ท่ามกลางมวลชนที่ไหลบ่าดุจสายน้ำในตลาดอันจอแจ เสียงตะโกนอื้ออึงเคล้ากลิ่นคาวและเครื่องเทศคละคลุ้ง หัวขโมยหนุ่มที่ดูเหมือนว่าเจนจัดในวิถีแห่งเงา ยามนี้ดวงตก เพราะเขามัวแต่ตกตะลึงกับเรือนร่างอรชรที่หมุนคว้างกลางอากาศในลีลาอันพลิ้วไหวราวเทพธิดาร่ายรำของสตรีนางหนึ่ง เส้นผมดำขลับสยายเป็นแพรไหมต้องลมระบัดพลิ้ว ทว่าสิ่งที่ตรึงใจเขาไว้ยิ่งกว่าสิ่งใดคือ ดวงตาคู่งาม คมกริบราวปลายมีดสะท้อนแสงจันทร์ หากแต่แฝงไว้ด้วยประกายเย้ายวนชวนฝันพานให้หลงลืมทุกสิ่งรอบกาย ราวกับมีมนตราสะกดให้เขาไม่อาจละสายตาจากนางได้แม้แต่วินาทีเดียว ห้วงขณะนั้น โลกทั้งใบของเขาพลันหยุดนิ่ง เหลือเพียงนางผู้เดียวที่เต้นรำอยู่ในม่านตาของเขา จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นเตือนสติ
“ยังคิดจะหนีอีกรึ?” เจ้าของน้ำเสียงเย็นเยียบไม่พูดเปล่า สะบัดชายแขนเสื้อแล้วบิดข้อมือของขโมยให้หมุนกลับไปด้านหลังอย่างง่ายดาย
เสียงฮือฮาดังขึ้นท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ราวกับแซ้ซ้องบุรุษในอาภรณ์สีเข้มยาวที่ปรากฏกายพร้อมกับขโมยหนุ่มที่นั่งคุกเข่าลงอย่าสิโรราบอยู่ต่อหน้าเขาด้วยมืออันแข็งแกร่งของเขา
“องค์ชายรอง!”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นจากกลุ่มชาวบ้านที่ยืนมุงดูเหตุการณ์โดยรอบ เพราะรังสีที่น่าเกรงขามและใบหน้าเรียบนิ่งคมคายของเขาทำให้ผู้คนจดจำได้ง่าย ก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาคุกเข่าคำนับ
“ถวายบังคมองค์ชายรอง” เจ้าหน้าที่กองลาดตระเวนส่งเสียงแข็งขัน
หวังอ้ายหลิงยืนนิ่งส่งสายตามองบุรุษที่ถูกให้ความเคารพด้วยแววตาครุ่นคิด พลันชื่อหนึ่งจากในนิยายก็แล่นเข้ามาผ่านความทรงจำ ‘เจิ้งเฉิงเปา’ หวังอ้ายหลิงเบิกดวงตาวาวโรจน์ ยืนลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อไป รู้แต่เพียงว่าบุรุษนามนี้แหละที่ตนต้องหลีกหนีให้ไกล
“กระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้เองพ่ะย่ะค่ะ พระองค์มิต้องเป็นกังวล”
หวังอ้ายหลิงหันมองอย่างรวดเร็วเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหู จะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากรองแม่ทัพหม่าที่นางไม่อยากพบพานเลยแม้แต่น้อย หนึ่งเดือนที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรเลยเมื่อเทียบกับการออกมาเดินเที่ยวชมตลาดเพียงแค่ไม่กี่นาที แล้วก็ต้องเวียนวนกลับตรงจุดพยายามใหม่ที่เดิม
“คุณหนูหวัง ท่านบาดเจ็บหรือไม่?” หม่าจ้าวหยางปริปากถามอย่างไม่ได้ใส่ใจมองนางด้วยซ้ำ
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณรองแม่ทัพหม่าที่ห่วงใย” หวังอ้ายหลิงกล่าวด้วยวาจาสุภาพขณะพยายามควบคุมสีหน้าของตนเอง
“คุณหนู ข้าว่าเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ!” เสี่ยวหรูที่มองดูการสนทนาอยู่ทุกชั่วขณะ รีบกระซิบเบา ๆ เมื่อมีจังหวะให้เข้าแทรก ด้วยรู้ว่าก่อนหน้านี้คุณหนูของตนเองไม่อยากพบเจอหม่าจ้าวหยาง จึงพยายามหลบหน้า แต่เมื่อต้องพบเจอกันอย่างไม่ทันตั้งตัวนางคงอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย
หวังอ้ายหลิงพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นสายตาของนางก็ยังลอบมองไปยังบุรุษสูงศักดิ์ผู้องอาจเจิ้งเฉิงเปาที่ยังคงยืนปรามขโมยหนุ่มไม่ให้ขยับเขยื้อนเนื้อตัวไปไหน อย่างไม่ว่างเว้น
“คุณหนูเจ้าคะ เดี๋ยวองค์ชายรองก็รู้สึกพระองค์หรอกเจ้าค่ะ...” เสี่ยวหรูกระตุกแขนเสื้อผู้เป็นนายราวกับเตือนสติ แต่ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปเมื่อนายหญิงของตน ยอบตัวลงทำท่าคำนับอย่างนอบน้อม พาให้เสี่ยวหรูต้องรีบคำนับตามเพราะสายตาที่จับจ้องไม่วางตาของผู้เป็นนายนั่นเอง
