนดูหมิ่นเหยียดหยามเสียเปล่า ๆ
“รีบไปบอกท่านแม่ทัพ ว่าเจ้าสาวของท่านตอนนี้อาการย่ำแย่แล้ว ท่านแม่ทัพรีบมาดูแลนางให้ไวที่สุด”
สองสาวใช้รับคำพยักหน้าหงึกหงัก แต่ดูเหมือนว่าพวกนางจะยังคงเกี่ยงกัน เหมือนไม่อยากไปที่จวนตะวันตกของฮูหยินฟางลี่หมิง
“ถ้าพวกเจ้ามัวชักช้า ข้าจะจับโยนลงในไปกองเพลิงเดี๋ยวนี้ ไปได้แล้ว!”
เวลายามไฮ่ของคืนเดียวกันในจวนทางทิศตะวันตก มีเสียงย่ำฝีเท้ารัวดังมาแต่ไกล
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ นายท่าน”
“นายท่านเซิ่นหยาง!! นายท่านเจ้าคะ ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
สาวใช้สองนางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาขอความช่วยเหลือหน้าเรือนของฮูหยินรอง แต่เวลาดึกดื่นค่อนรุ่งขนาดนี้ ทำให้ต้องโดนกักตัวไว้ก่อนจะถึงห้องของฟางลี่หมิง ฮูหยินผู้โฉมสะคราญของท่านแม่ทัพใหญ่
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ จะไปพบท่านแม่ทัพด้วยเรื่องอันใด บอกพวกข้ามาก่อน”
ยามสองนายเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าประตูตะวันตกของจวนทำการกักตัวทั้งสองไว้
“พวกเจ้าสองคนมัวแต่เฝ้ายามตรงนี้ จะไปรู้อะไรได้ ถอยออกไปนะ!” สาวใช้มองค้อนชายหนุ่มที่ยืนยามรักษาการณ์ เขาส่ายหน้าและยังคงตรึงหอกเล่มใหญ่เอาไว้เหมือนเดิม
“ฮูหยินเอกกำลังแย่อยู่นะ นางตกลงมาจากขื่อในห้องหอ ตอนนี้อาการเป็นตายเท่ากัน!”
เมื่อได้ยินสาวใช้พูดแบบนั้น ยามทั้งสองมองหน้ากัน พร้อมกับรีบเปิดทางให้เข้าไป
“ขอบใจพวกเจ้ามาก”
พวกนางหอบร่างกายวิ่งเข้ามาด้านใน ระยะทางนั้นไม่ห่างมาก แค่หายใจเข้าออกยี่สิบครั้งก็ถึงหน้าประตูรูปดอกมู่หลัน
พวกนางส่งเสียงเรียกนายใหญ่ของตนอยู่ภายนอก หวั่นใจว่านายท่านของพวกนางอาจจะทำกิจอันมิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ แม้ทั้งสองจะพยายามเคาะประตูสักเพียงใด ก็ไม่มีเสียงขานรับจากคนที่อยู่ด้านใน
เปรี้ยง!
โพล๊ะ!
“สุนัขตัวไหนมันบังอาจมายืนเห่าหอนอยู่หน้าห้องข้ากลางดึกแบบนี้!!”
เสียงปาแจกันกระทบเข้ากับเสาไม้กลางห้อง แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเสียงเกรี้ยวกราดที่ดังลอดออกมา เป็นไปดังที่สาวใช้คาดคิด เซิ่นหยางที่กำลังเริงรักอยู่กับฟางลี่หมิงรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ยามศึกเขารบอย่างมิหวาดหวั่นภัยอันตราย แต่ยามรักเขาก็กระทำการหนักแน่นและฮึกเหิมดั่งไฟผลาญศัตรูเช่นกัน
แต่นี่กระไร...เวลาเช่นนี้ศึกรักที่กำลังดำเนินไปอย่างเร่าร้อน กลับต้องมาโดนขัดจังหวะเสียได้!
“ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินอันเป็นที่รักปรามโทสะของชายหนุ่มเอาไว้ นางมองไปยังหน้าห้องเห็นเงาสาวใช้ยืนรีรออยู่ นางสัมผัสได้ถึงความหวั่นเกรงของทั้งสองสาว
“ท่านพี่เจ้าขา รับฟังพวกนางสักนิดหนึ่งเถิด ข้าเองก็อยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นด้านนอกนั่น ถึงได้กล้ามาขัดขวางช่วงเริงฤดีของท่านกับข้า”
ฮูหยินรองฟางลี่หมิงสบสายตาบุรุษหนุ่มที่ไร้อาภรณ์ช่วงบน เผยให้เห็นกล้ามอกหนาแน่นของเขาที่ชวนลูบไล้ยิ่งนัก นางจิ้มนิ้วมือเรียวลงบนแผ่นอกคร้ามเนียนที่ผ่านสงครามรักกับตัวเองมาแล้วนับไม่ถ้วน พลางยั่วยวนเขาด้วยสายตาหวานซึ้งฉ่ำวาว
“แล้วท่านกับข้า...ค่อยมารื่นเริงกันหลังจากนั้นก็ได้นี่เจ้าคะ”
“ก็ได้ นี่ข้าเห็นแก่เจ้าหรอกนะฟางเอ๋อร์ ข้าจะรับฟังคำร้องของพวกนาง”
เขาก้มลงจูบริมฝีปากนางอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง มือใหญ่ยังคงเคล้าคลึงอยู่บนปทุมถันของนาง ฟางลี่หมิงถอนจูบจากโพรงปากฉ่ำ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบอาภรณ์มาสวมใส่ เพราะคิดว่าเขาจะให้สาวรับใช้เข้ามาในห้อง
“อาาห์ เสียจังหวะเหลือเกิน”
“เจ้าไม่ต้องสวมชุดให้เสียเวลา ในเวลานี้ข้าไม่คิดจะไปจากเจ้าไปที่ไหนอยู่แล้ว ไม่ว่าฟ้าจะพลิก หรือแผ่นดินจะสะเทือน ข้าก็จะขออยู่กับเจ้า”
“ท่านพี่ วาจาท่านช่างหอมหวานเหลือเกินนะเจ้าคะ” ฟางลี่หมิงทำท่าเขินอายไปตามจริตหญิง ทำให้เขาเห็นว่านางช่างน่าทะนุถนอมยิ่ง
“พวกเจ้าว่ามา ม้าศึกออกลูกเป็นกวางหรือไร ถึงได้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ช่างไม่รู้ความว่าอะไรควรมิควร!!”
เซิ่นหยางต่อว่าพวกนางเสียงดัง วาจานั้นช่างดุดันเสียเหลือเกิน ราวกับเอาดาบมาจ้วงแทงเข้ากลางทรวง
“ถ้าสิ่งที่ข้าได้ฟังนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนที่พวกเจ้าตระหนก ข้าจะสั่งเฆี่ยนตีให้หลาบจำ!”
สาวใช้ที่กลัวเกรงอยู่แล้วหน้าถอดสีขึ้นมาทันใด ทั้งสองบอกเล่าเรื่องราวของจวนห้องหอ ว่าตอนนี้เจ้าสาวของเขาได้รับอุบัติเหตุสลบไปไม่ได้สติ
“ท่านพี่เจ้าคะ ไปดูนางหน่อยเถิด ข้าละกลัวใจจริง ๆ ว่านางอาจจะกลายเป็นผีเฝ้าเรือนหอไปแล้วก็อาจเป็นได้”
ฟางลี่หมิงแสร้งทำท่าหวั่นวิตกแต่แฝงไปด้วยความริษยา เพราะอยากรู้ว่าสามีของนางมีความอาทรต่อฮูหยินเอกหรือไม่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ นางคงต้องใช้แต้มความพิศวาสให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“ช่างปะไร ข้าเองก็มิได้อยากสุขสมกับนางเสียหน่อย ถ้าชีวิตนางจะหาไม่ก็ไม่ใช่เรื่องของข้านี่นา” เซิ่นหยางหัวเราะเยาะด้วยความไร้เมตตา หาได้สนใจเจ้าสาวชั่วคืนอย่างฉีเหมยลี่
นางหาได้มีค่าเหมือนทรัพย์สมบัติที่เอามาประเคนให้เซิ่นหยางเลยแม้แต่น้อย
“หากนางยังคงมีลมหายใจอยู่ ก็ถือว่ายังมีบุญที่ได้ข้าเป็นสามี ฮ่า ๆ ๆ”
เซิ่นหยางคนชั่วพูดได้แค่นั้นก็เอื้อมมือไปเปลื้องผ้าฟางลี่หมิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่อ โดยมิได้สนใจใยดีกับการมีอยู่ของฉีเหมยลี่แต่อย่างใด
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?