วินาทีที่ประตูร้านถูกเปิดออก ผู้คนมากมายที่รออยู่ด้านนอกก็กรูกันเข้าไปด้านใน เฟอร์นิเจอร์หลากหลายละลานตาจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ละคนพากันชี้ดูนู่นนี่อย่างสนอกสนใจ พนักงานในร้านก็ยิ้มแย้มให้คำแนะนำอย่างสุภาพตามที่ได้ถูกสอนมาเป็นพิเศษโดยว่านอันอัน
“โอ้ เก้าอี้กับโต๊ะที่มีมุมเป็นกลม ๆ แบบนี้แปลกตามากเลยนะ แต่ก็ดูสบายตาสวยมากทีเดียว”
“งั้นเราซื้อกลับบ้านสักชุดเถอะ”
“เฮ้ ๆ ดูตู้อันนั้นสิ ลายแกะสลักสวยมาก”
“ไม่ใช่แค่นั้นละ งานนี้ละเอียดขนาดไหน ดูลายไม้ที่ต่อกันเป็นลายคลื่นก็รู้แล้ว ของดีแบบนี้ ยังไงก็ต้องซื้อ”
“ซื้อ ๆ ๆ ฉันจะไปจับฉลากของรางวัล !”
ว่านอันอันละซ่งหมิงยืนข้างกันมองซานเหอมู่เย่ที่กำลังวุ่นวายด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีกับการประสบความสำเร็จด้วยนะครับ”
“เป็นความสำเร็จของเราค่ะ”
“ตอนนี้สินค้าใหม่ทั้งสามแบบมีคำสั่งซื้อเข้ามาเรื่อย ๆ ใบปลิวที่แนบไปกับสินค้าช่วยเพิ่มยอดขายและทำให้คนรู้จักเรามากขึ้นเยอะเลยครับ”
“เรื่องการประทับตราไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ”
ซ่งหมิงยิ้มแล้วชี้ไปยังมุมของโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง ตรงนั้นมีตราสัญลักษณ์ของซานเหอมู่เย่สีทองฝังอยู่ ดูหรูหราและแปลกตาไม่น้อย
นี่เป็นสิ่งที่ว่านอันอันกับซ่งหมิงคิดกันอยู่นานเพื่อให้สินค้าไม่ถูกลอกเลียนแบบได้ง่าย ๆ แม้จะรู้ดีว่าคงจะหลีกเลี่ยงการถูกเลียนแบบงานไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยยืดเวลาออกไปหน่อย ตราสัญลักษณ์ที่ประทับนี้ยังถูกเหล่าช่างฝีมือดีของซานเหอมู่เย่ช่วยกันระดมความคิด จนสร้างวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์คล้ายครั่งขึ้นมาเพื่อหล่อลงไปในตราสลักนี้ได้สำเร็จ
และหวังว่ามันจะสร้างภาพจำของซานเหอมู่เย่ให้สลักในใจผู้คนได้
หลังจบงานเปิดร้าน ว่านอันอันและซ่งหมิงก็อยู่ดูผลตอบรับของร้านครึ่งค่อนวัน ก่อนจะพากันกลับบ้าน ระหว่างทางยังแวะซื้อพวกวัตถุดิบทำอาหารมาด้วย
“เย็นนี้ฉันจะแสดงฝีมือทำอาหารเองค่ะ”
ซ่งหมิงพยักหน้ายิ้มรับการประกาศอย่างมุ่งมั่นของภรรยา เขารู้ระดับฝีมือทำอาหารขั้นทำลายล้างของคุณหนูว่านอันอันมาตลอด แต่ก็พร้อมจะกระโดดลงหม้อนรกนั้นอย่างเต็มใจ ต่อให้เป็นยาพิษก็ยินยอมดื่มแบบไม่เปลี่ยนสีหน้าแน่นอน
อันที่จริงปัญหาเรื่องเตียงนอนสามารถถูกแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยเงินที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้ เพียงต่อเติมห้องเพิ่มอีกห้องก็จบ แต่ต่างคนก็ต่างยึดมั่นในคำท้าทาย จึงยังนอนแบบเดิมอยู่ นี่อาจเป็นความโลภเล็ก ๆ ของซ่งหมิงก็ได้ ที่อยากจะนอนห้องเดียวกับภรรยาตัวน้อย ขอแค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว
เย็นวันนั้นว่านอันอันหายเข้าไปในครัวด้วยท่าทางมุ่งมั่น เสียงกุกกักโครมครามดังออกมาเป็นระยะ ใช้เวลาอยู่นานจานอาหารก็ถูกยกออกมา มีทั้งไข่เจียวหอมใหญ่ที่ไหม้เล็กน้อย เต้าหู้ทรงเครื่องที่น้ำเยอะจนแทบจะกลายเป็นแกง และผัดผักบุ้งที่โดนความร้อนนานเกินจนเหี่ยวเป็นกองเกือบเละ ซ่งหมิงนั่งมองพวกมันตาปริบ ๆ พลางมองเจ้าของผลงานที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าด้วยความอาย
“เอ่อ... ถึงหน้าตาจะไม่สวยเท่าไร แต่มันก็พอกินได้แล้วนะ”
ถ้าเทียบกับอาวุธชีวภาพที่เธอทำก่อนหน้านี้น่ะ...
“อืม... ขอบคุณสำหรับอาหารครับ” ซ่งหมิงตอบแล้วคีบอาหารเข้าปาก
รสชาติที่แปลก ๆ ของมันทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย จานหนึ่งเค็ม จานหนึ่งหวาน จานหนึ่งจืด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกินต่ออย่างไม่บ่น ว่านอันอันมองเขาอย่างพิจารณา
“เอ่อ... ฉันไปอุ่นกับข้าวที่ป้าโจวเอามาให้เมื่อกลางวันให้เพิ่มก่อนนะคะ” เธอทำท่าจะลุกขึ้น ซ่งหมิงรีบปรามไว้
“ไม่ต้องครับ แค่นี้ก็พอแล้ว”
“แต่มันไม่อร่อย...”
“ผมอยากกินอันนี้ครับ”
ว่านอันอันสบสายตาซื่อตรงจริงใจของเขาแล้วยอมนั่งลงตามเดิมด้วยสีหน้าหงอย ๆ
“ทั้งที่มั่นใจแล้วแท้ ๆ ว่าครั้งนี้จะทำสำเร็จ เฮ้อ ไม่เป็นไร ครั้งหน้าต้องดีกว่านี้แน่ !”
ซ่งหมิงเผยยิ้มเล็ก ๆ มุมปากแล้วกินข้าวต่อ
ตกค่ำมาว่านอันอันก็เตรียมไปหอบฟูกนอนมาให้ซ่งหมิงเหมือนเคย ร่างบางเขย่งจับฟูกนอนที่วางบนตู้ ตอนนั้นเองก็มีมือใหญ่จับลงมาข้าง ๆ ไม่ให้เธอดึงลงมา กลิ่นสะอาดจากด้านหลังที่มาพร้อมไออุ่นทำให้เธอตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย
เป็นซ่งหมิง...
“วันนี้ไม่ต้องปูฟูกแล้วครับ ผมเคยรับปากไว้ ว่าถ้าอันอันทำอาหารได้จะยอมนอนบนเตียงด้วย” เสียงทุ้มของเขาอยู่ใกล้มากจนว่านอันอันรู้สึกร้อนวูบวาบ
“นะ... นี่คือ ไม่อร่อยก็นับเหรอ”
“ครับ”
หลังเขาผละห่างออกไป เธอก็พรูลมหายใจยาว หันไปมองร่างสูงที่หยิบหมอนกับผ้าห่มไปนอนลงบนเตียงอีกฝั่งหนึ่ง เธอพยายามตื๊อเขามานอนเตียงด้วยตั้งนานก็จริง แต่พอถึงเวลาแล้วกลับตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก สูดลมหายใจเข้าลึกก็ก้าวไปนอนบนเตียงฝั่งของตัวเอง
สองร่างใหญ่เล็กนอนเคียงข้างกัน ผ้าห่มคนละผืน หมอนคนละใบ แต่กลับรู้สึกใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม ว่านอันอันข่มตาอยู่นานนอนก็นอนไม่หลับ พลิกตะแคงข้างมองหน้าหนุ่มหล่อที่เข้าสู่นิทราไปก่อนเธอผ่านความมืด ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขาแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ให้เสียงแผ่วเบาและกลิ่นอายของเขาส่งเธอเข้านอน
.