ชั่วครู่หนึ่งเมื่อเสี่ยวหรูเห็นว่าองค์ชายรองเจิ้งเฉิงเปากำลังสนทนากับรองแม่ทัพหม่า ดูเหมือนจะไม่ได้หันมาสนใจพวกนางแล้ว จึงรีบเข็นหวังอ้ายหลิงให้เดินฝ่าฝูงชนในตลาดอย่างรีบเร่ง ด้วยอยากพาผู้เป็นนายให้รีบออกจากบริเวณนั้นโดยเร็ว เพราะรู้ดีว่าคุณหนูของตนต้องการหลีกหนีจากใครบางคน จึงช่วยกันเร่งฝีเท้าออกจากบริเวณนั้น
“เสี่ยวหรู รีบร้อนอะไรขนาดนี้” หวังอ้ายหลิงถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ...คุณหนูไม่ได้กำลังรีบเหรอเจ้าคะ?” สาวใช้คนสนิทถามกลับ สีหน้าและแววตาไม่เข้าใจการกระทำของผู้เป็นนาย
คุณหนูสกุลหวังพยักหน้าเนือย ๆ พร้อมถอนหายใจอย่างละเหี่ยใจออกมา ด้วยไม่รู้จะอธิบายให้เสี่ยวหรูเข้าใจในเรื่องราวได้อย่างไร ในเมื่อผู้สร้างไม่ได้เขียนให้เสี่ยวหรูรู้เค้าโครงนิยาย การอธิบายการเล่าหรือแม้กระทั่งชี้แจงด้วยแม่น้ำทั้งห้าสายนั้นไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากเสียน้ำลายเสียเวลา
หลังจากเหตุการณ์เริ่มคลี่คลาย ผู้คนที่มุงดูเริ่มสลายตัวราวกับมดแตกรัง เสี่ยวหรูพาหวังอ้ายหลิงเดินไปยังจุดที่จอดเกี้ยวเอาไว้ จากนั้นเกี้ยวก็พาทั้งสองกลับมาถึงจวนอย่างรวดเร็วโดยสวัสดิภาพ แต่เมื่อถึงประตูจวนหวังอ้ายหลิงก็พบกับความประหลาดใจเมื่อเห็นประมุขและฮูหยินสกุลหวังมายืนอยู่หน้าประตูทางเข้าจวน
“ลูกแม่” ฮูหยินไม่รอช้าที่จะโผเข้ามาหาบุตรีของตน สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง นางมองดูใบหน้าของลูกสาว เนื้อตัว ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ มายืนทำอะไรกันตรงนี้เจ้าคะ?” หวังอ้ายหลิงถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่งุนงง
“พ่อกับแม่ ก็มารอเจ้าอย่างไรล่ะหลิงเอ๋อร์”ฮูหยินหวังร้อนรนตอบ
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ประมุขหวังสำทับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
“ข้ามิได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ท่านพ่อได้โปรดวางใจ” หวังอ้ายหลิงยิ้มบาง ๆ ในใจนึกสงสัยความห่วงใยของทั้งสอง
“ว่าแต่...ท่านพ่อท่านแม่ร้อนใจเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?”
“พ่อกับแม่ได้ยินว่าที่ตลาดเกิดความวุ่นวาย” ใต้เท้าหวังและฮูหยินหวังชี้แจง
หวังอ้ายหลิงได้ยินก็พยักหน้ารับอย่างช้า ๆ เข้าใจในความเป็นกังวลนั้นได้ดี เพราะนางเป็นแก้วตาหนึ่งเดียวของคนทั้งสองจึงพอเข้าใจได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือข่าวที่ว่องไวกว่าไซเบอร์เน็ตในยุค 2025 นี่แหละ
ดวงตาของหวังอ้ายหลิงเป็นประกายลุกโชนขึ้นอีกครั้งเมื่อเล่าถึงวินาทีที่เต็มไปด้วยความระทึก
“ในวินาทีที่เต็มไปด้วยความตระหนก ลูกหมุนตัวคว้างอยู่กลางอากาศ ข้าวของหล่นเกลือนกระจัดกระจายดูเหมือนความวุ่นวายกำลังจะปะทุถึงขีดสุด เพียงชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาแต่ไกล ครู่หนึ่งม้าสีดำทะมึนเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเหตุการณ์ บุรุษองอาจพลิ้วตัวลงจากหลังม้าอย่างกระฉับกระเฉง นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ปากตะโกนสั่งการทหารใต้บังคับบัญชาที่ตามมา ให้เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างเด็ดขาด เพียงชั่วพริบตา ความวุ่นวายทั้งหลายก็พลันสงบลงราวกับสายน้ำที่ถูกกั้นเขื่อน” หวังอ้ายหลิงเล่าไปยิ้มไป ไม่ใช่เพราะเรื่องราวนั้นสนุกหรือบุรุษนั้นน่าทึ่ง ทว่าเนื้อหาที่เล่านั้น หากถูกเขียนออกจำหน่ายเป็นนิยายน่าจะขายได้ดี เรื่องราวบิดเบี้ยวนิดหน่อยก็ทำให้บุรุษอีกคนที่มาช้ากว่าเป็นพระเอกได้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?