.
.
“ซานเหอมู่เย่ ? มันโผล่มาจากไหน ! คำสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ของเราลดลงมากกว่าครึ่งเพราะมัน !” เถ้าแก่โรงไม้เฟิงทุบโต๊ะตะโกนลั่นด้วยความไม่พอใจ
“ได้ยินว่าเป็นโรงงานไม้เปิดใหม่อยู่ที่หมู่บ้านทูวาครับเถ้าแก่” หนึ่งในลูกน้องตอบ
เถ้าแก่เฟิงรู้สึกว่าชื่อหมู่บ้านนี้คุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้
“ใครเป็นเจ้าของ เศรษฐีใหม่หรือไง ?”
เขาถามด้วยความสงสัย เพราะการที่โรงงานไม้จะมีชื่อเสียงขึ้นมาแบบนี้ได้ ต้องใช้เงินลงทุนมากโข แถมยังต้องใช้เส้นสายมากมายอีกด้วย
“เอ่อ... ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เหมือนว่าจะเป็นคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง”
“เป็นไปไม่ได้ !”
เถ้าแก่เฟิงทำท่าไม่เชื่อ ลูกน้องอีกคนหนึ่งจึงถือวิสาสะพูดขึ้นมา
“เรื่องนี้จริงครับเถ้าแก่ เมื่อหลายวันก่อนผมไปผ่านแถวหน้าห้างสรรพสินค้า จึงได้ร่วมงานเปิดหน้าร้านของพวกมันพอดี คนมาเปิดงานเป็นสาวสวยคนหนึ่งจริง ๆ”
ทุกคนนิ่งเงียบไปรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ข่าวลือของซานเหอมู่เย่ตอนนี้กระจายทั่วเมืองเทียนจินแล้ว ว่าเป็นโรงงานไม้หน้าใหม่ชื่อดังที่กองทัพและศูนย์ฟื้นฟูวัฒนธรรมของหลายเมืองใหญ่ใช้บริการ ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกตาและการใช้งานแสนมหัศจรรย์ ทำให้เหล่าคนมีเงินต่างแย่งกันเป็นเจ้าของ
ยิ่งเมื่อตอนนี้มีหน้าร้านที่ขายปลีกเองด้วยแล้ว ชื่อเสียงด้านคุณภาพของสินค้าซานเหอมู่เย่ยิ่งถูกสรรเสริญเข้าไปใหญ่ การให้บริการก็สะดวกดีเยี่ยม ตั้งแต่พนักงานบริการ การติดต่อสั่งซื้อผ่านเบอร์โทรศัพท์แสนง่าย หรือใครที่มาเดินหน้าร้านแล้วต้องการเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนจำนวนมาก ๆ ก็สามารถลงจ่ายเงินสั่งซื้อกับพนักงานได้เลย ช่างง่ายดายไม่ต้องเดินทางไปถึงหน้าโรงไม้ที่ทั้งวุ่นวายสกปรกและเต็มไปด้วยฝุ่น ใครต่อใครจึงแห่ไปทางนั้นหมด
“เหอะ ! ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำให้พวกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมได้รู้ ว่าการมาข้ามหัวผู้อาวุโสมันจะเป็นยังไง !”
เถ้าแก่เฟิงตวาดด้วยความเกรี้ยวกราดและออกเดินทางไปยังโรงไม้ใหญ่อื่น ๆ ในเมืองเทียนจินทันที เพื่อไปเสนอแผนร้ายมากผลประโยชน์ที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?